นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
อากงพยักหน้า อากงของหลาน ๆ ทุกวันนี้หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ สมัยหนุ่มเคยเป็นนักรบที่แกร่งขึ้นมาด้วยเลือดและชีวิตสมรภูมิมาแล้ว ตามเนื้อหนังที่หุ้มกระดูกแกร่งของนักรบผู้มีเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นจากการสู้รบ ผมขาวแต่ไม่ขาวโพลนเท่าแม่เฒ่า อากงชื่อจริงว่า ฟูจิกาวะ กงโรกุ มีศักดิ์เป็นอาของมาตาฮาจิ จึงเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้และเต็มใจร่วมมือกับแม่เฒ่าโอซุงิ
“ยาย”
“อะไรรึอากง”
“ยายทำใจแล้วว่าจะออกเดินทางจึงแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมพร้อม แต่ข้าซิออกมาทั้งชุดอยู่บ้าน คงต้องแวะซื้อรองเท้า สนับแข้ง และก็เครื่องใช้สำหรับเดินทางสักหน่อย”
“ลงเขามิคาซุกิไปนี่ มีร้านน้ำชาอยู่ร้านนึง”
“ใช่ ๆ ที่ร้านน้ำชามิกาซึกิ คงมีรองเท้าฝางและหมวกให้ซื้อนะ รีบไปกันเถอะ”
4
เดินจากร้านน้ำชามิกาซึกิลงไปอีกไม่ไกลนักก็ใกล้ถึงทัตสึโนะของแคว้นบันชูและจากนั้นอีกไม่ไกลนักก็จะถึงอิคารุงะ แต่ตอนนี้ก็เกือบมืดแล้ว ดังนั้นหลังจากนั่งพักที่ร้านน้ำชาได้ครู่หนึ่ง แม่เฒ่าโอซุงิวางค่าน้ำชาเอาไว้แล้วก็บอกกับอากงว่า
“นี่แน่ะอากง ใกล้ค่ำแล้วเราคงไปได้ไม่ถึงทัตสึโนะ คืนนี้เห็นจะต้องทนนอนที่นอนเหม็น ๆ ในโรงเตี๊ยมของพวกม้าเร็วที่ชิงงูกันคืนนึงแล้วละเจ้า”
“ไปไหนไปกันเลยยาย” อากงบอกพร้อมกับหยิบหมวกฟางใหม่ที่เพิ่งซื้อลุกขึ้นยืน “แต่ยาย รอข้าเดี๋ยว”
“จะชักช้าอะไรอีกล่ะอากง”
“ข้าจะไปรองน้ำจากตาน้ำหลังร้าน ใส่กระบอกไม้ไผ่ติดตัวไปสักหน่อย”
ว่าแล้วพ่อเฒ่ากงโรกุหรืออากงของหลาน ๆ ก็เดินอ้อมไปด้านหลังร้านน้ำชา รองน้ำจากตาน้ำที่พุขึ้นมาจากพื้นดินใส่กระบอกไม้ไผ่จนเต็ม ระหว่างเดินกลับมา พ่อเฒ่าเผอิญมองผ่านหน้าต่างเรือนเข้าไปภายในห้องที่มืดสลัว แล้วก็ต้องชะงักเท้าหยุดนิ่งดูอยู่
“คนป่วยรึ”
อากงถามตัวเองขณะเพ่งมองไปยังร่างที่นอนห่มเสื่อฟางจนมิดหัวเห็นแต่ผมดำ ๆ สยายอยู่บนหมอน กลิ่นยาโชยออกมา
“อากง มัวทำอะไรอยู่”
แม่เฒ่าโอซุงิส่งเสียงเรียกมาจากทางหน้าร้าน และพอรีบวิ่งกลับไปก็ถูกดุเสียงเขียว
