นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เมื่อวานเห็นอยู่ตรงนั้นวันนี้ก็ยังเห็น
มองขึ้นไปจากตรงนี้เห็นโขดหินตั้งเด่นอยู่บนที่ราบสูงฮินางูระ และมีอะไรดำ ๆ เหมือนยอดโขดหินหักตกลงมาอยู่ข้าง ๆ นั้น
“เอ็งว่าไอ้นั่นมันตัวอะไร”
นายยามเฝ้าด่านผ่านทางข้ามแคว้นยกมือขึ้นป้องหน้าเขม้นมองไปพลางถามผองเพื่อน เผอิญจังหวะไม่ดีที่แสงแดดจัดสาดกระทบโขดหินตาจึงพร่ามองไม่ชัด เพื่อนไม่สนใจเท่าไรแค่ชำเลืองดูนิดเดียว
“กระต่ายละมัง”
“ข้าว่าใหญ่กว่ากระต่าย น่าจะกวางมากกว่า”
อีกคนเห็นเพื่อนเถียงกันก็ป้องหน้าดูบ้างแล้วค้านว่า
“นิ่งอย่างนั้นจะเป็นกวางหรือกระต่ายไปได้ยังไง นิ่งอย่างนั้นมันก็โขดหินหรือไม่ก็ตอไม้เราดี ๆ นี่เอง”
อีกคนไม่เห็นด้วยสอดขึ้นมาว่า
“โขดหินหรือตอไม้มันจะผุดขึ้นมาได้ไงชั่วข้ามคืน สองสามวันก่อนยังไม่มีเลย”
ยังไม่ทันขาดคำก็ถูกเพื่อนเถียงเสียเขียว
“เอ็งไม่เคยเห็นหินอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟ้ารึไง”
“ช่างมันเถอะ พวกเอ็งจะเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมา”
เจ้าคนรักสงบยื่นหน้าเข้ามาไกล่เกลี่ย
“ชั่งมันไม่ได้นะเว้ย นึกว่าเขาส่งเอ็งมาพักผ่อนยืนอาบแดดดูวิวเล่นไปวัน ๆ หรือยังไง เอ็งต้องรู้ดีเช่นเดียวกับเราทุกคนที่นี่ว่าด่านฮินางูระแห่งนี้สำคัญเพียงใด ตรงนี้เป็นจุดตรวจคนเดินทางที่จะผ่านเข้าออกจากแคว้นเราไปยังสี่แคว้นคือทาจิมะ อินชู ซุกูชูและฮาริมะอย่างเข้มงวดกวดขัน”
“รู้แล้ว ไม่ต้องมาสาธยาย”
“ถ้าไอ้ที่เห็นตะคุ่ม ๆ อยู่นั่นไม่ใช่กระต่ายและไม่ใช่ก้อนหิน เกิดเป็นคนขึ้นมาจะทำกันยังไง”
“เออ ๆ ข้าประมาทไปหน่อย เลิกเถียงกันได้แล้ว”
นายยามคนรักสงบยอมประนีประนอมนึกว่าให้มันจบ ๆ ไปแต่ที่ไหนได้
“จริงด้วย อาจเป็นคนก็ได้นะ”
“เป็นไปได้ไง”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ลองยิงธนูไปดูไหม”
พูดจบนายยามแม่นธนูก็วิ่งกลับไปหยิบคันธนูพร้อมลูกศรออกมาจากที่ทำการด่านตรวจ ปลดแขนเสื้อกิโมโนออกข้างหนึ่งตั้งท่าเหนี่ยวคันธนูสุดแรงอย่างถูกท่วงท่าวิถีแห่งธนู เป้าปริศนาคือจุดดำที่โดดเด่นอยู่ตรงที่แนวเนินลาดตัดกับท้องฟ้าโปร่งแจ่มใส ตรงแน่วจากด่านตรวจข้ามเหวลึก
เฟี้ยว !!!
