xs
xsm
sm
md
lg

ภาค 1 ดิน ตอน ร้านน้ำชาพระจันทร์เดือนแรม

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

1
ทาเกโซตกลงมาจากคาคบสูงลิ่วแล้วยังยืนปักหลักสองขามั่นคงอยู่กับพื้นดิน ทั้งที่กำลังเริงลำพองอยู่กับอิสรภาพ เจ้าหนุ่มก็ยังได้ยินเสียงครวญครางของใครคนหนึ่งอยู่แทบเท้า และพอก้มลงมองในทันทีนั้นก็พบโอซือที่ตกลงมาพร้อมกันกำลังยักแย่ยักยันอยู่กับพื้น จึงร้องเสียงดังด้วยความตกใจแล้วทรุดตัวลงประคองให้สาวน้อยลุกขึ้นนั่ง

“โอซือ โอซือ”

“อูย เจ็บจัง เจ็บจังเลย”

“ตัวเจ้ากระแทกโดนอะไรตรงไหนรึ”

“ไม่รู้ว่ากระแทกโดนอะไร แต่ไม่เป็นไร ฉันเดินได้”

“ตอนตกลงมาร่างของเจ้ากระทบกับกิ่งหมายหลายทอด เลยโหม่งพื้นดินไม่แรงนัก ไม่น่าบาดเจ็บอะไรนักหนา”

“ใช่ แล้วท่านล่ะ”

ทาเกโซหยุดคิด

“ข้ายังมีชีวิตอยู่”

“ก็ใช่นะซี ท่านยังมีชีวิตอยู่”

“ข้ารู้แค่นี้”

“เราหนีกันเถอะ เราต้องหนีโดยเร็ว ถ้าใครมาพบเข้า คราวนี้ทั้งท่านและฉันต้องเอาชีวิตไม่รอดแน่”

โอซือว่าแล้วลุกขึ้นออกเดินขากระเผลกนำหน้าไปทันที ทาเกโซออกเดินตามไป...ทั้งสองเดินไปด้วยกันเงียบ ๆ และเชื่องช้าราวแมลงพิการสองตัวคืนคลานไปบนหยาดน้ำค้างแข็งของฤดูใบไม้ร่วง

“ดูนั่นซิ พระอาทิตย์กำลังจะเคลื่อนพ้นแนวเขาฮาริมาดะ”

“นี่ที่ไหน”

“สันเขานาคายามะ เรากำลังจะขึ้นไปถึงยอดแล้ว”

“เราเดินมาไกลมากเลยนะ”

“ความตั้งใจจริงทำให้เราทำอะไรได้อย่างน่าตกใจ แต่ว่าท่าน...ท่านไม่ได้กินอะไรมาสองวันสองคืนแล้วนะ”

พอมีคนเตือนทาเกโซก็รู้สึกตัวเป็นครั้งแรกว่าหิวกระหายเสียจนแสบท้อง

โอซือปลดห่อผ้าที่ผูกหลังมาแก้ออกแล้วหยิบก้อนโมจิออกมาส่งให้ และพอถั่วกวนหวาน ๆ ผ่านลิ้นลงไปในลำคอ นิ้มมือที่จับก้อนโมจิถึงกับสั่นด้วยความปลื้มปิติกับการมีชีวิต

ข้าไม่ตาย ข้ามีชีวิตอยู่

สำนึกอันหนักแน่นนัก เกิดขึ้นพร้อมกับความมุ่งมั่นแน่วแน่

จากนี้ไปข้าจะเกิดใหม่

เมฆสีแดงยาวเช้าอาบใบหน้าของสองหนุ่มสาว เมื่อเห็นใบหน้าแจ่มใสสดชื่นไปด้วยรอยยิ้มของโอซือ ทาเกโซนึกประหลาดใจเป็นล้นพ้นว่าอะไรชักนำให้ตนมาอยู่สองคนกับนาง ณ ที่นี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนความฝัน

“เดินทางตอนกลางวันเราจะประมาทไม่ได้ และอีกไม่นานเราก็จะถึงด่านกั้นเขตแดนระหว่างแว่นแคว้น”

พอได้ยินคำว่าเขตแดนระหว่างแว่นแคว้น ดวงตาของทาเกโซก็ลุกโพลงขึ้นทันที

“ใช่แล้ว ข้าต้องไปที่ด่านฮินางุระ”

“อะไรนะ...ฮินางุระรึ ไปทำไม”

“พี่สาวของข้าถูกขังคุกอยู่ที่นั่น ข้าต้องไปช่วยคุณพี่ออกมาให้ได้ และคงต้องลากับโอซือตรงนี้”

“... ... ...”