“ร่ำไรอยู่นั่นแหละ ไม่รู้รึว่าต้องรีบไป
“ก็ข้าเห็นคนนอนอยู่ ท่าทางจะไม่สบาย”
อากงแก้ตัวพลางเดินตามไป
“คนไม่สบายจะแปลกอะไรนักหนา ทำเถลไถลเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
แม่เฒ่าโอซุงิยังบ่นไม่จบ กงโรกุตามปกติตกเป็นเบี้ยล่างของนายแม่บ้านใหญ่โงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว จึงไม่ถือสามาเป็นอารมณ์ ได้แต่เดินตามไปเซื่อง ๆ
ทางที่ตัดจากจากหน้าร้านน้ำชาไปยังบันชู เป็นทางลงเนินลาดชันที่ม้าจากเหมืองเงิน และพอฝนตกก็จะกลายเป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระไปทั้งสาย
“ระวังสะดุดล้มนะยาย”
“ไม่ต้องห่วง กะไอ้ทางขรุขระแค่นี้ ข้ายังไม่แก่เฒ่าถึงกับจะเอาตัวรอดไม่ได้”
ขณะที่โต้ตอบกันอยู่นั้น ใครคนหนึ่งร้องทักขึ้น
“ลุงกับป้าดูแข็งแรงกันดีจริง”
ท้องสองหันไปดูก็พบว่าคนที่ร้องทักมาคือเจ้าของร้านน้ำชานั่นเอง
“เมื่อกี้นี้ขอบใจเจ้ามาก แล้วจะไปไหนล่ะนี่”
“ข้าจะลงไปที่ทัตสึโนะ”
“ป่านนี้อ่ะนะ”
“ใช่ แถวนี้ไม่มีหมอเลยต้องลงไปที่ทัตสึโนะ ถึงจะเรียกม้ามารับกว่าจะกลับได้ก็คงค่ำมืด”
“คนที่นอนป่วยอยู่คือเมียของเจ้ารึ”
เจ้าของร้านน้ำชาทำหน้ายุ่งยาก
“ถ้าเมียหรือลูกเป็นอะไรไปข้าก็ต้องวิ่งไปตามหมออยู่แล้ว แต่นี่เป็นคนเดินทางมาหยุดพักดื่มน้ำชาแล้วก็เกิดไม่สบาย ข้าก็เลยต้องเป็นธุระ จะปล่อยไว้อย่างนั้นก็ไม่ได้”
“เมื่อกี้ข้าเผอิญมองเข้าไปเห็นนอนอยู่ในห้อง เป็นนักเดินทางรึ”
“เป็นเด็กสาวน่ะลุง มานั่งพักที่ร้านแล้วอยู่ ๆ ก็เกิดหนาวสั่นขึ้นมา ข้าก็เลยให้เข้าไปนอนในเรือน เดี๋ยวเดียวตัวร้อนจี๋ คงจะจับไข้ดูอาการหนักไม่น้อย”
แม่เฒ่าโอซุงิหยุดกึก
“เด็กสาวตัวผอม ๆ อายุสัก 17 ใช่ไหม”
“ใช่ บอกว่าเป็นมาจากหมู่บ้านมิยาโมโตะ”
“อากง”
แม่เฒ่าโอซุงิสบตากับอากง เอื้อมมือไปจับโอบิผ้าคาดคาดกิโมโนแล้วร้องว่า
“ตายจริง”
“อะไรรึแม่เฒ่า”
“ข้าลืมลูกประคำเอาไว้ที่ร้านน้ำชานะซี”
“ไม่ได้การ เดี๋ยวข้าวิ่งไปเอาให้”
แต่พอเจ้าของร้านน้ำชาทำท่าจะออกวิ่งกลับไป แม่เฒ่าก็ห้ามไว้บอกว่า
“ไม่ต้อง ๆ เจ้ากำลังรีบไปหาหมอไม่ใช่รึ เรื่องคนเจ็บคนป่วยสำคัญกว่า รีบไปเถิดเดี๋ยวจะค่ำมืด”