ลูกธนูแหวกอากาศด้วยพลังแรงของซามูไรหนุ่มพุ่งตรงสู่เป้า
“ต่ำไป”
กองเชียร์ตำหนิไม่ไว้หน้า
สายธนูดีดดังผึงตามไปเป็นลูกที่สอง
“แย่มาก ไม่ได้ความ เอามานี่”
ลูกพี่แย่งคันธนูไปตั้งท่าขึงขังยิงออกไปบ้าง แต่ลูกศรตกหวิวลงเหวไปให้รุ่นน้องกลั้นยิ้ม
“เอะอะอะไรกัน”
ซามูไรระดับนายด่านเดินอาด ๆ ออกมา
“ยิงธนูกันรึ ไหนเอามาให้ข้าประลองฝีมือหน่อย”
ซามูไรนายด่านคว้าคันธนูมาจากลูกน้อง แล้วตั้งท่าง้างธนูด้วยพลังแรงดูท่วงท่าองอาจสง่างามกว่าลูกน้องหลายชั้นเชิง แต่พอเขม้นมองเป้าหมายแล้วก็กลับผ่อนแรงและลดคันธนูลง แล้วหันมาสั่ง
“พวกเจ้าไปจับตัวมาให้ได้”
“ทำไมขอรับ”
“นั่นมันคนชัด ๆ จะเป็นฤๅษี เป็นสายลับจากแคว้นศัตรู หรือว่าเป็นคนคิดสั้นกำลังจะกระโดดเหวตาย ข้าไม่รู้ได้ แต่พวกเจ้าต้องไปจับตัวมาให้ได้โดยเร็ว”
“เห็นไหมล่ะ ข้าบอกแล้ว”
นายยามปากกล้าได้ทีจึงข่มเพื่อน เลยโดนนายดุเข้าให้
“เอ็งอย่ามัวมาพูดดีอยู่เลย รีบไปจับตัวมาเดี๋ยวนี้”
“เฮ้ย พวกเอ็ง เราจะข้ามเหวไปจับมันได้ยังไง”
“ลงไปเดินเลาะหุบเขาไปยังงั้นรึ”
“แล้วเมื่อไหร่จะถึง”
“ช่วยไม่ได้ ต้องเดินอ้อมเขาลูกนั้นไป”
ทาเกโซนั่งกอดอกมองข้ามหุบเหวจับจ้องไปที่หลังคาเรือนซึ่งเป็นที่ทำการของด่านตรวจฮินางูระ ด้วยความแน่ใจว่าหนึ่งในเรือนหลายหลังของด่านตรวจคนเดินทางแห่งนี้จะต้องเป็นที่กักขังโอกินพี่สาวของตน
เจ้าหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้เมื่อวานนี้ทั้งวัน และจนวันนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นได้ง่าย ๆ
2
ทาเกโซบุกมาถึงนี่ด้วยความฮึกเหิมว่า
แค่ด่านตรวจที่มีซามูไรประจำการห้าสิบอย่างมากก็ร้อยนายมันจะเท่าไรนัก
แต่เท่าที่นั่งสังเกตการณ์มาสองวัน รู้สึกว่ามันจะไม่ง่ายเท่าที่คิดเสียแล้ว ด้านหนึ่งคือเหวลึก และประตูด่านนั้นเล่าก็แข็งแรงกั้นเอาไว้ถึงสองชั้น
ยิ่งกว่านั้นพื้นที่บริเวณด่านตรวจยังเป็นที่ราบสูงกว้างขวาง ไม่มีต้นไม้หรือเนินสูงต่ำให้พอหลบซ่อนตัวได้ ขืนบุกเข้าไปช่วยคุณพี่ตอนกลางวัน หากมีนายยามลาดตระเวนผ่านมาพบเข้าก็คงหนีไม่พ้น
จะหักด่านเข้าไปตอนกลางคืนหรือก็ทั้งยาก เพราะประตูด่านปิดลั่นดาลแน่นหนาทั้งสองชั้นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินเสียอีก ขืนผลีผลามบุกเข้าไปพนักงานจะได้ตีเกราะเคาะไม้ออกมารุมจับเป็นจ้าละหวั่น
ไม่มีทาง ทาเกโซร้องอยู่ในใจ แค่จะเข้าไปใกล้ด่านตรวจก็ยังไม่เห็นหนทาง
น่าอนาถ
ทาเกโซพลุ่งพล่าน
ข้าโลดแล่นออกมาเป็นตายไม่ว่าหวังช่วยคุณพี่ออกมาให้ได้ แต่ทำไมถึงมานั่งจนแต้มอยู่ที่ข้างโขดหินอย่างนี้
เจ้าหนุ่มนึกอนาถตนเองที่นั่งคิดหากลอุบายหักด่านอยู่ที่นี่ถึงสองวันแต่ก็คิดอะไรไม่ออก
ทำไมข้าถึงได้กลายเป็นคนขี้ขลาดไปได้
ทาเกโซถามใจว่าทำไมตนถึงเป็นอย่างนี้ เพราะไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าตนจะเป็นกลายคนอ่อนแอไปได้
ทาเกโซนั่งกอดอกนิ่งคิดอยู่อย่างนั้น...รู้แล้วว่าทำไม...กลัว ข้ากลัวที่จะเข้าใกล้ด่านตรวจ
ข้ากลัว ข้าไม่ใช่ทาเกโซคนเดิมที่ไม่เคยกลัวใคร ข้าเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นเมื่อวันสองวันที่แล้ว...นี่หรือที่เขาเรียกว่า ขี้ขลาด
ไม่ใช่ !!
