นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
พระทากูอันเป็นเพื่อนร่วมนิกายเซ็นกับจริงเทรูมาซะดังที่ได้บอกกับอาโอกิ ทันซาเอมอนซามูไรหนวดปลาดุกตอนอยู่ที่วัด ชิปโปจิ
“เสร็จแล้วมาที่ห้องพิธีชานะท่าน”
“นี่อาตมาต้องดื่มชาเฝื่อน ๆ ที่ท่านชงอีกแล้วรึ”
“เลิกดูถูกกันได้แล้ว ระยะนี้ข้าเก่งขึ้นมาก วันนี้แหละเทรูมาซะจะแสดงให้ท่านดูว่าฝีมือไม่ใช่ย่อยอย่างที่คิด รีบมานะข้ารออยู่
เทรูมาซะลุกขึ้นเดินหายเข้าไปข้างใน ถึงร่างจะเตี้ยแต่ความมีสง่าบารมีทำให้ดูใหญ่โตคับปราสาทนกกระยางขาว
3
มืดสนิท...ห้องปิดตายบนยอดหอคอยสังเกตการณ์ของปราสาทนกกระยางขาวมืดสนิท
ที่นี่ไม่มีปฏิทินที่จะช่วยบ่งบอกวันเวลา ที่นี่ไม่มีทั้งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใด ๆ ของการดำรงชีวิตแว่วมาให้ได้ยิน มีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงที่ส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าซีดขาวเพียงซีกเดียวของทาเกโซ ความเย็นเยียบของพื้นกระดานและเสาค้ำขื่อเพดานดำทะมึน และลมหายใจที่เห็นเป็นละอองขาวยามผ่านแสงสลัวของตะเกียงบอก ทาเกโซว่ากำลังอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว
ซุนจือกล่าวไว้ว่า
อันภูมิประเทศนั้นมีทั้งพื้นที่ที่ผ่านไปได้
พื้นที่ต้องหยุด
พื้นที่ที่จำกัด
พื้นที่ลาดชัน
พื้นที่แคบ
พื้นที่ห่างไกล
ตำราพิชัยสงครามของซุนจือกางอยู่บนโต๊ะเตี้ยเปิดอยู่ที่หน้าภูมิประเทศ คราใดที่พบข้อความประทับใจทาเกโซก็จะอ่านออกเสียงดังกังวานซ้ำหลายครั้ง
...ดังนั้น
ผู้รู้วิถีแห่งการทหารจึงเคลื่อนไหวโดยมิลังเล ปฏิบัติได้โดยมิมีข้อจำกัด
และว่า
หากรู้เขารู้เรา
ก็จะได้ชัยชนะโดยมิมีอันตราย
หากหยั่งรู้กระแสแห่งดินฟ้า
ก็จะได้ชัยชนะเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง
คราใดที่เพ่งมองตัวอักษรจนสายตาพร่าพรายทาเกโซก็จะล้างตาด้วยน้ำที่วางอยู่ข้างตัว และเมื่อไส้ตะเกียงส่งเสียงอุทธรณ์ว่าแห้งน้ำมันทาเกโซก็จะดับตะเกียงเสีย
ทาเกโซจมอยู่ในกองหนังสือที่คลังหนังสือของแคว้นให้ยืมมา มีทั้งหนังสือญี่ปุ่นและหนังสือจีน มีทั้งตำราพุทธศาสนานิกายเซ็น และตำราประวัติศาสตร์วางสุมกันเป็นภูเขาอยู่ข้างโต๊ะตัวน้อย
ก่อนส่งตัวทาเกโซขึ้นมาขังเดี่ยวอยู่ในห้องปิดตายบนยอดปราสาทแห่งนี้แล้วจากไป พระทากูอันเทศนาสั่งสอนว่า
“ทาเกโซ เจ้าจงอ่านหนังสือเท่าไรก็ได้ตามแต่ใจต้องการ พระผู้มีชื่อเสียงในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่ได้เข้าไปอ่านหนังสือหมื่นเล่มในคลังหนังสือ ท่านจะกลับออกมาด้วยความรู้สึกว่าดวงตาแห่งใจเบิกสว่างขึ้นทีละน้อยทุกครั้งไป