ระหว่างนั้นอากงก้าวยาว ๆ เดินย้อนขึ้นเนินกลับไปแล้ว แม่เฒ่าโอซุงิดุนหลังให้เจ้าของร้านน้ำชาลงเนินไปตามหมอ แล้วออกวิ่งตามอากงไปติด ๆ ---ต้องใช่โอซือแน่ ๆ
พ่อเฒ่าแม่เฒ่าหายใจหอบพลางวิ่งขึ้นเนินไปด้วยความมั่นใจ
5
โอซือเป็นไข้หวัดมาตั้งแต่คืนที่ตากฝนที่ตกหนักจนเปียกปอนและหนาวสั่น แต่อารมณ์หลายหลากที่ประดังเข้ามาสะเทือนใจตั้งแต่นั้นทำให้ลืมความอาการไข้จนกระทั่งแยกทางกับทาเกโซที่หลังเขา แต่พอออกเดินต่อไปได้ไม่นานก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว กว่าจะประคองตัวมาถึงร้านน้ำชามิกาซึกิและขอเข้าไปนอนพักในห้องข้างในร้านได้ก็แทบสิ้นแรง
“ลุงจ๋า ลุง”
โอซือร้องครางด้วยความกระหายน้ำ คงจะเพราะไข้ขึ้นสูงจนลืมไปแล้วว่าเจ้าของร้านน้ำชาโผล่หน้าเข้ามาบอกให้อดทนรอสักหน่อย เพราะปิดร้านแล้วและกำลังจะไปตามหมอมาให้
“ลุงจ๋า ขอน้ำหนูหน่อย หนูหิวน้ำ”
โอซือหิวน้ำจนปากคอแห้งผากราวกับมีหนามทิ่มแทง และพอไม่มีเสียงตอบสาวน้อยก็ยันตัวขึ้น คืบคลานไปถึงโอ่งน้ำด้วยความยากลำบาก แต่พอจะเอื้อมมือไปหยิบกระบวยตักน้ำนั้นเอง ก็มีเสียงเหมือนประตูเปิดปิดดังกึงกัง
แม่เฒ่าโอซุงิกับพ่อเฒ่ากงโรกุกลับมาถึงร้านน้ำชามิกาซึกิและขึ้นมาบนเรือนที่อยู่ได้สบาย เพราะตามปกติร้านน้ำชาที่เป็นกระท่อมบนภูเขาแห่งนี้ไม่ได้ปิดประตูลั่นดาลอยู่แล้ว
“มืดจังนะอากง”
“รอเดี๋ยวยาย”
พ่อเฒ่ากงโรกุย่ำขึ้นไปบนเรือนทั้งรองเท้าฟาง ตรงไปที่เตาผิงเขี่ยถ่านให้คุแล้วโยนฟืนลงไปให้ไฟติดลุกสว่างขึ้น
“เอ๊ะ...ไม่เห็นมีใครนี่ยาย”
“อะไรนะ”
แต่---แม่เฒ่าโอซุงิตาแหลมคมนัก มองฝ่าความมืดสลัวเข้าไปในห้องปราดเดียวเห็นประตูหลังแง้มอยู่จึงร้องว่า
“ออกไปข้างนอกแล้ว”
ทันใดนั้นเอง โอซือที่ซุ่มตัวอยู่ก็ปากระบวยที่มีน้ำอยู่เต็มใส่หน้าแม่เฒ่าเต็มแรง แล้ววิ่งตัวลอยหนีลงเนินหน้าร้านน้ำชาไป แขนและชายเสื้อกิโมโนปลิวไสวราวนกน้อยติดปีกบิน
“บ้าที่สุด”
แม่เฒ่าโอซุงิวิ่งตามออกไปจนถึงชายคาร้าน
“อากง เจ้ามัวแต่เงอะงะอยู่นั่นแหละ”
“อ้าว...หนีไปแล้วรึ”
“ก็ใช่น่ะซี เจ้าคนเดียวเซ่อซ่า เปิดปิดประตูเสียงดังจนนางตัวดีตื่นตัวเปิดหนีไป เร็วเข้าซี ทำไมไม่รีบกวดตามไป”
“ที่เห็นหลังไว ๆ นั่นน่ะรึ”