โอซือหน้าสลด มองหน้าทาเกโซเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า

“ท่านคิดจะแยกทางไปจริงรึ ถ้ารู้ว่าจะต้องแยกทางกันตรงนี้ละก็ ฉันคงไม่ตัดใจออกมาจากหมู่บ้านมิยาโมโตะ”

“แต่มันช่วยไม่ได้นี่นะ”

“ทาเกโซ”

โอซือมองหน้าทาเกโซอย่างเพ่งพิศ วางมือลงบนมือของเจ้าหนุ่ม สัมผัสนั้นทำให้ใบหน้าและกายตัวร้อนผ่าว อกใจอ่อนไหวด้วยอารมณ์รัญจวน

“ฉันจะบอกท่านว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อมีเวลาอยู่ด้วยกันนาน ๆ แต่ฉันไม่อยากแยกทางกับท่านที่นี่ ช่วยพากันไปด้วยเถิด ท่านไปไหนฉันก็จะตามไป”

“...แต่ว่า”

“ได้โปรดเถิด”

โอซือจรดมือลงกับพื้นดิน

“ฉันขอร้อง ถึงท่านจะบอกว่ารังเกียจ ฉันก็ไม่ยอมแยกทางกับท่าน ถ้าหากคิดว่าฉันจะเกะกะเป็นตัวถ่วงไม่ให้ท่านไปช่วยโอกินได้สำเร็จ ฉันก็จะไปรอท่านที่เมืองท้ายปราสาทฮิเมจิ”

“งั้นข้าไปนะ”

ทาเกโซลุกขึ้นเตรียมออกเดิน

“แล้วท่านต้องมาเจอฉันตามนัดนะ”

“อือ”

“ฉันจะรอท่านอยู่ที่สะพานฮานาดะที่เมืองท้ายปราสาท จะยืนรออยู่ที่นั้น ร้อยวันพันวันก็จะรอจนกว่าท่านจะมา”

ทาเกโซพยักหน้าแต่ไม่ได้ตอบว่าอย่างไร แล้วออกเดินอย่างรีบเร่งไปยังทิศทางอันเป็นจุดหมาย


2
“ยาย ยาย”

หลานยายของแม่เฒ่าโอซุงิแห่งตระกูลฮนอิเด็นวิ่งเท้าเปล่าพลางสูดขี้มูกพลางกลับเข้ามาในเรือน

“แย่แล้วยาย รู้เรื่องกับเขารึเปล่า มัวทำอะไรอยู่นั่นน่ะ”

เจ้าหนูเยี่ยงหน้าเข้ามาร้องถามในครัว แม่เฒ่ากำลังใช้กระบอกไม้ไผ่เป่าฟืนในเตาหุงข้าวให้คุอยู่

“อะไรรึเจ้า แตกตื่นยังกับหนีไฟมา”

“ชาวบ้านต่างหากล่ะยายที่แตกตื่นตกใจกันเป็นโกลาหล เกิดเรื่องใหญ่ยังงี้ยายยังจะมีแก่ใจนั่งหุงข้าวอยู่อีกรึ... เจ้าทาเกโซน่ะยาย เจ้าทาเกโซมันหนีไปแล้ว ยายยังไม่รู้ใช่ไหมล่ะ”

“หา...หนีไปรึ”

“ก็ใช่นะซี เมื่อเช้านี้คนเค้าขึ้นไปดู เจ้าทาเกโซมันหายไปจากต้นสนพันปีแล้วละยาย”

“เจ้าไม่ได้ยินมาผิดหูแน่นะ”

“ที่วัดก็เหมือนกัน หลวงพ่อหลวงพี่เอะอะกันไปทั้งวัด เพราะหาตัวคุณพี่โอซือไม่เจอ ไม่รู้ว่าหายไปไหน”

เจ้าหนูเฮตะตกใจยืนกัดนิ้วตัวเอง เมื่อเห็นยายหน้าซีดเผือดลงทันที ไม่นึกว่าข่าวที่ตนคาบมาบอกจะทำให้ยายตื่นตระหนกขนาดนี้