เจ้าจงคิดว่าห้องมืดนี้คือครรภ์มารดาแห่งตน และเข้าไปเตรียมตัวเพื่อที่จะได้คลอดออกมาสู่โลก มองด้วยตาเปล่าห้องนี้เป็นห้องมืดที่ปิดตายไม่มีผู้ใดประสงค์เข้ามาใกล้ แต่หากมองด้วยดวงตาแห่งใจก็จะพบว่าห้องนี้สว่างไสวยิ่งนัก ด้วยแสงสว่างของภูมิปัญญาที่ศาสดาและผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณทั้งของญี่ปุ่นและจีนอุทิศให้แก่วัฒนธรรมของเรา เจ้าจงดูให้ดีและคิดให้ดี ห้องที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่นี้จะเป็นคุกมืดหรือเป็นคลังแสงสว่างแห่งปัญญานั้นขึ้นอยู่กับใจของเจ้าเท่านั้น...ทาเกโซ”
จากนั้นทาเกโซไม่รู้ว่าวันคืนผ่านพ้นไปนานเท่าไร
คราใดที่รู้สึกหนาวจึงจะรู้ว่าย่างเข้าฤดูหนาวและเมื่ออุ่นขึ้นจึงจะรู้ว่าย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ทาเกโซลืมวันลืมเดือนหมดสิ้นแต่เมื่อนับจากจำนวนครั้งที่นกนางแอ่นบินกลับรังที่ซอกกำแพงหอคอย จึงรู้ว่าน่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิปีที่สามหลังจากที่ตนเข้ามาอยู่ในห้องนี้
“ข้าอายุยี่สิบเอ็ด”
ทาเกโซกระซิบบอกตัวเอง ใบหน้าของเจ้าหนุ่มเครียดขรึมเมื่อหวนคิดถึงชีวิตอันไร้ค่าแต่หนหลัง
“ข้าได้ทำอะไรมาบ้าง ตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา”
ความละอายพลุ่งขึ้นมาจากห้วงลึกถาโถมกระหน่ำหัวใจจนเจ็บระบม ทาเกโซทอดถอนใจทนทุกข์อยู่นานวัน ไม่สนใจกับกายตัวจนผมเผ้าและหนวดเครายุ่งเหยิง
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
เสียงนกนางแอ่นที่บินข้ามทะเลมาส่งเสียงเรียกหากันอยู่ที่ชายคาหอคอย เป็นสัญญาณแจ้งว่าถึงฤดูใบไม้ผลิอีกปีหนึ่งแล้วและปีนี้เป็นปีที่สาม
อยู่ ๆ วันหนึ่งก็มีเสียงเรียกขึ้นมา พร้อมกับประตูที่ลั่นดาลปิดช่องบันไดถูกเปิดและหลวงพี่ทาเกโซปีนขึ้นมา
“ทาเกโซ สบายดีรึ”
ทาเกโซปราดเข้าไปจับชายจีวรเอาไว้แน่น ความปีติที่ได้พบคนที่ตนรอคอยด้วยความโหยหาพลุ่งขึ้นมาตื้นตันอยู่ในอกจนพูดไม่ออก
“อาตมาเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล เวลาผ่านไปสามปีพอดีจึงคิดว่าเจ้าคงจะเติบโตเข้มแข็งเป็นตัวเป็นตนอยู่ในครรภ์มารดาพร้อมคลอดออกมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกกับคนอื่น ๆ ได้แล้ว”
“บุญคุณของหลวงพี่ทากูอันใหญ่หลวงเกินกว่าจะหาคำมาแสดงความขอบคุณได้หมดใจข้า”