พ่อเฒ่ากงโรกุชี้ไปที่เงาดำ ๆ ที่วิ่งหนีไกลออกไปราวกวางสาว
“ไม่ต้องห่วงยาย นางตัวดีป่วยอยู่แล้วก็เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กขนาดนั้นจะมีแรงหนีไปได้สักกี่น้ำ ข้าวิ่งกวดเดี๋ยวเดียวก็ทัน แล้วจะฟันทีเดียวให้ขาดสองท่อนเลยทีเดียว คอยดูฝีมือข้ามั่ง”
ว่าแล้วก็ออกวิ่งลงเนินตามไปโดยมีแม่เฒ่าวิ่งตามพลางร้องสั่ง
“อากงจะฟันนางตัวดีก็ตามใจแต่อย่าเพิ่งตัดหัว รอให้ข้าได้ด่าทอให้สมแค้นเสียก่อน”
กำลังวิ่งตามกันไปอยู่นั้นเอง พ่อเฒ่ากงโรกุก็หยุดกึกแล้วหันมาร้องบอกเสียงดัง
“เสร็จกัน”
“อะไรอีกล่ะ”
“ดูนั่น ดงไผ่ในหุบเขา”
“นางตัวดีหนีลงไปในนั้นรึ”
“ก็ใช่น่ะซี หุบเขาตื้นๆ แต่ป่ามันทึบมืดไปหมดมองทางไม่เห็น ถ้าจะต้องกลับไปเอาคบไฟที่ร้านน้ำชา”
พ่อเฒ่ากงโรกุชะโงกมองลงไปจากหน้าผาและลังเลอยู่
“นี่แน่ะ ไม่รู้จะโอ้เอ้หาอะไร”
แม่เฒ่าโอซุงิผลักอากงสุดแรง
“เฮ้ย”
อากงลื่นเสียหลักลื่นจากหน้าผาลงไปหยุดอยู่ตกลงไปในหุบเขาที่มืดมิด
“ยายเฒ่าสารพัดพิษ อยากให้ข้าคอหักตายรึ ลองตกลงมาบ้างไหมจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
อากงพยักหน้า อากงของหลาน ๆ ทุกวันนี้หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ สมัยหนุ่มเคยเป็นนักรบที่แกร่งขึ้นมาด้วยเลือดและชีวิตสมรภูมิมาแล้ว ตามเนื้อหนังที่หุ้มกระดูกแกร่งของนักรบผู้มีเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นจากการสู้รบ ผมขาวแต่ไม่ขาวโพลนเท่าแม่เฒ่า อากงชื่อจริงว่า ฟูจิกาวะ กงโรกุ มีศักดิ์เป็นอาของมาตาฮาจิ จึงเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้และเต็มใจร่วมมือกับแม่เฒ่าโอซุงิ
“ยาย”
“อะไรรึอากง”
“ยายทำใจแล้วว่าจะออกเดินทางจึงแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมพร้อม แต่ข้าซิออกมาทั้งชุดอยู่บ้าน คงต้องแวะซื้อรองเท้า สนับแข้ง และก็เครื่องใช้สำหรับเดินทางสักหน่อย”
“ลงเขามิคาซุกิไปนี่ มีร้านน้ำชาอยู่ร้านนึง”
“ใช่ ๆ ที่ร้านน้ำชามิกาซึกิ คงมีรองเท้าฝางและหมวกให้ซื้อนะ รีบไปกันเถอะ”
4