“เฮตะ”

“อะไรยาย”

“วิ่งไปเรียกพ่อเอ็งมาเดี๋ยวนี้แล้วก็ข้ามฟากไปเรียกอากงของเอ็งมาด้วย บอกให้มาด่วนเลยนะ”

แม่เฒ่าโอซุงิสั่งหลานชายเสียงสั่น

แต่ก่อนที่เฮตะจะวิ่งออกจากซุ้มประตู เครือญาติตระกูลเดียวกันที่แยกครัวออกไปหลายบ้านพร้อมบริวารมากหน้าหลายตาก็แห่กันมาชุมนุมกันอยู่ที่หน้าบ้านฮนอิเด็นแล้ว ในจำนวนนั้นมีพ่อของเจ้าหนู อากงที่มันกำลังจะข้ามฟากไปตามรวมอยู่ด้วย

“นางโอซือเป็นคนปล่อยไปละซี”

“หลวงพี่ทากูอันก็ไม่อยู่นะ”

“งั้นสองคนก็สุมหัวร่วมคิดกันน่ะซี”

“แล้วจะทำยังไงกันดี”

ลูกเขยกับอากงญาติผู้ใหญ่ที่ใคร ๆ เรียกกันว่าอาจนติดปาก ถือทวนที่สืบทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษยืนหน้าตื่นกันอยู่หน้าซุ้มประตูบ้านใหญ่คอยฟังคำสั่งจากนายแม่บ้านใหญ่

ใครคนหนึ่งร้องตะโกนเข้าไปในบ้าน

“ยาย ยาย”

ฝ่ายแม่เฒ่าโอซุงิ เมื่อตระหนักรู้ว่าข่าวใหญ่ที่หลานชายคาบมาบอกเป็นความจริงก็บันดาลโทสะรุนแรง จนต้องเข้าไปนั่งสงบอารมณ์อยู่ในห้องพระชั่วครู่ แล้วร้องตอบไปว่า

“ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเอะอะไป”

ว่าแล้วก็เปิดตู้หยิบเสื้อผ้าและอาวุธ และเมื่อแต่งตัวพร้อมเสร็จก็ออกมายืนเด่นเป็นสง่าต่อหน้ากลุ่มคนที่หน้าบ้าน พอเห็นมีดสั้นที่นางเหน็บไว้ที่โอบิผ้าคาดกิโมโน ใส่สนับแข้ง สวมรองเท้าฟางคาดเชือกรัดที่ข้อเท้าแน่นหนา ทุกคนก็รู้ทันทีว่าแม่เฒ่าหัวดื้อคนนี้ ตัดสินใจจะทำอะไรต่อไป

“ไม่ต้องตกใจ ยายเฒ่าคนนี้จะออกไปตามนางลูกสะใภ้ไม่รักดีด้วยตัวเอง และเอาตัวกลับมาทำโทษให้สาสม”

ว่าแล้วก็ออกเดินดุ่ม ๆ ออกจากบ้านไป

“ขนาดแม่เฒ่ายังออกไล่ล่า แล้วพวกเราจะอยู่เฉยได้ยังไง”

ใครคนหนึ่งร้องขึ้น ทุกคนร้องรับกันเป็นทอด ๆ แล้วบรรดาเครือญาติพร้อมบริวารก็เดินเป็นขบวนตามแม่เฒ่าที่เดินนำหน้าองอาจราวแม่ทัพ ต่างคนหยิบท่อนไม้บ้าง หอกไม้ไผ่บ้าง และอาวุธเท่าที่จะหาได้ในป่าในเขา ติดมือไล่ล่าคนที่หนีหายไปทางสันเขานาคายามะ

กว่าขบวนเครือญาติที่นำโดยแม่เฒ่าโอซุงิจะมาถึงยอดเขาบริเวณที่เป็นรอยต่อของแว่นแคว้น เวลาก็ล่วงเลยใกล้เที่ยงวันเต็มที ต่างตนรู้ตัวว่าสายไปเสียแล้ว จึงอารมณ์เสียและเดือดดาลไปตาม ๆ กัน ร้ายไปกว่านั้นเจ้าพนักงานด่านตรวจเห็นผิดสังเกตจึงออกมาแจ้งว่า

“พวกท่านรวมตัวกันมาเป็นขบวนอย่างนี้ เราไม่อาจอนุญาตให้ผ่านไปได้”

อากงซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในขบวนจึงออกไปเจรจาว่า

“เราจำเป็นต้องออกตามล่าทาเกโซ โอซือ และทากูอันซึ่งทำตัวเป็นปรปักษ์ต่อตระกูลฮนอิเด็นของเรามาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ขืนปล่อยให้รอดไปได้ตระกูลของเราที่เคยเป็นที่นับถือของผู้คนมาแต่โบราณนานปีหลายชั่วคนก็จะเสื่อมเสีย ถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะเย้ยจนคนในตระกูลทุกคนจะไปสู้หน้าใครเขามาได้ ขอให้ท่านกรุณาอนุญาตให้พวกเราผ่านไปด้วยเถิด”

ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ยืนกรานไม่ยอมท่าเดียวบอกว่าเราเข้าใจแต่กฎหมายก็เป็นกฎหมายไม่อาจขัดขืนได้ และบอกว่าทางเราอาจช่วยยื่นคำร้องไปยังปราสาทฮิเมจิให้พิจารณาอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ แต่การทำเช่นนั้นต้องใช้เวลานานหลายวัน ซึ่งพวกที่ท่านตามไล่ล่าก็คงจะไปไกลโพ้นแล้ว

“ถ้าเช่นนั้น”

แม่เฒ่าโอซุงิก้าวออกมาเผชิญหน้ากับพนักงานหลังจากที่ปรึกษาหารือเป็นที่ตกลงกันในหมู่เครือญาติ

“หากยายเฒ่าคนนี้กับอากงจะไปกลับกันแค่สองคน ท่านคงจะไม่กระไรใช่ไหมเจ้าคะ”

“เราอนุญาตให้ผ่านได้กลุ่มละไม่เกินห้าคน ถ้าไม่เกินก็เชิญตามสบาย”

แม่เฒ่าโอซุงิพยักหน้า แล้วเรียกเครือญาติทุกคนมาร่วมตัวกันที่ทุ่งหญ้าเพื่อกล่าวคำอำลา

“ก่อนออกจากบ้านข้าก็คิดแล้วเหมือนกันว่าจะต้องมาเจออุปสรรคอย่างนี้จึงได้ทำใจเอาไว้แล้ว พวกเจ้าไม่ต้องตระหนกตกใจกันไปหรอก”

เครือญาติหลายรุ่นวัยยืนเรียงหน้ากันมองมาที่ปากบางและฟันหน้าซี่ใหญ่ของแม่เฒ่าคอยฟังคารมของนายแม่บ้านใหญ่แห่งตระกูลกันอย่างตั้งใจ

“ก่อนที่ข้าจะหยิบมีดสั้นซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลที่ตกทอดมาหลายชั่วคนเล่มนี้ขึ้นมาเหน็บที่โอบิ ข้าได้นั่งภาวนาต่อหน้าแท่นบูชาบอกลาบรรพบุรุษขอให้ช่วยอวยพรให้เราเดินทางปลอดภัย และได้ให้สัญญาไว้สองข้อคือ

ข้อแรกเอาตัวนางลูกสะใภ้นอกคอกที่ทำให้ชื่อเสียงของวงตระกูลแปดเปื้อนกลับมาลงโทษให้ได้ และข้อที่สองคือจะไปสืบหาตัวมาตาฮาจิให้รู้แน่ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะลากตัวกลับมาสืบตระกูล และหาผู้หญิงที่ดีกว่าโอซือ หลายเท่ามาเป็นคู่ครอง เพื่อจะได้กู้ชื่อเสียงของฮนดิเด็นที่เสื่อมไปให้รุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง”

“เยี่ยมมาก”

ใครคนหนึ่งในหมู่เครือญาติพึมพำออกมาเหมือนคราง แม่เฒ่าโอซุงิชำเลืองมองหน้าลูกเขยแล้วพูดต่อไปว่า