“ขอบคุณรึ ฮะ...ฮะ...ฮะ เจ้ารู้จักพูดเป็นมนุษย์มนากับที่เขาพูดกันแล้วหรือนี่ เอาละ เจ้าออกจากห้องนี้ได้แล้ว และจงนำเอาแสงสว่างแห่งปัญญาที่ได้รับที่นี่ ติดตัวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตร่วมกับผู้คนในโลกกว้างนะ...ทาเกโซ”
4
ทาเกโซออกจากห้องปิดตายบนหอคอยปราสาทนกกระยางขาวหลังจากถูกขังอยู่สามปี และถูกนำตัวไปพบกับอิเกดะ เทรูมาซะเจ้าของปราสาท เมื่อสามปีก่อนเจ้าหนุ่มถูกจับมานั่งคุกเข่าในสวนของปราสาทเยี่ยงนักโทษต่อหน้าจอมทัพ แต่วันนี้ได้ขึ้นมานั่งบนพื้นระเบียงไม้นอกห้องโถงใหญ่ในบ้านที่อยู่ของเจ้าของปราสาท
“ว่ายังไง เจ้ามีใจที่จะเข้ามาเป็นนักรบอยู่ในกองทัพของตระกูลเราไหม
จอมทัพเทรูมาซะผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยถาม
ทาเกโซกล่าวคำขอบคุณด้วยถ้อยคำที่แสดงความเคารพสูงสุด ก่อนที่จะปฏิเสธอย่างฉะฉานว่า ข้อเสนอของท่านจอมทัพนั้นล้ำค่านัก แต่ขณะนี้ตนยังไม่พร้อมที่จะเข้าสังกัดกองทัพของแคว้นใด และว่า
“หากข้าเข้ามาเป็นนักรบในกองทัพของท่าน วิญญาณภูตผีอาจถูกปลุกขึ้นมาหลอกหลอนในห้องปิดตายบนหอคอย ทุกคืน ๆ อย่างที่คนที่นี่เล่าลือกันเป็นแน่”
“ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้น”
“หากเอาไฟส่องดูภายในห้องปิดตายบนหอคอยนั้นให้ชัด ๆ ท่านจะเห็นคราบดำเหมือนสีชาดติดอยู่ตามขื่อตามเสาและที่บานประตูปิดช่องบันได และเมื่อดูให้ดีก็จะรู้ว่ามันคือเลือดของมนุษย์ทั้งนั้น และอาจเป็นเลือดหยาดสุดท้ายของคนตระกูลอากามัตสึที่ตายในปราสาทแห่งนี้ก็ได้”
“อือ...คงใช่”
“ข้าเห็นแล้วขนลุกทั่วทั้งตัว เลือดของข้าเดือดพล่านด้วยโทะรุนแรงอย่างสุดที่จะพาคำมาบรรยาย ตระกูลอากามัตสึอันเป็นบรรพบุรุษของข้าที่เคยมีแสนยานุภาพเหนือแว่นแคว้นทั่วภาคกลางถูกทำลายล้างราวถูกกวาดไปกับลมแรงในฤดูใบไม้ร่วง แต่กระนั้นสายโลหิตของตระกูลยังสืบทอดสู่ลูกหลานรุ่นหลังมาจนทุกวันนี้ แม้สกุลและนามจะเปลี่ยนไปเป็นอื่น และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือชินเม็น ทาเกโซผู้อ่อนด้อยเกียรติศักดิ์ผู้นี้
ดังนั้นหากข้ายังอยู่ที่ปราสาทนี้ ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าจะเป็นการปลุกวิญญาณภูตผีในห้องปิดตายให้ลุกฮือขึ้นมาอาละวาดวุ่นวาย เรียกร้องให้ลูกหลานตระกูลอากามัตสึชิงปราสาทนกกระยางขาวแห่งนี้คืนมา ซึ่งเท่ากับเป็นการทำให้วงจรมรณะหมุนเวียนเข้าสู่รอบเดิม ความสันติสุขของประชาชนพลเมืองก็จะพลอยสูญสิ้นไปด้วย”
“ข้าเข้าใจ”
จอมทัพเทรูมาซะพยักหน้า