ทาเกโซสั่นหัวแรง ๆ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะขี้ขลาดไม่กล้าสู้ แต่เกิดจากปัญญาที่หลวงพี่ทากูอันเติมใส่ให้แก่ใจอันเร่าร้อน ปัญญานั้นช่วยบ่มใจให้เย็น ช่วยเบิกตาที่บอดมืดให้เผยอขึ้นและเริ่มมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เจ้าหนุ่มไม่เคยหยุดมองมาก่อน
หลวงพี่สอนว่าความกล้าหาญของมนุษย์แตกต่างจากความกล้าของสัตว์ ความกล้าหาญของนักรบที่แท้จริงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความมุทะลุดุดันของนักเลงหัวไม้ที่ไม่รู้คุณค่าของชีวิต
ข้าตาสว่างแล้ว ดวงตาแห่งหัวใจของข้าเริ่มมองเห็นความกลัวขึ้นมาลาง ๆ นำข้ากลับคืนสู่ตัวตนเมื่อแรกเกิด ทาเกโซไม่ได้มีสันดานเป็นสัตว์ร้ายมาแต่กำเนิด ทาเกโซคือมนุษย์...คือคนคนหนึ่ง
เมื่อสำนึกถึงความหมายของการเป็นมนุษย์ได้เช่นนั้น ทาเกโซก็รู้สึกถึงความสำคัญของชีวิตขึ้นมาทันที เจ้าหนุ่มรู้สึกหวงแหนชีวิตไม่ปรารถนาที่จะให้ชีวิตนี้สิ้นสุดไปก่อนที่จะได้พิสูจน์ว่าตนสามารถขัดเกลาให้ชีวิตนั้นเลอค่าและคุ้มค่าเพียงใดกับที่ได้เกิดมาในโลกนี้เพียงใด
ใช่... นั่นคือคุณค่าของชีวิต ทาเกโซบอกกับตัวเองแล้วแหงนมองขึ้นไปบนผืนฟ้า
แต่...ทาเกโซต้องช่วยพี่สาวคนเดียวของตนออกมาให้พ้นอันตราย แม้จะต้องฝืนความกลัวและความรู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตที่เพิ่งบรรลุได้ในยามนี้เพียงใดก็ตาม
ทาเกโซตกลงใจว่าคืนนี้จะปีนลงไปถึงก้นเหว เดินข้ามไปปีนขึ้นทางด้านโน้นตรงที่ไม่มีประตูกั้นและมีนายยามเฝ้าน้อยคนและขณะที่กำลังมองลงไปในหุบเหวนั้นเอง ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาปักห่างปลายเท้าแค่เฉียดฉิว
ทาเกโซสะดุ้งและเพ่งมองไปทางด้านโน้นก็เห็นคนกรูกันออกมาเป็นฝูง ชี้มือชี้ไม้มาทางนี้แล้วกระจายตัวออก ทำให้รู้ว่าคงมีคนเห็นตนเข้าแล้ว
“ซ้อมยิงรึ”
เจ้าหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ตามเดิม ไม่นานพระอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยไปทางทิวเขาด้านตะวันตกและรอบบริเวณเริ่มมืดสลัว
ทาเกโซรอจนค่ำจึงเคลื่อนไหว เจ้าหนุ่มคว้าก้อนหินได้ก้อนหนึ่งเมื่อเห็นอาหารเย็นบินเข้ามาใกล้ และพอเขวี้ยงก้อนหินขึ้นไปด้วยความแม่นยำนกตัวหนึ่งก็หล่นลงมาให้ถอดขนฉีกเนื้อกิน ขณะที่ทาเกโซกำลังเคี้ยวนกเพลินอยู่นั้นเอง นายยามเฝ้าด่านตรวจราวสามสิบนายก็ส่งเสียงเหมือนนักรบตอนประจัญบานกรูเข้ามาล้อมเจ้าหนุ่มเอาไว้ ...เฮ้ย...ดังก้องไปทั่วหุบเหว
3
เฮ้ย นี่มันทาเกโซ ทาเกโซแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะ
ใครคนหนึ่งจำได้ร้องลั่นด้วยความตระหนก นายยามด่านตรวจร้อง...เฮ้ย เป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง
“อย่าประมาท เจ้านี่มันตัวร้าย”
ต่างคนร้องเตือนกันเพราะหลายคนเคยรู้ฤทธิ์กันดี
ทาเกโซยืนปักหลักเตรียมสู้จ้องตอบศัตรูด้วยดวงตาลุกโชนไม่แพ้กัน
“กล้าดีก็เข้ามา”