“ทั้งข้าและอากงของพวกเจ้าอายุมากแล้วทั้งคู่ การที่จะบรรลุข้อสัญญากอบกู้ชื่อเสียงของฮนอิเด็นที่ให้ไว้แก่บรรพบุรุษทั้งสองข้อ อาจใช้เวลาปีหนึ่งหรือไม่ก็สามปี ออกเดินตามหาแม้จะต้องข้ามเขตแดนแว่นแคว้นใดไปก็จะไปให้ทั่วไปทุกหัวระแหง ระหว่างที่ข้ากับอากงไม่อยู่ ขอให้เจ้าผู้เป็นลูกเขยจงทำตัวเป็นผู้นำตระกูลที่เข้มแข็ง ดูแลเลี้ยงตัวไหมให้กินใบหม่อน แผ้วถางไร่นาปลูกผักปลูกข้าวให้มีกินกันอย่าได้อดอยาก เข้าใจนะ ทุกคน—”

อากงของหลาน ๆ อยู่บ้านฟากโน้นของแม่น้ำอายุเกือบห้าสิบ ส่วนแม่เฒ่าโอซุงิก็ห้าสิบกว่าแล้ว ระหว่างออกตามหาหากประจันหน้ากับทาเกโซเข้าจะสู้ได้ยังไงกับหนุ่มเจ้าพลังอย่างนั้น มีคนเสนอว่าให้พาญาติหนุ่มไปด้วยสักสามคนจะดีกว่าไหม

แม่เฒ่าสั่นหัวบอกว่าไม่ต้อง ไม่ต้อง

“ทาเกโซที่ใคร ๆ กลัวกันนักนะรึ สำหรับข้ามันก็แค่เด็กเกเรไม่รู้จักคิดเหมือนเด็กทารกที่เผอิญตัวใหญ่โตเท่านั้นเอง คนอย่างยายเฒ่าโอซุงิคนนี้หรือจะกลัว ข้าไม่มีกำลังเหมือนยักษ์ปักหลั่นอย่างมัน แต่ข้ามีปัญญาเป็นอาวุธ ศัตรูคนสองคนช้าจัดการได้ และก็นี่...”

แม่เฒ่าชี้นิ้วไปที่ริมฝีปาก ทำหน้าเชื่อมั่นในอะไรสักอย่างและบอกว่า

“ข้าพูดอะไรออกไปแล้วไม่มีคืนคำ เอาละพวกเจ้าแยกย้ายกันกลับไปได้แล้ว ลาก่อน”

พวกเครือญาติไม่มีใครท้วงติงหรือห้ามปรามอีก

แม่เฒ่าเดินเคียงคู่กับอากงเดินข้ามเขาลงไปทางตะวันออก

“นายแม่บ้านใหญ่ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะ”

บรรดาเครือญาติยืนโบกมือส่งอยู่บนสันเขา

“ไปเจ็บป่วยอยู่ที่ไหน หาคนส่งข่าวกลับมาที่หมู่บ้านเรานะแม่เฒ่า”

ต่างคนต่างร้องอำลาเท่าที่จะคิดหาคำได้

พอเดินห่างมาจนไม่มีคนได้ยินแล้ว แม่เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นว่า

“นี่แน่ะอากง เราอายุมากแล้วและจะต้องจากโลกนี้ไปก่อนคนหนุ่มสาวแน่นอน คิดอย่างนี้ก็สบายใจดีนะ”

“จริง จริง”

อากงพยักหน้า อากงของหลาน ๆ ทุกวันนี้หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ สมัยหนุ่มเคยเป็นนักรบที่แกร่งขึ้นมาด้วยเลือดและชีวิตสมรภูมิมาแล้ว ตามเนื้อหนังที่หุ้มกระดูกแกร่งของนักรบผู้มีเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นจากการสู้รบ ผมขาวแต่ไม่ขาวโพลนเท่าแม่เฒ่า อากงชื่อจริงว่า ฟูจิกาวะ กงโรกุ มีศักดิ์เป็นอาของมาตาฮาจิ จึงเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้และเต็มใจร่วมมือกับแม่เฒ่าโอซุงิ

“ยาย”

“อะไรรึอากง”

“เจ้าทำใจแล้วว่าจะออกเดินทางจึงแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมพร้อม แต่ข้าซิออกมาทั้งชุดอยู่บ้าน คงต้องแวะซื้อรองเท้า สนับแข้ง และก็เครื่องใช้สำหรับเดินทางสักหน่อย”

“ลงเขามิคาซุกิไปนี่ มีร้านน้ำชาอยู่ร้านนึง”

“ใช่ ๆ ที่ร้านน้ำชามิกาซึกิ คงมีรองเท้าฝางและหมวกให้ซื้อนะ รีบไปกันเถอะ”


กำลังโหลดความคิดเห็น