เดินจากร้านน้ำชามิกาซึกิลงไปอีกไม่ไกลนักก็ใกล้ถึงทัตสึโนะของแคว้นบันชูและจากนั้นอีกไม่ไกลนักก็จะถึงอิคารุงะ แต่ตอนนี้ก็เกือบมืดแล้ว ดังนั้นหลังจากนั่งพักที่ร้านน้ำชาได้ครู่หนึ่ง แม่เฒ่าโอซุงิวางค่าน้ำชาเอาไว้แล้วก็บอกกับอากงว่า
“นี่แน่ะอากง ใกล้ค่ำแล้วเราคงไปได้ไม่ถึงทัตสึโนะ คืนนี้เห็นจะต้องทนนอนที่นอนเหม็น ๆ ในโรงเตี๊ยมของพวกม้าเร็วที่ชิงงูกันคืนนึงแล้วละเจ้า”
“ไปไหนไปกันเลยยาย” อากงบอกพร้อมกับหยิบหมวกฟางใหม่ที่เพิ่งซื้อลุกขึ้นยืน “แต่ยาย รอข้าเดี๋ยว”
“จะชักช้าอะไรอีกล่ะอากง”
“ข้าจะไปรองน้ำจากตาน้ำหลังร้าน ใส่กระบอกไม้ไผ่ติดตัวไปสักหน่อย”
ว่าแล้วพ่อเฒ่ากงโรกุหรืออากงของหลาน ๆ ก็เดินอ้อมไปด้านหลังร้านน้ำชา รองน้ำจากตาน้ำที่พุขึ้นมาจากพื้นดินใส่กระบอกไม้ไผ่จนเต็ม ระหว่างเดินกลับมา พ่อเฒ่าเผอิญมองผ่านหน้าต่างเรือนเข้าไปภายในห้องที่มืดสลัว แล้วก็ต้องชะงักเท้าหยุดนิ่งดูอยู่
“คนป่วยรึ”
อากงถามตัวเองขณะเพ่งมองไปยังร่างที่นอนห่มเสื่อฟางจนมิดหัวเห็นแต่ผมดำ ๆ สยายอยู่บนหมอน กลิ่นยาโชยออกมา
“อากง มัวทำอะไรอยู่”
แม่เฒ่าโอซุงิส่งเสียงเรียกมาจากทางหน้าร้าน และพอรีบวิ่งกลับไปก็ถูกดุเสียงเขียว
“ร่ำไรอยู่นั่นแหละ ไม่รู้รึว่าต้องรีบไป
“ก็ข้าเห็นคนนอนอยู่ ท่าทางจะไม่สบาย”
อากงแก้ตัวพลางเดินตามไป
“คนไม่สบายจะแปลกอะไรนักหนา ทำเถลไถลเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
แม่เฒ่าโอซุงิยังบ่นไม่จบ กงโรกุตามปกติตกเป็นเบี้ยล่างของนายแม่บ้านใหญ่โงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว จึงไม่ถือสามาเป็นอารมณ์ ได้แต่เดินตามไปเซื่อง ๆ
ทางที่ตัดจากจากหน้าร้านน้ำชาไปยังบันชู เป็นทางลงเนินลาดชันที่ม้าจากเหมืองเงิน และพอฝนตกก็จะกลายเป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระไปทั้งสาย
“ระวังสะดุดล้มนะยาย”
“ไม่ต้องห่วง กะไอ้ทางขรุขระแค่นี้ ข้ายังไม่แก่เฒ่าถึงกับจะเอาตัวรอดไม่ได้”
ขณะที่โต้ตอบกันอยู่นั้น ใครคนหนึ่งร้องทักขึ้น
“ลุงกับป้าดูแข็งแรงกันดีจริง”
ท้องสองหันไปดูก็พบว่าคนที่ร้องทักมาคือเจ้าของร้านน้ำชานั่นเอง
“เมื่อกี้นี้ขอบใจเจ้ามาก แล้วจะไปไหนล่ะนี่”
“ข้าจะลงไปที่ทัตสึโนะ”
“ป่านนี้อ่ะนะ”
“ใช่ แถวนี้ไม่มีหมอเลยต้องลงไปที่ทัตสึโนะ ถึงจะเรียกม้ามารับกว่าจะกลับได้ก็คงค่ำมืด”