เจ้าหนุ่มทรงพลังระดมกำลังสองมือยกโขดหินก้อนใหญ่ทุ่มเข้าไปในวงนายยามที่รุมล้อมอยู่โดยไม่เลือกหน้าดังโครมใหญ่ โขดหินแดงเทือกนองเลือดกลิ้งไปกับพื้นตามมาด้วยเสียงโอดโอยของคนที่หลบไม่ทัน ทาเกโซวิ่งฝ่าวงล้อมด้านที่เปิดออกสุดฝีเท้าของกวางหนุ่ม วิ่งแต่ไม่ได้วิ่งหนีอย่างที่หลายคนคิด แต่วิ่งตรงไปทางด่านตรวจผมลู่ลมฟูกระเซิงไปข้างหลังราวราชสีห์
“เฮ้ย มันจะไปไหน”
นายยามเฝ้าด่านตรวจยังยืนตกตะลึงเมื่อเห็นทาเกโซวิ่งโลดไปในทิศทางที่คิดไม่ถึง
“มันเป็นบ้าไปหรือเปล่า”
ใครคนหนึ่งตะโกนบอกกัน
พอได้สติกลุ่มนายยามก็ตะโกนพร้อมกันเหมือนยกทัพไปปราบศึกเป็นครั้งที่สามก่อนกวดตามไปทางด่านตรวจ กว่าจะถึงทาเกโซก็วิ่งเข้าประตูหน้าด่านตรวจไปนานแล้ว
ที่นี่คือคุกแดนตาย...แต่ทาเกโซไม่สนใจกับอะไรทั้งสิ้น แม้แต่อาวุธมีคมเรียงราย ประตูรั้วกั้นสองชั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ที่เข้ามารุล้อม เจ้าหนุ่มผลักซามูไรไม่รู้ว่ากี่คนต่อกี่คนที่ถลันออกมาหวังจับตัวให้ได้ทั้งซ้ายทั้งขวากระเด็นไปคนละทางสองทาง และพอเข้าไปถึงประตูด้านในก็ปราดเข้าไปจับเสาเขย่าด้วยพลังมหาศาลจนบานประตูทลายราบ แล้วถอนเสาขึ้นมากวัดแกว่งเป็นอาวุธตีฝ่าฝูงซามูไรและนายยามลึกเข้าไปข้างในโดยไม่มีใครอาจหยุดยั้งได้ แม้แต่ดาบและทวนที่ฟาดฟันกันเข้ามาก็หักบ้างลอยคว้างไปตกเกลื่อนกราด
“คุณพี่ คุณพี่อยู่ไหน”
ทาเกโซแหวกวงล้อมเข้าไปจนถึงด้านหลัง มองหาพี่สาวไปตามเรือนที่ทำการด่านด้วยตาเป็นประกายราวไฟลุกโชน พลางร้องเรียกพี่สาวไม่ขาดปาก
“คุณพี่ อยู่ที่ไหน ทาเกโซมาช่วยแล้ว”
ประตูบานไหนปิดอยู่ถูกถีบถูกกระทุ้งด้วยเสาคู่มือจนเปิดอ้าหลุดทลายไปทุกบาน ไก่ที่นายยามเฝ้าด่านเลี้ยงเอาไว้ตกใจแตกฝูงวิ่งร้องหากันเจี๊ยวจ๊าว บ้างบินขึ้นไปบนหลังคาบ้าน ด่านตรวจฮินางูระกลายสภาพเหมือนค่ายที่ถูกข้าศึกบุกโจมตีจนแทบราบคาบ
“คุณพี่”
เสียงเรียกของทาเกโซแหบแห้งเกือบจะเป็นเสียงเดียวกับไก่ตื่น และเมื่อหาเท่าไรก็ไม่เจอโอกินเสียงเรียกก็เริ่มอ่อยลงด้วยความสิ้นหวัง
ทันใดนั้นเองทาเกโซก็เหลือบไปเห็นชายร่างเล็กคนหนึ่ง วิ่งปราดราวพังพอนออกมาจากเงาเรือนไม้สกปรกเหมือนห้องขัง เจ้าหนุ่มโยนเสาอาบเลือดออกไปขัดขาไว้แล้วกระโจนตามเข้าไปคร่อมตัวเอาไว้ทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ทาเกโซตบหน้าที่เหยเกเหมือนร้องไห้อย่างไม่ปราณีปราศรัยพลางขู่เสียงกร้าว
“คุกที่ขังพี่ข้าอยู่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าเตะเอ็งตายคาตีน”
“ม...ไม่อยู่ที่นี่แล้ว ข้ารู้มาว่าเมื่อสองวันก่อน ทางแคว้นสั่งให้ส่งตัวไปที่ฮิเมจิ”
“อะไรนะ ไปฮิเมจิรึ”
“ใช่ ใช่”
“จริงนะ”
“จริง”
ทาเกโซจับนายยามร่างเล็กคนนั้นโยนใส่กลุ่มคนที่ประชิดตัวเข้ามาแล้วหลบแวบเข้าไปแอบข้างกระท่อม พ้นคมธนูห้าหกดอกที่พุ่งเข้าใส่มาได้อย่างหวุดหวิด มีแค่ดอกหนึ่งทันเสียบเข้าที่ชายกิโมโน
ทาเกโซกัดเล็บหัวแม่มือ ยืนนิ่งดูลูกธนูแล่นแหวกอากาศเฟี้ยว เฟี้ยว และ...
พริบตานั้นเอง
เจ้าหนุ่มก็วิ่งไปที่รั้วแล้วพุ่งตัวข้ามออกไปด้านนอกทันทีด้วยความเร็วราวสายฟ้า
ตูม !!
เสียงปืนดังไล่หลังมาดังก้องสะท้อนไปทั้งหุบเหว
หนี !!! ทาเกโซออกวิ่งทันใดราวโขดหินกลิ้งลงมาจากยอดเขา
จงรู้จักกลัวสิ่งที่น่ากลัว
ความมุทะลุดุดันคือความประพฤติของเด็กเกเร คนโง่เขลา และสัตว์ร้าย
จงเข้มแข็งเยี่ยงนักรบ
ชีวิตล้ำค่าเหนือสิ่งใด
คำพูดของหลวงพี่ทากูอันแวบวาบผ่านใจด้วยความเร็วเทียมเท่าฝีเท้าที่พาร่างทาเกโซปลิวไปราวลมพัด
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เมื่อวานเห็นอยู่ตรงนั้นวันนี้ก็ยังเห็น
มองขึ้นไปจากตรงนี้เห็นโขดหินตั้งเด่นอยู่บนที่ราบสูงฮินางูระ และมีอะไรดำ ๆ เหมือนยอดโขดหินหักตกลงมาอยู่ข้าง ๆ นั้น
“เอ็งว่าไอ้นั่นมันตัวอะไร”
นายยามเฝ้าด่านผ่านทางข้ามแคว้นยกมือขึ้นป้องหน้าเขม้นมองไปพลางถามผองเพื่อน เผอิญจังหวะไม่ดีที่แสงแดดจัดสาดกระทบโขดหินตาจึงพร่ามองไม่ชัด เพื่อนไม่สนใจเท่าไรแค่ชำเลืองดูนิดเดียว
“กระต่ายละมัง”
“ข้าว่าใหญ่กว่ากระต่าย น่าจะกวางมากกว่า”
อีกคนเห็นเพื่อนเถียงกันก็ป้องหน้าดูบ้างแล้วค้านว่า
“นิ่งอย่างนั้นจะเป็นกวางหรือกระต่ายไปได้ยังไง นิ่งอย่างนั้นมันก็โขดหินหรือไม่ก็ตอไม้เราดี ๆ นี่เอง”
อีกคนไม่เห็นด้วยสอดขึ้นมาว่า
“โขดหินหรือตอไม้มันจะผุดขึ้นมาได้ไงชั่วข้ามคืน สองสามวันก่อนยังไม่มีเลย”
ยังไม่ทันขาดคำก็ถูกเพื่อนเถียงเสียเขียว
“เอ็งไม่เคยเห็นหินอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟ้ารึไง”
“ช่างมันเถอะ พวกเอ็งจะเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมา”
เจ้าคนรักสงบยื่นหน้าเข้ามาไกล่เกลี่ย
“ชั่งมันไม่ได้นะเว้ย นึกว่าเขาส่งเอ็งมาพักผ่อนยืนอาบแดดดูวิวเล่นไปวัน ๆ หรือยังไง เอ็งต้องรู้ดีเช่นเดียวกับเราทุกคนที่นี่ว่าด่านฮินางูระแห่งนี้สำคัญเพียงใด ตรงนี้เป็นจุดตรวจคนเดินทางที่จะผ่านเข้าออกจากแคว้นเราไปยังสี่แคว้นคือทาจิมะ อินชู ซุกูชูและฮาริมะอย่างเข้มงวดกวดขัน”
“รู้แล้ว ไม่ต้องมาสาธยาย”
“ถ้าไอ้ที่เห็นตะคุ่ม ๆ อยู่นั่นไม่ใช่กระต่ายและไม่ใช่ก้อนหิน เกิดเป็นคนขึ้นมาจะทำกันยังไง”
“เออ ๆ ข้าประมาทไปหน่อย เลิกเถียงกันได้แล้ว”
นายยามคนรักสงบยอมประนีประนอมนึกว่าให้มันจบ ๆ ไปแต่ที่ไหนได้
“จริงด้วย อาจเป็นคนก็ได้นะ”
“เป็นไปได้ไง”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ลองยิงธนูไปดูไหม”
พูดจบนายยามแม่นธนูก็วิ่งกลับไปหยิบคันธนูพร้อมลูกศรออกมาจากที่ทำการด่านตรวจ ปลดแขนเสื้อกิโมโนออกข้างหนึ่งตั้งท่าเหนี่ยวคันธนูสุดแรงอย่างถูกท่วงท่าวิถีแห่งธนู เป้าปริศนาคือจุดดำที่โดดเด่นอยู่ตรงที่แนวเนินลาดตัดกับท้องฟ้าโปร่งแจ่มใส ตรงแน่วจากด่านตรวจข้ามเหวลึก
เฟี้ยว !!!
ลูกธนูแหวกอากาศด้วยพลังแรงของซามูไรหนุ่มพุ่งตรงสู่เป้า
“ต่ำไป”
กองเชียร์ตำหนิไม่ไว้หน้า
สายธนูดีดดังผึงตามไปเป็นลูกที่สอง
“แย่มาก ไม่ได้ความ เอามานี่”
ลูกพี่แย่งคันธนูไปตั้งท่าขึงขังยิงออกไปบ้าง แต่ลูกศรตกหวิวลงเหวไปให้รุ่นน้องกลั้นยิ้ม
“เอะอะอะไรกัน”
ซามูไรระดับนายด่านเดินอาด ๆ ออกมา
“ยิงธนูกันรึ ไหนเอามาให้ข้าประลองฝีมือหน่อย”
ซามูไรนายด่านคว้าคันธนูมาจากลูกน้อง แล้วตั้งท่าง้างธนูด้วยพลังแรงดูท่วงท่าองอาจสง่างามกว่าลูกน้องหลายชั้นเชิง แต่พอเขม้นมองเป้าหมายแล้วก็กลับผ่อนแรงและลดคันธนูลง แล้วหันมาสั่ง
“พวกเจ้าไปจับตัวมาให้ได้”
“ทำไมขอรับ”
“นั่นมันคนชัด ๆ จะเป็นฤๅษี เป็นสายลับจากแคว้นศัตรู หรือว่าเป็นคนคิดสั้นกำลังจะกระโดดเหวตาย ข้าไม่รู้ได้ แต่พวกเจ้าต้องไปจับตัวมาให้ได้โดยเร็ว”
“เห็นไหมล่ะ ข้าบอกแล้ว”
นายยามปากกล้าได้ทีจึงข่มเพื่อน เลยโดนนายดุเข้าให้
“เอ็งอย่ามัวมาพูดดีอยู่เลย รีบไปจับตัวมาเดี๋ยวนี้”
“เฮ้ย พวกเอ็ง เราจะข้ามเหวไปจับมันได้ยังไง”
“ลงไปเดินเลาะหุบเขาไปยังงั้นรึ”
“แล้วเมื่อไหร่จะถึง”
“ช่วยไม่ได้ ต้องเดินอ้อมเขาลูกนั้นไป”
ทาเกโซนั่งกอดอกมองข้ามหุบเหวจับจ้องไปที่หลังคาเรือนซึ่งเป็นที่ทำการของด่านตรวจฮินางูระ ด้วยความแน่ใจว่าหนึ่งในเรือนหลายหลังของด่านตรวจคนเดินทางแห่งนี้จะต้องเป็นที่กักขังโอกินพี่สาวของตน
เจ้าหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้เมื่อวานนี้ทั้งวัน และจนวันนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นได้ง่าย ๆ
2
ทาเกโซบุกมาถึงนี่ด้วยความฮึกเหิมว่า
แค่ด่านตรวจที่มีซามูไรประจำการห้าสิบอย่างมากก็ร้อยนายมันจะเท่าไรนัก
แต่เท่าที่นั่งสังเกตการณ์มาสองวัน รู้สึกว่ามันจะไม่ง่ายเท่าที่คิดเสียแล้ว ด้านหนึ่งคือเหวลึก และประตูด่านนั้นเล่าก็แข็งแรงกั้นเอาไว้ถึงสองชั้น
ยิ่งกว่านั้นพื้นที่บริเวณด่านตรวจยังเป็นที่ราบสูงกว้างขวาง ไม่มีต้นไม้หรือเนินสูงต่ำให้พอหลบซ่อนตัวได้ ขืนบุกเข้าไปช่วยคุณพี่ตอนกลางวัน หากมีนายยามลาดตระเวนผ่านมาพบเข้าก็คงหนีไม่พ้น
จะหักด่านเข้าไปตอนกลางคืนหรือก็ทั้งยาก เพราะประตูด่านปิดลั่นดาลแน่นหนาทั้งสองชั้นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินเสียอีก ขืนผลีผลามบุกเข้าไปพนักงานจะได้ตีเกราะเคาะไม้ออกมารุมจับเป็นจ้าละหวั่น
ไม่มีทาง ทาเกโซร้องอยู่ในใจ แค่จะเข้าไปใกล้ด่านตรวจก็ยังไม่เห็นหนทาง
น่าอนาถ
ทาเกโซพลุ่งพล่าน
ข้าโลดแล่นออกมาเป็นตายไม่ว่าหวังช่วยคุณพี่ออกมาให้ได้ แต่ทำไมถึงมานั่งจนแต้มอยู่ที่ข้างโขดหินอย่างนี้
เจ้าหนุ่มนึกอนาถตนเองที่นั่งคิดหากลอุบายหักด่านอยู่ที่นี่ถึงสองวันแต่ก็คิดอะไรไม่ออก
ทำไมข้าถึงได้กลายเป็นคนขี้ขลาดไปได้
ทาเกโซถามใจว่าทำไมตนถึงเป็นอย่างนี้ เพราะไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าตนจะเป็นกลายคนอ่อนแอไปได้
ทาเกโซนั่งกอดอกนิ่งคิดอยู่อย่างนั้น...รู้แล้วว่าทำไม...กลัว ข้ากลัวที่จะเข้าใกล้ด่านตรวจ
ข้ากลัว ข้าไม่ใช่ทาเกโซคนเดิมที่ไม่เคยกลัวใคร ข้าเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นเมื่อวันสองวันที่แล้ว...นี่หรือที่เขาเรียกว่า ขี้ขลาด
ไม่ใช่ !!