“เจ้าตั้งใจจะกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านมิยาโมโตะตลอดชีวิตเช่นนั้นรึ”
ทาเกโซยิ้มและนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกว่า
“ข้าอยากออกเดินทางพเนจรสักชั่วระยะหนึ่ง”
“อ้อ”
จอมทัพรับคำแล้วหันไปทางพระทากูอัน
“ท่านช่วยดูแลเรื่องเสื้อผ้าและเงินทองให้เจ้าหนุ่มด้วยนะ”
“อาตมาขอบพระคุณท่านมากที่เมตตากรุณาเด็กคนนี้”
“หลวงพี่ทากูอัน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินคำขอบใจจากท่าน”
“ฮะ ฮะ ฮะ ถ้าจะจริง”
“การออกเดินทางพเนจรช่วงที่ยังหนุ่มเป็นสิ่งดี แต่ไม่ว่าจะไปแห่งใดขออย่าได้ลืมชาติกำเนิดและบ้านเกิดเมืองนอน ทาเกโซจากนี้ไปข้าขอให้เจ้าใช้ชื่อสกุลว่ามิยาโมโตะ...มิยาโมโตะตามชื่อหมู่บ้านของเจ้า”
“ขอรับ”
มือสองข้างจรดลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ทาเกโซก้มศีรษะลงต่ำและนิ่งนาน
“ข้าขอน้อมรับด้วยความยินดี”
ทากูอันเอ่ยแทรกขึ้นว่า
“武蔵อักษรคันจิที่ใช้เขียนชื่อของเจ้านั้น ข้าขอเปลี่ยนคำอ่านเสียใหม่เป็น มูซาชิ ตามหลักการอ่านอักขระแบบญี่ปุ่นแทนคำอ่านว่าทาเกโซที่ใช้มาตลอด วันนี้เป็นวันที่เจ้าเกิดใหม่จากห้องปิดตายอันมืดมิดซึ่งเปรียบเสมือนครรภ์มารดา สู่โลกอันสว่างไสวด้วยลำแสงแห่งปัญญา ทุกอย่างสำหรับเจ้าก็ควรจะใหม่ด้วย”
“จริงของท่าน”
จอมทัพเทรูมาซะอารมณ์ดี
“มิยาโมโต มูซาชิ ชื่อดีมีมงคล เห็นจะต้องฉลองกันหน่อย” ว่าแล้วก็ร้องสั่งให้บริวารไปจัดหาสาเก
จอมทัพเทรูมาซะนำพระทากูอันกับทาเกโซย้ายไปอีกห้องหนึ่ง บริวารและพนักงานของปราสาทมาร่วมชุมนุมฉลองกันอย่างคึกครื้นรื่นเริง และเมื่อร่ำสุราจนได้ที่พระทากูอันก็ลุกขึ้นร่ายรำท่วงท่าคล่องแคล่วตลกขบขันให้ทุกคนได้ชมกันอย่างสำราญบานใจ ทาเกโซผู้ได้ชื่อใหม่ว่ามูซาชิดื่มพลางชมการร่ายรำด้วยความเบิกบานใจในวันแรกที่ได้ออกมาลืมตาดูโลก
พระทากูอันกับมูซาชิออกจากปราสาทนกกระยางขาวในวันรุ่งขึ้น
ทั้งสองมีจุดหมายปลายทางต่างกันออกไปจึงจะไม่ได้พบกันไปอีกระยะหนึ่ง พระทากูอันบอกว่าจะออกเดินทางพเนจรไปโดยไม่มีจุดหมาย ส่วนมูซาชิบอกว่าอยากออกเดินทางก้าวแรกสู่การฝึกตนและฝึกวิชาฝนวิชาดาบ
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอแยกทางกับท่านตรงนี้
มูซาชิบอกลาเมื่อเดินลงมาถึงเมืองท้ายปราสาท แต่พอจะออกเดินก็ถูกหลวงพี่ทากูอันฉุดแขนเสื้อเอาไว้
“มูซาชิ...เจ้ายังมีคนที่อยากพบอยู่อีกคนหนึ่งไม่ใช่รึ”
“หือ? ใครรึหลวงพี่”
“โอกินยังไงเล่า”
“เอ๊ะ คุณพี่ยังมีชีวิตอยู่รึ”
มูซาชิน้ำตาซึมขึ้นมาทันที เจ้าหนุ่มไม่เคยลืมพี่สาวคนเดียวในโลกนี้ของตนเลย
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
พระทากูอันเป็นเพื่อนร่วมนิกายเซ็นกับจริงเทรูมาซะดังที่ได้บอกกับอาโอกิ ทันซาเอมอนซามูไรหนวดปลาดุกตอนอยู่ที่วัด ชิปโปจิ
“เสร็จแล้วมาที่ห้องพิธีชานะท่าน”
“นี่อาตมาต้องดื่มชาเฝื่อน ๆ ที่ท่านชงอีกแล้วรึ”
“เลิกดูถูกกันได้แล้ว ระยะนี้ข้าเก่งขึ้นมาก วันนี้แหละเทรูมาซะจะแสดงให้ท่านดูว่าฝีมือไม่ใช่ย่อยอย่างที่คิด รีบมานะข้ารออยู่
เทรูมาซะลุกขึ้นเดินหายเข้าไปข้างใน ถึงร่างจะเตี้ยแต่ความมีสง่าบารมีทำให้ดูใหญ่โตคับปราสาทนกกระยางขาว
3
มืดสนิท...ห้องปิดตายบนยอดหอคอยสังเกตการณ์ของปราสาทนกกระยางขาวมืดสนิท
ที่นี่ไม่มีปฏิทินที่จะช่วยบ่งบอกวันเวลา ที่นี่ไม่มีทั้งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใด ๆ ของการดำรงชีวิตแว่วมาให้ได้ยิน มีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงที่ส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าซีดขาวเพียงซีกเดียวของทาเกโซ ความเย็นเยียบของพื้นกระดานและเสาค้ำขื่อเพดานดำทะมึน และลมหายใจที่เห็นเป็นละอองขาวยามผ่านแสงสลัวของตะเกียงบอก ทาเกโซว่ากำลังอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว
ซุนจือกล่าวไว้ว่า
อันภูมิประเทศนั้นมีทั้งพื้นที่ที่ผ่านไปได้
พื้นที่ต้องหยุด
พื้นที่ที่จำกัด
พื้นที่ลาดชัน
พื้นที่แคบ
พื้นที่ห่างไกล
ตำราพิชัยสงครามของซุนจือกางอยู่บนโต๊ะเตี้ยเปิดอยู่ที่หน้าภูมิประเทศ คราใดที่พบข้อความประทับใจทาเกโซก็จะอ่านออกเสียงดังกังวานซ้ำหลายครั้ง
...ดังนั้น
ผู้รู้วิถีแห่งการทหารจึงเคลื่อนไหวโดยมิลังเล ปฏิบัติได้โดยมิมีข้อจำกัด
และว่า
หากรู้เขารู้เรา
ก็จะได้ชัยชนะโดยมิมีอันตราย
หากหยั่งรู้กระแสแห่งดินฟ้า
ก็จะได้ชัยชนะเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง
คราใดที่เพ่งมองตัวอักษรจนสายตาพร่าพรายทาเกโซก็จะล้างตาด้วยน้ำที่วางอยู่ข้างตัว และเมื่อไส้ตะเกียงส่งเสียงอุทธรณ์ว่าแห้งน้ำมันทาเกโซก็จะดับตะเกียงเสีย
ทาเกโซจมอยู่ในกองหนังสือที่คลังหนังสือของแคว้นให้ยืมมา มีทั้งหนังสือญี่ปุ่นและหนังสือจีน มีทั้งตำราพุทธศาสนานิกายเซ็น และตำราประวัติศาสตร์วางสุมกันเป็นภูเขาอยู่ข้างโต๊ะตัวน้อย
ก่อนส่งตัวทาเกโซขึ้นมาขังเดี่ยวอยู่ในห้องปิดตายบนยอดปราสาทแห่งนี้แล้วจากไป พระทากูอันเทศนาสั่งสอนว่า
“ทาเกโซ เจ้าจงอ่านหนังสือเท่าไรก็ได้ตามแต่ใจต้องการ พระผู้มีชื่อเสียงในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่ได้เข้าไปอ่านหนังสือหมื่นเล่มในคลังหนังสือ ท่านจะกลับออกมาด้วยความรู้สึกว่าดวงตาแห่งใจเบิกสว่างขึ้นทีละน้อยทุกครั้งไป
เจ้าจงคิดว่าห้องมืดนี้คือครรภ์มารดาแห่งตน และเข้าไปเตรียมตัวเพื่อที่จะได้คลอดออกมาสู่โลก มองด้วยตาเปล่าห้องนี้เป็นห้องมืดที่ปิดตายไม่มีผู้ใดประสงค์เข้ามาใกล้ แต่หากมองด้วยดวงตาแห่งใจก็จะพบว่าห้องนี้สว่างไสวยิ่งนัก ด้วยแสงสว่างของภูมิปัญญาที่ศาสดาและผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณทั้งของญี่ปุ่นและจีนอุทิศให้แก่วัฒนธรรมของเรา เจ้าจงดูให้ดีและคิดให้ดี ห้องที่เจ้าใช้ชีวิตอยู่นี้จะเป็นคุกมืดหรือเป็นคลังแสงสว่างแห่งปัญญานั้นขึ้นอยู่กับใจของเจ้าเท่านั้น...ทาเกโซ”
จากนั้นทาเกโซไม่รู้ว่าวันคืนผ่านพ้นไปนานเท่าไร
คราใดที่รู้สึกหนาวจึงจะรู้ว่าย่างเข้าฤดูหนาวและเมื่ออุ่นขึ้นจึงจะรู้ว่าย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ทาเกโซลืมวันลืมเดือนหมดสิ้นแต่เมื่อนับจากจำนวนครั้งที่นกนางแอ่นบินกลับรังที่ซอกกำแพงหอคอย จึงรู้ว่าน่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิปีที่สามหลังจากที่ตนเข้ามาอยู่ในห้องนี้
“ข้าอายุยี่สิบเอ็ด”
ทาเกโซกระซิบบอกตัวเอง ใบหน้าของเจ้าหนุ่มเครียดขรึมเมื่อหวนคิดถึงชีวิตอันไร้ค่าแต่หนหลัง
“ข้าได้ทำอะไรมาบ้าง ตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา”
ความละอายพลุ่งขึ้นมาจากห้วงลึกถาโถมกระหน่ำหัวใจจนเจ็บระบม ทาเกโซทอดถอนใจทนทุกข์อยู่นานวัน ไม่สนใจกับกายตัวจนผมเผ้าและหนวดเครายุ่งเหยิง
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
เสียงนกนางแอ่นที่บินข้ามทะเลมาส่งเสียงเรียกหากันอยู่ที่ชายคาหอคอย เป็นสัญญาณแจ้งว่าถึงฤดูใบไม้ผลิอีกปีหนึ่งแล้วและปีนี้เป็นปีที่สาม
อยู่ ๆ วันหนึ่งก็มีเสียงเรียกขึ้นมา พร้อมกับประตูที่ลั่นดาลปิดช่องบันไดถูกเปิดและหลวงพี่ทาเกโซปีนขึ้นมา
“ทาเกโซ สบายดีรึ”
ทาเกโซปราดเข้าไปจับชายจีวรเอาไว้แน่น ความปีติที่ได้พบคนที่ตนรอคอยด้วยความโหยหาพลุ่งขึ้นมาตื้นตันอยู่ในอกจนพูดไม่ออก
“อาตมาเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล เวลาผ่านไปสามปีพอดีจึงคิดว่าเจ้าคงจะเติบโตเข้มแข็งเป็นตัวเป็นตนอยู่ในครรภ์มารดาพร้อมคลอดออกมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกกับคนอื่น ๆ ได้แล้ว”
“บุญคุณของหลวงพี่ทากูอันใหญ่หลวงเกินกว่าจะหาคำมาแสดงความขอบคุณได้หมดใจข้า”
“ขอบคุณรึ ฮะ...ฮะ...ฮะ เจ้ารู้จักพูดเป็นมนุษย์มนากับที่เขาพูดกันแล้วหรือนี่ เอาละ เจ้าออกจากห้องนี้ได้แล้ว และจงนำเอาแสงสว่างแห่งปัญญาที่ได้รับที่นี่ ติดตัวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตร่วมกับผู้คนในโลกกว้างนะ...ทาเกโซ”
4
ทาเกโซออกจากห้องปิดตายบนหอคอยปราสาทนกกระยางขาวหลังจากถูกขังอยู่สามปี และถูกนำตัวไปพบกับอิเกดะ เทรูมาซะเจ้าของปราสาท เมื่อสามปีก่อนเจ้าหนุ่มถูกจับมานั่งคุกเข่าในสวนของปราสาทเยี่ยงนักโทษต่อหน้าจอมทัพ แต่วันนี้ได้ขึ้นมานั่งบนพื้นระเบียงไม้นอกห้องโถงใหญ่ในบ้านที่อยู่ของเจ้าของปราสาท
“ว่ายังไง เจ้ามีใจที่จะเข้ามาเป็นนักรบอยู่ในกองทัพของตระกูลเราไหม
จอมทัพเทรูมาซะผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยถาม
ทาเกโซกล่าวคำขอบคุณด้วยถ้อยคำที่แสดงความเคารพสูงสุด ก่อนที่จะปฏิเสธอย่างฉะฉานว่า ข้อเสนอของท่านจอมทัพนั้นล้ำค่านัก แต่ขณะนี้ตนยังไม่พร้อมที่จะเข้าสังกัดกองทัพของแคว้นใด และว่า
“หากข้าเข้ามาเป็นนักรบในกองทัพของท่าน วิญญาณภูตผีอาจถูกปลุกขึ้นมาหลอกหลอนในห้องปิดตายบนหอคอย ทุกคืน ๆ อย่างที่คนที่นี่เล่าลือกันเป็นแน่”
“ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้น”
“หากเอาไฟส่องดูภายในห้องปิดตายบนหอคอยนั้นให้ชัด ๆ ท่านจะเห็นคราบดำเหมือนสีชาดติดอยู่ตามขื่อตามเสาและที่บานประตูปิดช่องบันได และเมื่อดูให้ดีก็จะรู้ว่ามันคือเลือดของมนุษย์ทั้งนั้น และอาจเป็นเลือดหยาดสุดท้ายของคนตระกูลอากามัตสึที่ตายในปราสาทแห่งนี้ก็ได้”
“อือ...คงใช่”
“ข้าเห็นแล้วขนลุกทั่วทั้งตัว เลือดของข้าเดือดพล่านด้วยโทะรุนแรงอย่างสุดที่จะพาคำมาบรรยาย ตระกูลอากามัตสึอันเป็นบรรพบุรุษของข้าที่เคยมีแสนยานุภาพเหนือแว่นแคว้นทั่วภาคกลางถูกทำลายล้างราวถูกกวาดไปกับลมแรงในฤดูใบไม้ร่วง แต่กระนั้นสายโลหิตของตระกูลยังสืบทอดสู่ลูกหลานรุ่นหลังมาจนทุกวันนี้ แม้สกุลและนามจะเปลี่ยนไปเป็นอื่น และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือชินเม็น ทาเกโซผู้อ่อนด้อยเกียรติศักดิ์ผู้นี้
ดังนั้นหากข้ายังอยู่ที่ปราสาทนี้ ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าจะเป็นการปลุกวิญญาณภูตผีในห้องปิดตายให้ลุกฮือขึ้นมาอาละวาดวุ่นวาย เรียกร้องให้ลูกหลานตระกูลอากามัตสึชิงปราสาทนกกระยางขาวแห่งนี้คืนมา ซึ่งเท่ากับเป็นการทำให้วงจรมรณะหมุนเวียนเข้าสู่รอบเดิม ความสันติสุขของประชาชนพลเมืองก็จะพลอยสูญสิ้นไปด้วย”
“ข้าเข้าใจ”
จอมทัพเทรูมาซะพยักหน้า
“เจ้าตั้งใจจะกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านมิยาโมโตะตลอดชีวิตเช่นนั้นรึ”
ทาเกโซยิ้มและนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกว่า
“ข้าอยากออกเดินทางพเนจรสักชั่วระยะหนึ่ง”
“อ้อ”
จอมทัพรับคำแล้วหันไปทางพระทากูอัน
“ท่านช่วยดูแลเรื่องเสื้อผ้าและเงินทองให้เจ้าหนุ่มด้วยนะ”
“อาตมาขอบพระคุณท่านมากที่เมตตากรุณาเด็กคนนี้”
“หลวงพี่ทากูอัน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินคำขอบใจจากท่าน”
“ฮะ ฮะ ฮะ ถ้าจะจริง”
“การออกเดินทางพเนจรช่วงที่ยังหนุ่มเป็นสิ่งดี แต่ไม่ว่าจะไปแห่งใดขออย่าได้ลืมชาติกำเนิดและบ้านเกิดเมืองนอน ทาเกโซจากนี้ไปข้าขอให้เจ้าใช้ชื่อสกุลว่ามิยาโมโตะ...มิยาโมโตะตามชื่อหมู่บ้านของเจ้า”
“ขอรับ”
มือสองข้างจรดลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ทาเกโซก้มศีรษะลงต่ำและนิ่งนาน
“ข้าขอน้อมรับด้วยความยินดี”
ทากูอันเอ่ยแทรกขึ้นว่า
“武蔵อักษรคันจิที่ใช้เขียนชื่อของเจ้านั้น ข้าขอเปลี่ยนคำอ่านเสียใหม่เป็น มูซาชิ ตามหลักการอ่านอักขระแบบญี่ปุ่นแทนคำอ่านว่าทาเกโซที่ใช้มาตลอด วันนี้เป็นวันที่เจ้าเกิดใหม่จากห้องปิดตายอันมืดมิดซึ่งเปรียบเสมือนครรภ์มารดา สู่โลกอันสว่างไสวด้วยลำแสงแห่งปัญญา ทุกอย่างสำหรับเจ้าก็ควรจะใหม่ด้วย”
“จริงของท่าน”
จอมทัพเทรูมาซะอารมณ์ดี
“มิยาโมโต มูซาชิ ชื่อดีมีมงคล เห็นจะต้องฉลองกันหน่อย” ว่าแล้วก็ร้องสั่งให้บริวารไปจัดหาสาเก
จอมทัพเทรูมาซะนำพระทากูอันกับทาเกโซย้ายไปอีกห้องหนึ่ง บริวารและพนักงานของปราสาทมาร่วมชุมนุมฉลองกันอย่างคึกครื้นรื่นเริง และเมื่อร่ำสุราจนได้ที่พระทากูอันก็ลุกขึ้นร่ายรำท่วงท่าคล่องแคล่วตลกขบขันให้ทุกคนได้ชมกันอย่างสำราญบานใจ ทาเกโซผู้ได้ชื่อใหม่ว่ามูซาชิดื่มพลางชมการร่ายรำด้วยความเบิกบานใจในวันแรกที่ได้ออกมาลืมตาดูโลก
พระทากูอันกับมูซาชิออกจากปราสาทนกกระยางขาวในวันรุ่งขึ้น
ทั้งสองมีจุดหมายปลายทางต่างกันออกไปจึงจะไม่ได้พบกันไปอีกระยะหนึ่ง พระทากูอันบอกว่าจะออกเดินทางพเนจรไปโดยไม่มีจุดหมาย ส่วนมูซาชิบอกว่าอยากออกเดินทางก้าวแรกสู่การฝึกตนและฝึกวิชาฝนวิชาดาบ
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอแยกทางกับท่านตรงนี้
มูซาชิบอกลาเมื่อเดินลงมาถึงเมืองท้ายปราสาท แต่พอจะออกเดินก็ถูกหลวงพี่ทากูอันฉุดแขนเสื้อเอาไว้
“มูซาชิ...เจ้ายังมีคนที่อยากพบอยู่อีกคนหนึ่งไม่ใช่รึ”
“หือ? ใครรึหลวงพี่”
“โอกินยังไงเล่า”
“เอ๊ะ คุณพี่ยังมีชีวิตอยู่รึ”
มูซาชิน้ำตาซึมขึ้นมาทันที เจ้าหนุ่มไม่เคยลืมพี่สาวคนเดียวในโลกนี้ของตนเลย