“คนที่นอนป่วยอยู่คือเมียของเจ้ารึ”
เจ้าของร้านน้ำชาทำหน้ายุ่งยาก
“ถ้าเมียหรือลูกเป็นอะไรไปข้าก็ต้องวิ่งไปตามหมออยู่แล้ว แต่นี่เป็นคนเดินทางมาหยุดพักดื่มน้ำชาแล้วก็เกิดไม่สบาย ข้าก็เลยต้องเป็นธุระ จะปล่อยไว้อย่างนั้นก็ไม่ได้”
“เมื่อกี้ข้าเผอิญมองเข้าไปเห็นนอนอยู่ในห้อง เป็นนักเดินทางรึ”
“เป็นเด็กสาวน่ะลุง มานั่งพักที่ร้านแล้วอยู่ ๆ ก็เกิดหนาวสั่นขึ้นมา ข้าก็เลยให้เข้าไปนอนในเรือน เดี๋ยวเดียวตัวร้อนจี๋ คงจะจับไข้ดูอาการหนักไม่น้อย”
แม่เฒ่าโอซุงิหยุดกึก
“เด็กสาวตัวผอม ๆ อายุสัก 17 ใช่ไหม”
“ใช่ บอกว่าเป็นมาจากหมู่บ้านมิยาโมโตะ”
“อากง”
แม่เฒ่าโอซุงิสบตากับอากง เอื้อมมือไปจับโอบิผ้าคาดคาดกิโมโนแล้วร้องว่า
“ตายจริง”
“อะไรรึแม่เฒ่า”
“ข้าลืมลูกประคำเอาไว้ที่ร้านน้ำชานะซี”
“ไม่ได้การ เดี๋ยวข้าวิ่งไปเอาให้”
แต่พอเจ้าของร้านน้ำชาทำท่าจะออกวิ่งกลับไป แม่เฒ่าก็ห้ามไว้บอกว่า
“ไม่ต้อง ๆ เจ้ากำลังรีบไปหาหมอไม่ใช่รึ เรื่องคนเจ็บคนป่วยสำคัญกว่า รีบไปเถิดเดี๋ยวจะค่ำมืด”
ระหว่างนั้นอากงก้าวยาว ๆ เดินย้อนขึ้นเนินกลับไปแล้ว แม่เฒ่าโอซุงิดุนหลังให้เจ้าของร้านน้ำชาลงเนินไปตามหมอ แล้วออกวิ่งตามอากงไปติด ๆ ---ต้องใช่โอซือแน่ ๆ
พ่อเฒ่าแม่เฒ่าหายใจหอบพลางวิ่งขึ้นเนินไปด้วยความมั่นใจ
5
โอซือเป็นไข้หวัดมาตั้งแต่คืนที่ตากฝนที่ตกหนักจนเปียกปอนและหนาวสั่น แต่อารมณ์หลายหลากที่ประดังเข้ามาสะเทือนใจตั้งแต่นั้นทำให้ลืมความอาการไข้จนกระทั่งแยกทางกับทาเกโซที่หลังเขา แต่พอออกเดินต่อไปได้ไม่นานก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว กว่าจะประคองตัวมาถึงร้านน้ำชามิกาซึกิและขอเข้าไปนอนพักในห้องข้างในร้านได้ก็แทบสิ้นแรง
“ลุงจ๋า ลุง”
โอซือร้องครางด้วยความกระหายน้ำ คงจะเพราะไข้ขึ้นสูงจนลืมไปแล้วว่าเจ้าของร้านน้ำชาโผล่หน้าเข้ามาบอกให้อดทนรอสักหน่อย เพราะปิดร้านแล้วและกำลังจะไปตามหมอมาให้
“ลุงจ๋า ขอน้ำหนูหน่อย หนูหิวน้ำ”
โอซือหิวน้ำจนปากคอแห้งผากราวกับมีหนามทิ่มแทง และพอไม่มีเสียงตอบสาวน้อยก็ยันตัวขึ้น คืบคลานไปถึงโอ่งน้ำด้วยความยากลำบาก แต่พอจะเอื้อมมือไปหยิบกระบวยตักน้ำนั้นเอง ก็มีเสียงเหมือนประตูเปิดปิดดังกึงกัง