ทาเกโซสั่นหัวแรง ๆ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะขี้ขลาดไม่กล้าสู้ แต่เกิดจากปัญญาที่หลวงพี่ทากูอันเติมใส่ให้แก่ใจอันเร่าร้อน ปัญญานั้นช่วยบ่มใจให้เย็น ช่วยเบิกตาที่บอดมืดให้เผยอขึ้นและเริ่มมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เจ้าหนุ่มไม่เคยหยุดมองมาก่อน
หลวงพี่สอนว่าความกล้าหาญของมนุษย์แตกต่างจากความกล้าของสัตว์ ความกล้าหาญของนักรบที่แท้จริงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความมุทะลุดุดันของนักเลงหัวไม้ที่ไม่รู้คุณค่าของชีวิต
ข้าตาสว่างแล้ว ดวงตาแห่งหัวใจของข้าเริ่มมองเห็นความกลัวขึ้นมาลาง ๆ นำข้ากลับคืนสู่ตัวตนเมื่อแรกเกิด ทาเกโซไม่ได้มีสันดานเป็นสัตว์ร้ายมาแต่กำเนิด ทาเกโซคือมนุษย์...คือคนคนหนึ่ง
เมื่อสำนึกถึงความหมายของการเป็นมนุษย์ได้เช่นนั้น ทาเกโซก็รู้สึกถึงความสำคัญของชีวิตขึ้นมาทันที เจ้าหนุ่มรู้สึกหวงแหนชีวิตไม่ปรารถนาที่จะให้ชีวิตนี้สิ้นสุดไปก่อนที่จะได้พิสูจน์ว่าตนสามารถขัดเกลาให้ชีวิตนั้นเลอค่าและคุ้มค่าเพียงใดกับที่ได้เกิดมาในโลกนี้เพียงใด
ใช่... นั่นคือคุณค่าของชีวิต ทาเกโซบอกกับตัวเองแล้วแหงนมองขึ้นไปบนผืนฟ้า
แต่...ทาเกโซต้องช่วยพี่สาวคนเดียวของตนออกมาให้พ้นอันตราย แม้จะต้องฝืนความกลัวและความรู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตที่เพิ่งบรรลุได้ในยามนี้เพียงใดก็ตาม
ทาเกโซตกลงใจว่าคืนนี้จะปีนลงไปถึงก้นเหว เดินข้ามไปปีนขึ้นทางด้านโน้นตรงที่ไม่มีประตูกั้นและมีนายยามเฝ้าน้อยคนและขณะที่กำลังมองลงไปในหุบเหวนั้นเอง ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งมาปักห่างปลายเท้าแค่เฉียดฉิว
ทาเกโซสะดุ้งและเพ่งมองไปทางด้านโน้นก็เห็นคนกรูกันออกมาเป็นฝูง ชี้มือชี้ไม้มาทางนี้แล้วกระจายตัวออก ทำให้รู้ว่าคงมีคนเห็นตนเข้าแล้ว
“ซ้อมยิงรึ”
เจ้าหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ตามเดิม ไม่นานพระอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยไปทางทิวเขาด้านตะวันตกและรอบบริเวณเริ่มมืดสลัว
ทาเกโซรอจนค่ำจึงเคลื่อนไหว เจ้าหนุ่มคว้าก้อนหินได้ก้อนหนึ่งเมื่อเห็นอาหารเย็นบินเข้ามาใกล้ และพอเขวี้ยงก้อนหินขึ้นไปด้วยความแม่นยำนกตัวหนึ่งก็หล่นลงมาให้ถอดขนฉีกเนื้อกิน ขณะที่ทาเกโซกำลังเคี้ยวนกเพลินอยู่นั้นเอง นายยามเฝ้าด่านตรวจราวสามสิบนายก็ส่งเสียงเหมือนนักรบตอนประจัญบานกรูเข้ามาล้อมเจ้าหนุ่มเอาไว้ ...เฮ้ย...ดังก้องไปทั่วหุบเหว
3
เฮ้ย นี่มันทาเกโซ ทาเกโซแห่งหมู่บ้านมิยาโมโตะ
ใครคนหนึ่งจำได้ร้องลั่นด้วยความตระหนก นายยามด่านตรวจร้อง...เฮ้ย เป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง
“อย่าประมาท เจ้านี่มันตัวร้าย”
ต่างคนร้องเตือนกันเพราะหลายคนเคยรู้ฤทธิ์กันดี
ทาเกโซยืนปักหลักเตรียมสู้จ้องตอบศัตรูด้วยดวงตาลุกโชนไม่แพ้กัน
“กล้าดีก็เข้ามา”
เจ้าหนุ่มทรงพลังระดมกำลังสองมือยกโขดหินก้อนใหญ่ทุ่มเข้าไปในวงนายยามที่รุมล้อมอยู่โดยไม่เลือกหน้าดังโครมใหญ่ โขดหินแดงเทือกนองเลือดกลิ้งไปกับพื้นตามมาด้วยเสียงโอดโอยของคนที่หลบไม่ทัน ทาเกโซวิ่งฝ่าวงล้อมด้านที่เปิดออกสุดฝีเท้าของกวางหนุ่ม วิ่งแต่ไม่ได้วิ่งหนีอย่างที่หลายคนคิด แต่วิ่งตรงไปทางด่านตรวจผมลู่ลมฟูกระเซิงไปข้างหลังราวราชสีห์
“เฮ้ย มันจะไปไหน”
นายยามเฝ้าด่านตรวจยังยืนตกตะลึงเมื่อเห็นทาเกโซวิ่งโลดไปในทิศทางที่คิดไม่ถึง
“มันเป็นบ้าไปหรือเปล่า”
ใครคนหนึ่งตะโกนบอกกัน
พอได้สติกลุ่มนายยามก็ตะโกนพร้อมกันเหมือนยกทัพไปปราบศึกเป็นครั้งที่สามก่อนกวดตามไปทางด่านตรวจ กว่าจะถึงทาเกโซก็วิ่งเข้าประตูหน้าด่านตรวจไปนานแล้ว
ที่นี่คือคุกแดนตาย...แต่ทาเกโซไม่สนใจกับอะไรทั้งสิ้น แม้แต่อาวุธมีคมเรียงราย ประตูรั้วกั้นสองชั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ที่เข้ามารุล้อม เจ้าหนุ่มผลักซามูไรไม่รู้ว่ากี่คนต่อกี่คนที่ถลันออกมาหวังจับตัวให้ได้ทั้งซ้ายทั้งขวากระเด็นไปคนละทางสองทาง และพอเข้าไปถึงประตูด้านในก็ปราดเข้าไปจับเสาเขย่าด้วยพลังมหาศาลจนบานประตูทลายราบ แล้วถอนเสาขึ้นมากวัดแกว่งเป็นอาวุธตีฝ่าฝูงซามูไรและนายยามลึกเข้าไปข้างในโดยไม่มีใครอาจหยุดยั้งได้ แม้แต่ดาบและทวนที่ฟาดฟันกันเข้ามาก็หักบ้างลอยคว้างไปตกเกลื่อนกราด
“คุณพี่ คุณพี่อยู่ไหน”
ทาเกโซแหวกวงล้อมเข้าไปจนถึงด้านหลัง มองหาพี่สาวไปตามเรือนที่ทำการด่านด้วยตาเป็นประกายราวไฟลุกโชน พลางร้องเรียกพี่สาวไม่ขาดปาก
“คุณพี่ อยู่ที่ไหน ทาเกโซมาช่วยแล้ว”
ประตูบานไหนปิดอยู่ถูกถีบถูกกระทุ้งด้วยเสาคู่มือจนเปิดอ้าหลุดทลายไปทุกบาน ไก่ที่นายยามเฝ้าด่านเลี้ยงเอาไว้ตกใจแตกฝูงวิ่งร้องหากันเจี๊ยวจ๊าว บ้างบินขึ้นไปบนหลังคาบ้าน ด่านตรวจฮินางูระกลายสภาพเหมือนค่ายที่ถูกข้าศึกบุกโจมตีจนแทบราบคาบ
“คุณพี่”
เสียงเรียกของทาเกโซแหบแห้งเกือบจะเป็นเสียงเดียวกับไก่ตื่น และเมื่อหาเท่าไรก็ไม่เจอโอกินเสียงเรียกก็เริ่มอ่อยลงด้วยความสิ้นหวัง
ทันใดนั้นเองทาเกโซก็เหลือบไปเห็นชายร่างเล็กคนหนึ่ง วิ่งปราดราวพังพอนออกมาจากเงาเรือนไม้สกปรกเหมือนห้องขัง เจ้าหนุ่มโยนเสาอาบเลือดออกไปขัดขาไว้แล้วกระโจนตามเข้าไปคร่อมตัวเอาไว้ทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ทาเกโซตบหน้าที่เหยเกเหมือนร้องไห้อย่างไม่ปราณีปราศรัยพลางขู่เสียงกร้าว
“คุกที่ขังพี่ข้าอยู่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าเตะเอ็งตายคาตีน”
“ม...ไม่อยู่ที่นี่แล้ว ข้ารู้มาว่าเมื่อสองวันก่อน ทางแคว้นสั่งให้ส่งตัวไปที่ฮิเมจิ”
“อะไรนะ ไปฮิเมจิรึ”
“ใช่ ใช่”
“จริงนะ”
“จริง”
ทาเกโซจับนายยามร่างเล็กคนนั้นโยนใส่กลุ่มคนที่ประชิดตัวเข้ามาแล้วหลบแวบเข้าไปแอบข้างกระท่อม พ้นคมธนูห้าหกดอกที่พุ่งเข้าใส่มาได้อย่างหวุดหวิด มีแค่ดอกหนึ่งทันเสียบเข้าที่ชายกิโมโน
ทาเกโซกัดเล็บหัวแม่มือ ยืนนิ่งดูลูกธนูแล่นแหวกอากาศเฟี้ยว เฟี้ยว และ...
พริบตานั้นเอง
เจ้าหนุ่มก็วิ่งไปที่รั้วแล้วพุ่งตัวข้ามออกไปด้านนอกทันทีด้วยความเร็วราวสายฟ้า
ตูม !!
เสียงปืนดังไล่หลังมาดังก้องสะท้อนไปทั้งหุบเหว
หนี !!! ทาเกโซออกวิ่งทันใดราวโขดหินกลิ้งลงมาจากยอดเขา
จงรู้จักกลัวสิ่งที่น่ากลัว
ความมุทะลุดุดันคือความประพฤติของเด็กเกเร คนโง่เขลา และสัตว์ร้าย
จงเข้มแข็งเยี่ยงนักรบ
ชีวิตล้ำค่าเหนือสิ่งใด
คำพูดของหลวงพี่ทากูอันแวบวาบผ่านใจด้วยความเร็วเทียมเท่าฝีเท้าที่พาร่างทาเกโซปลิวไปราวลมพัด