แม่เฒ่าโอซุงิกับพ่อเฒ่ากงโรกุกลับมาถึงร้านน้ำชามิกาซึกิและขึ้นมาบนเรือนที่อยู่ได้สบาย เพราะตามปกติร้านน้ำชาที่เป็นกระท่อมบนภูเขาแห่งนี้ไม่ได้ปิดประตูลั่นดาลอยู่แล้ว
“มืดจังนะอากง”
“รอเดี๋ยวยาย”
พ่อเฒ่ากงโรกุย่ำขึ้นไปบนเรือนทั้งรองเท้าฟาง ตรงไปที่เตาผิงเขี่ยถ่านให้คุแล้วโยนฟืนลงไปให้ไฟติดลุกสว่างขึ้น
“เอ๊ะ...ไม่เห็นมีใครนี่ยาย”
“อะไรนะ”
แต่---แม่เฒ่าโอซุงิตาแหลมคมนัก มองฝ่าความมืดสลัวเข้าไปในห้องปราดเดียวเห็นประตูหลังแง้มอยู่จึงร้องว่า
“ออกไปข้างนอกแล้ว”
ทันใดนั้นเอง โอซือที่ซุ่มตัวอยู่ก็ปากระบวยที่มีน้ำอยู่เต็มใส่หน้าแม่เฒ่าเต็มแรง แล้ววิ่งตัวลอยหนีลงเนินหน้าร้านน้ำชาไป แขนและชายเสื้อกิโมโนปลิวไสวราวนกน้อยติดปีกบิน
“บ้าที่สุด”
แม่เฒ่าโอซุงิวิ่งตามออกไปจนถึงชายคาร้าน
“อากง เจ้ามัวแต่เงอะงะอยู่นั่นแหละ”
“อ้าว...หนีไปแล้วรึ”
“ก็ใช่น่ะซี เจ้าคนเดียวเซ่อซ่า เปิดปิดประตูเสียงดังจนนางตัวดีตื่นตัวเปิดหนีไป เร็วเข้าซี ทำไมไม่รีบกวดตามไป”
“ที่เห็นหลังไว ๆ นั่นน่ะรึ”
พ่อเฒ่ากงโรกุชี้ไปที่เงาดำ ๆ ที่วิ่งหนีไกลออกไปราวกวางสาว
“ไม่ต้องห่วงยาย นางตัวดีป่วยอยู่แล้วก็เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กขนาดนั้นจะมีแรงหนีไปได้สักกี่น้ำ ข้าวิ่งกวดเดี๋ยวเดียวก็ทัน แล้วจะฟันทีเดียวให้ขาดสองท่อนเลยทีเดียว คอยดูฝีมือข้ามั่ง”
ว่าแล้วก็ออกวิ่งลงเนินตามไปโดยมีแม่เฒ่าวิ่งตามพลางร้องสั่ง
“อากงจะฟันนางตัวดีก็ตามใจแต่อย่าเพิ่งตัดหัว รอให้ข้าได้ด่าทอให้สมแค้นเสียก่อน”
กำลังวิ่งตามกันไปอยู่นั้นเอง พ่อเฒ่ากงโรกุก็หยุดกึกแล้วหันมาร้องบอกเสียงดัง
“เสร็จกัน”
“อะไรอีกล่ะ”
“ดูนั่น ดงไผ่ในหุบเขา”
“นางตัวดีหนีลงไปในนั้นรึ”
“ก็ใช่น่ะซี หุบเขาตื้นๆ แต่ป่ามันทึบมืดไปหมดมองทางไม่เห็น ถ้าจะต้องกลับไปเอาคบไฟที่ร้านน้ำชา”
พ่อเฒ่ากงโรกุชะโงกมองลงไปจากหน้าผาและลังเลอยู่
“นี่แน่ะ ไม่รู้จะโอ้เอ้หาอะไร”
แม่เฒ่าโอซุงิผลักอากงสุดแรง
“เฮ้ย”
อากงลื่นเสียหลักลื่นจากหน้าผาลงไปหยุดอยู่ตกลงไปในหุบเขาที่มืดมิด
“ยายเฒ่าสารพัดพิษ อยากให้ข้าคอหักตายรึ ลองตกลงมาบ้างไหมจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง”