นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ทาเกโซตกลงมาจากคาคบสูงลิ่วแล้วยังยืนปักหลักสองขามั่นคงอยู่กับพื้นดิน ทั้งที่กำลังเริงลำพองอยู่กับอิสรภาพ เจ้าหนุ่มก็ยังได้ยินเสียงครวญครางของใครคนหนึ่งอยู่แทบเท้า และพอก้มลงมองในทันทีนั้นก็พบโอซือที่ตกลงมาพร้อมกันกำลังยักแย่ยักยันอยู่กับพื้น จึงร้องเสียงดังด้วยความตกใจแล้วทรุดตัวลงประคองให้สาวน้อยลุกขึ้นนั่ง
“โอซือ โอซือ”
“อูย เจ็บจัง เจ็บจังเลย”
“ตัวเจ้ากระแทกโดนอะไรตรงไหนรึ”
“ไม่รู้ว่ากระแทกโดนอะไร แต่ไม่เป็นไร ฉันเดินได้”
“ตอนตกลงมาร่างของเจ้ากระทบกับกิ่งหมายหลายทอด เลยโหม่งพื้นดินไม่แรงนัก ไม่น่าบาดเจ็บอะไรนักหนา”
“ใช่ แล้วท่านล่ะ”
ทาเกโซหยุดคิด
“ข้ายังมีชีวิตอยู่”
“ก็ใช่นะซี ท่านยังมีชีวิตอยู่”
“ข้ารู้แค่นี้”
“เราหนีกันเถอะ เราต้องหนีโดยเร็ว ถ้าใครมาพบเข้า คราวนี้ทั้งท่านและฉันต้องเอาชีวิตไม่รอดแน่”
โอซือว่าแล้วลุกขึ้นออกเดินขากระเผลกนำหน้าไปทันที ทาเกโซออกเดินตามไป...ทั้งสองเดินไปด้วยกันเงียบ ๆ และเชื่องช้าราวแมลงพิการสองตัวคืนคลานไปบนหยาดน้ำค้างแข็งของฤดูใบไม้ร่วง
“ดูนั่นซิ พระอาทิตย์กำลังจะเคลื่อนพ้นแนวเขาฮาริมาดะ”
“นี่ที่ไหน”
“สันเขานาคายามะ เรากำลังจะขึ้นไปถึงยอดแล้ว”
“เราเดินมาไกลมากเลยนะ”
“ความตั้งใจจริงทำให้เราทำอะไรได้อย่างน่าตกใจ แต่ว่าท่าน...ท่านไม่ได้กินอะไรมาสองวันสองคืนแล้วนะ”
พอมีคนเตือนทาเกโซก็รู้สึกตัวเป็นครั้งแรกว่าหิวกระหายเสียจนแสบท้อง
โอซือปลดห่อผ้าที่ผูกหลังมาแก้ออกแล้วหยิบก้อนโมจิออกมาส่งให้ และพอถั่วกวนหวาน ๆ ผ่านลิ้นลงไปในลำคอ นิ้มมือที่จับก้อนโมจิถึงกับสั่นด้วยความปลื้มปิติกับการมีชีวิต
ข้าไม่ตาย ข้ามีชีวิตอยู่
สำนึกอันหนักแน่นนัก เกิดขึ้นพร้อมกับความมุ่งมั่นแน่วแน่
จากนี้ไปข้าจะเกิดใหม่
เมฆสีแดงยาวเช้าอาบใบหน้าของสองหนุ่มสาว เมื่อเห็นใบหน้าแจ่มใสสดชื่นไปด้วยรอยยิ้มของโอซือ ทาเกโซนึกประหลาดใจเป็นล้นพ้นว่าอะไรชักนำให้ตนมาอยู่สองคนกับนาง ณ ที่นี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนความฝัน
“เดินทางตอนกลางวันเราจะประมาทไม่ได้ และอีกไม่นานเราก็จะถึงด่านกั้นเขตแดนระหว่างแว่นแคว้น”
พอได้ยินคำว่าเขตแดนระหว่างแว่นแคว้น ดวงตาของทาเกโซก็ลุกโพลงขึ้นทันที
“ใช่แล้ว ข้าต้องไปที่ด่านฮินางุระ”
“อะไรนะ...ฮินางุระรึ ไปทำไม”
“พี่สาวของข้าถูกขังคุกอยู่ที่นั่น ข้าต้องไปช่วยคุณพี่ออกมาให้ได้ และคงต้องลากับโอซือตรงนี้”
“... ... ...”
โอซือหน้าสลด มองหน้าทาเกโซเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า
“ท่านคิดจะแยกทางไปจริงรึ ถ้ารู้ว่าจะต้องแยกทางกันตรงนี้ละก็ ฉันคงไม่ตัดใจออกมาจากหมู่บ้านมิยาโมโตะ”
“แต่มันช่วยไม่ได้นี่นะ”
“ทาเกโซ”
โอซือมองหน้าทาเกโซอย่างเพ่งพิศ วางมือลงบนมือของเจ้าหนุ่ม สัมผัสนั้นทำให้ใบหน้าและกายตัวร้อนผ่าว อกใจอ่อนไหวด้วยอารมณ์รัญจวน
“ฉันจะบอกท่านว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อมีเวลาอยู่ด้วยกันนาน ๆ แต่ฉันไม่อยากแยกทางกับท่านที่นี่ ช่วยพากันไปด้วยเถิด ท่านไปไหนฉันก็จะตามไป”
“...แต่ว่า”
“ได้โปรดเถิด”
โอซือจรดมือลงกับพื้นดิน
“ฉันขอร้อง ถึงท่านจะบอกว่ารังเกียจ ฉันก็ไม่ยอมแยกทางกับท่าน ถ้าหากคิดว่าฉันจะเกะกะเป็นตัวถ่วงไม่ให้ท่านไปช่วยโอกินได้สำเร็จ ฉันก็จะไปรอท่านที่เมืองท้ายปราสาทฮิเมจิ”
“งั้นข้าไปนะ”
ทาเกโซลุกขึ้นเตรียมออกเดิน
“แล้วท่านต้องมาเจอฉันตามนัดนะ”
“อือ”
“ฉันจะรอท่านอยู่ที่สะพานฮานาดะที่เมืองท้ายปราสาท จะยืนรออยู่ที่นั้น ร้อยวันพันวันก็จะรอจนกว่าท่านจะมา”
ทาเกโซพยักหน้าแต่ไม่ได้ตอบว่าอย่างไร แล้วออกเดินอย่างรีบเร่งไปยังทิศทางอันเป็นจุดหมาย
2
“ยาย ยาย”
หลานยายของแม่เฒ่าโอซุงิแห่งตระกูลฮนอิเด็นวิ่งเท้าเปล่าพลางสูดขี้มูกพลางกลับเข้ามาในเรือน
“แย่แล้วยาย รู้เรื่องกับเขารึเปล่า มัวทำอะไรอยู่นั่นน่ะ”
เจ้าหนูเยี่ยงหน้าเข้ามาร้องถามในครัว แม่เฒ่ากำลังใช้กระบอกไม้ไผ่เป่าฟืนในเตาหุงข้าวให้คุอยู่
“อะไรรึเจ้า แตกตื่นยังกับหนีไฟมา”
“ชาวบ้านต่างหากล่ะยายที่แตกตื่นตกใจกันเป็นโกลาหล เกิดเรื่องใหญ่ยังงี้ยายยังจะมีแก่ใจนั่งหุงข้าวอยู่อีกรึ... เจ้าทาเกโซน่ะยาย เจ้าทาเกโซมันหนีไปแล้ว ยายยังไม่รู้ใช่ไหมล่ะ”
“หา...หนีไปรึ”
“ก็ใช่นะซี เมื่อเช้านี้คนเค้าขึ้นไปดู เจ้าทาเกโซมันหายไปจากต้นสนพันปีแล้วละยาย”
“เจ้าไม่ได้ยินมาผิดหูแน่นะ”
“ที่วัดก็เหมือนกัน หลวงพ่อหลวงพี่เอะอะกันไปทั้งวัด เพราะหาตัวคุณพี่โอซือไม่เจอ ไม่รู้ว่าหายไปไหน”
เจ้าหนูเฮตะตกใจยืนกัดนิ้วตัวเอง เมื่อเห็นยายหน้าซีดเผือดลงทันที ไม่นึกว่าข่าวที่ตนคาบมาบอกจะทำให้ยายตื่นตระหนกขนาดนี้
“เฮตะ”
“อะไรยาย”
“วิ่งไปเรียกพ่อเอ็งมาเดี๋ยวนี้แล้วก็ข้ามฟากไปเรียกอากงของเอ็งมาด้วย บอกให้มาด่วนเลยนะ”
แม่เฒ่าโอซุงิสั่งหลานชายเสียงสั่น
แต่ก่อนที่เฮตะจะวิ่งออกจากซุ้มประตู เครือญาติตระกูลเดียวกันที่แยกครัวออกไปหลายบ้านพร้อมบริวารมากหน้าหลายตาก็แห่กันมาชุมนุมกันอยู่ที่หน้าบ้านฮนอิเด็นแล้ว ในจำนวนนั้นมีพ่อของเจ้าหนู อากงที่มันกำลังจะข้ามฟากไปตามรวมอยู่ด้วย
“นางโอซือเป็นคนปล่อยไปละซี”
“หลวงพี่ทากูอันก็ไม่อยู่นะ”
“งั้นสองคนก็สุมหัวร่วมคิดกันน่ะซี”
“แล้วจะทำยังไงกันดี”
ลูกเขยกับอากงญาติผู้ใหญ่ที่ใคร ๆ เรียกกันว่าอาจนติดปาก ถือทวนที่สืบทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษยืนหน้าตื่นกันอยู่หน้าซุ้มประตูบ้านใหญ่คอยฟังคำสั่งจากนายแม่บ้านใหญ่
ใครคนหนึ่งร้องตะโกนเข้าไปในบ้าน
“ยาย ยาย”
ฝ่ายแม่เฒ่าโอซุงิ เมื่อตระหนักรู้ว่าข่าวใหญ่ที่หลานชายคาบมาบอกเป็นความจริงก็บันดาลโทสะรุนแรง จนต้องเข้าไปนั่งสงบอารมณ์อยู่ในห้องพระชั่วครู่ แล้วร้องตอบไปว่า
“ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเอะอะไป”
ว่าแล้วก็เปิดตู้หยิบเสื้อผ้าและอาวุธ และเมื่อแต่งตัวพร้อมเสร็จก็ออกมายืนเด่นเป็นสง่าต่อหน้ากลุ่มคนที่หน้าบ้าน พอเห็นมีดสั้นที่นางเหน็บไว้ที่โอบิผ้าคาดกิโมโน ใส่สนับแข้ง สวมรองเท้าฟางคาดเชือกรัดที่ข้อเท้าแน่นหนา ทุกคนก็รู้ทันทีว่าแม่เฒ่าหัวดื้อคนนี้ ตัดสินใจจะทำอะไรต่อไป
“ไม่ต้องตกใจ ยายเฒ่าคนนี้จะออกไปตามนางลูกสะใภ้ไม่รักดีด้วยตัวเอง และเอาตัวกลับมาทำโทษให้สาสม”
ว่าแล้วก็ออกเดินดุ่ม ๆ ออกจากบ้านไป
“ขนาดแม่เฒ่ายังออกไล่ล่า แล้วพวกเราจะอยู่เฉยได้ยังไง”
ใครคนหนึ่งร้องขึ้น ทุกคนร้องรับกันเป็นทอด ๆ แล้วบรรดาเครือญาติพร้อมบริวารก็เดินเป็นขบวนตามแม่เฒ่าที่เดินนำหน้าองอาจราวแม่ทัพ ต่างคนหยิบท่อนไม้บ้าง หอกไม้ไผ่บ้าง และอาวุธเท่าที่จะหาได้ในป่าในเขา ติดมือไล่ล่าคนที่หนีหายไปทางสันเขานาคายามะ
กว่าขบวนเครือญาติที่นำโดยแม่เฒ่าโอซุงิจะมาถึงยอดเขาบริเวณที่เป็นรอยต่อของแว่นแคว้น เวลาก็ล่วงเลยใกล้เที่ยงวันเต็มที ต่างตนรู้ตัวว่าสายไปเสียแล้ว จึงอารมณ์เสียและเดือดดาลไปตาม ๆ กัน ร้ายไปกว่านั้นเจ้าพนักงานด่านตรวจเห็นผิดสังเกตจึงออกมาแจ้งว่า
“พวกท่านรวมตัวกันมาเป็นขบวนอย่างนี้ เราไม่อาจอนุญาตให้ผ่านไปได้”
อากงซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในขบวนจึงออกไปเจรจาว่า
“เราจำเป็นต้องออกตามล่าทาเกโซ โอซือ และทากูอันซึ่งทำตัวเป็นปรปักษ์ต่อตระกูลฮนอิเด็นของเรามาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ขืนปล่อยให้รอดไปได้ตระกูลของเราที่เคยเป็นที่นับถือของผู้คนมาแต่โบราณนานปีหลายชั่วคนก็จะเสื่อมเสีย ถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะเย้ยจนคนในตระกูลทุกคนจะไปสู้หน้าใครเขามาได้ ขอให้ท่านกรุณาอนุญาตให้พวกเราผ่านไปด้วยเถิด”
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ยืนกรานไม่ยอมท่าเดียวบอกว่าเราเข้าใจแต่กฎหมายก็เป็นกฎหมายไม่อาจขัดขืนได้ และบอกว่าทางเราอาจช่วยยื่นคำร้องไปยังปราสาทฮิเมจิให้พิจารณาอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ แต่การทำเช่นนั้นต้องใช้เวลานานหลายวัน ซึ่งพวกที่ท่านตามไล่ล่าก็คงจะไปไกลโพ้นแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น”
แม่เฒ่าโอซุงิก้าวออกมาเผชิญหน้ากับพนักงานหลังจากที่ปรึกษาหารือเป็นที่ตกลงกันในหมู่เครือญาติ
“หากยายเฒ่าคนนี้กับอากงจะไปกลับกันแค่สองคน ท่านคงจะไม่กระไรใช่ไหมเจ้าคะ”
“เราอนุญาตให้ผ่านได้กลุ่มละไม่เกินห้าคน ถ้าไม่เกินก็เชิญตามสบาย”
แม่เฒ่าโอซุงิพยักหน้า แล้วเรียกเครือญาติทุกคนมาร่วมตัวกันที่ทุ่งหญ้าเพื่อกล่าวคำอำลา
“ก่อนออกจากบ้านข้าก็คิดแล้วเหมือนกันว่าจะต้องมาเจออุปสรรคอย่างนี้จึงได้ทำใจเอาไว้แล้ว พวกเจ้าไม่ต้องตระหนกตกใจกันไปหรอก”
เครือญาติหลายรุ่นวัยยืนเรียงหน้ากันมองมาที่ปากบางและฟันหน้าซี่ใหญ่ของแม่เฒ่าคอยฟังคารมของนายแม่บ้านใหญ่แห่งตระกูลกันอย่างตั้งใจ
“ก่อนที่ข้าจะหยิบมีดสั้นซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลที่ตกทอดมาหลายชั่วคนเล่มนี้ขึ้นมาเหน็บที่โอบิ ข้าได้นั่งภาวนาต่อหน้าแท่นบูชาบอกลาบรรพบุรุษขอให้ช่วยอวยพรให้เราเดินทางปลอดภัย และได้ให้สัญญาไว้สองข้อคือ
ข้อแรกเอาตัวนางลูกสะใภ้นอกคอกที่ทำให้ชื่อเสียงของวงตระกูลแปดเปื้อนกลับมาลงโทษให้ได้ และข้อที่สองคือจะไปสืบหาตัวมาตาฮาจิให้รู้แน่ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะลากตัวกลับมาสืบตระกูล และหาผู้หญิงที่ดีกว่าโอซือ หลายเท่ามาเป็นคู่ครอง เพื่อจะได้กู้ชื่อเสียงของฮนดิเด็นที่เสื่อมไปให้รุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง”
“เยี่ยมมาก”
ใครคนหนึ่งในหมู่เครือญาติพึมพำออกมาเหมือนคราง แม่เฒ่าโอซุงิชำเลืองมองหน้าลูกเขยแล้วพูดต่อไปว่า
“ทั้งข้าและอากงของพวกเจ้าอายุมากแล้วทั้งคู่ การที่จะบรรลุข้อสัญญากอบกู้ชื่อเสียงของฮนอิเด็นที่ให้ไว้แก่บรรพบุรุษทั้งสองข้อ อาจใช้เวลาปีหนึ่งหรือไม่ก็สามปี ออกเดินตามหาแม้จะต้องข้ามเขตแดนแว่นแคว้นใดไปก็จะไปให้ทั่วไปทุกหัวระแหง ระหว่างที่ข้ากับอากงไม่อยู่ ขอให้เจ้าผู้เป็นลูกเขยจงทำตัวเป็นผู้นำตระกูลที่เข้มแข็ง ดูแลเลี้ยงตัวไหมให้กินใบหม่อน แผ้วถางไร่นาปลูกผักปลูกข้าวให้มีกินกันอย่าได้อดอยาก เข้าใจนะ ทุกคน—”
อากงของหลาน ๆ อยู่บ้านฟากโน้นของแม่น้ำอายุเกือบห้าสิบ ส่วนแม่เฒ่าโอซุงิก็ห้าสิบกว่าแล้ว ระหว่างออกตามหาหากประจันหน้ากับทาเกโซเข้าจะสู้ได้ยังไงกับหนุ่มเจ้าพลังอย่างนั้น มีคนเสนอว่าให้พาญาติหนุ่มไปด้วยสักสามคนจะดีกว่าไหม
แม่เฒ่าสั่นหัวบอกว่าไม่ต้อง ไม่ต้อง
“ทาเกโซที่ใคร ๆ กลัวกันนักนะรึ สำหรับข้ามันก็แค่เด็กเกเรไม่รู้จักคิดเหมือนเด็กทารกที่เผอิญตัวใหญ่โตเท่านั้นเอง คนอย่างยายเฒ่าโอซุงิคนนี้หรือจะกลัว ข้าไม่มีกำลังเหมือนยักษ์ปักหลั่นอย่างมัน แต่ข้ามีปัญญาเป็นอาวุธ ศัตรูคนสองคนช้าจัดการได้ และก็นี่...”
แม่เฒ่าชี้นิ้วไปที่ริมฝีปาก ทำหน้าเชื่อมั่นในอะไรสักอย่างและบอกว่า
“ข้าพูดอะไรออกไปแล้วไม่มีคืนคำ เอาละพวกเจ้าแยกย้ายกันกลับไปได้แล้ว ลาก่อน”
พวกเครือญาติไม่มีใครท้วงติงหรือห้ามปรามอีก
แม่เฒ่าเดินเคียงคู่กับอากงเดินข้ามเขาลงไปทางตะวันออก
“นายแม่บ้านใหญ่ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะ”
บรรดาเครือญาติยืนโบกมือส่งอยู่บนสันเขา
“ไปเจ็บป่วยอยู่ที่ไหน หาคนส่งข่าวกลับมาที่หมู่บ้านเรานะแม่เฒ่า”
ต่างคนต่างร้องอำลาเท่าที่จะคิดหาคำได้
พอเดินห่างมาจนไม่มีคนได้ยินแล้ว แม่เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นว่า
“นี่แน่ะอากง เราอายุมากแล้วและจะต้องจากโลกนี้ไปก่อนคนหนุ่มสาวแน่นอน คิดอย่างนี้ก็สบายใจดีนะ”
“จริง จริง”
อากงพยักหน้า อากงของหลาน ๆ ทุกวันนี้หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ สมัยหนุ่มเคยเป็นนักรบที่แกร่งขึ้นมาด้วยเลือดและชีวิตสมรภูมิมาแล้ว ตามเนื้อหนังที่หุ้มกระดูกแกร่งของนักรบผู้มีเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นจากการสู้รบ ผมขาวแต่ไม่ขาวโพลนเท่าแม่เฒ่า อากงชื่อจริงว่า ฟูจิกาวะ กงโรกุ มีศักดิ์เป็นอาของมาตาฮาจิ จึงเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้และเต็มใจร่วมมือกับแม่เฒ่าโอซุงิ
“ยาย”
“อะไรรึอากง”
“เจ้าทำใจแล้วว่าจะออกเดินทางจึงแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมพร้อม แต่ข้าซิออกมาทั้งชุดอยู่บ้าน คงต้องแวะซื้อรองเท้า สนับแข้ง และก็เครื่องใช้สำหรับเดินทางสักหน่อย”
“ลงเขามิคาซุกิไปนี่ มีร้านน้ำชาอยู่ร้านนึง”
“ใช่ ๆ ที่ร้านน้ำชามิกาซึกิ คงมีรองเท้าฝางและหมวกให้ซื้อนะ รีบไปกันเถอะ”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ทาเกโซตกลงมาจากคาคบสูงลิ่วแล้วยังยืนปักหลักสองขามั่นคงอยู่กับพื้นดิน ทั้งที่กำลังเริงลำพองอยู่กับอิสรภาพ เจ้าหนุ่มก็ยังได้ยินเสียงครวญครางของใครคนหนึ่งอยู่แทบเท้า และพอก้มลงมองในทันทีนั้นก็พบโอซือที่ตกลงมาพร้อมกันกำลังยักแย่ยักยันอยู่กับพื้น จึงร้องเสียงดังด้วยความตกใจแล้วทรุดตัวลงประคองให้สาวน้อยลุกขึ้นนั่ง
“โอซือ โอซือ”
“อูย เจ็บจัง เจ็บจังเลย”
“ตัวเจ้ากระแทกโดนอะไรตรงไหนรึ”
“ไม่รู้ว่ากระแทกโดนอะไร แต่ไม่เป็นไร ฉันเดินได้”
“ตอนตกลงมาร่างของเจ้ากระทบกับกิ่งหมายหลายทอด เลยโหม่งพื้นดินไม่แรงนัก ไม่น่าบาดเจ็บอะไรนักหนา”
“ใช่ แล้วท่านล่ะ”
ทาเกโซหยุดคิด
“ข้ายังมีชีวิตอยู่”
“ก็ใช่นะซี ท่านยังมีชีวิตอยู่”
“ข้ารู้แค่นี้”
“เราหนีกันเถอะ เราต้องหนีโดยเร็ว ถ้าใครมาพบเข้า คราวนี้ทั้งท่านและฉันต้องเอาชีวิตไม่รอดแน่”
โอซือว่าแล้วลุกขึ้นออกเดินขากระเผลกนำหน้าไปทันที ทาเกโซออกเดินตามไป...ทั้งสองเดินไปด้วยกันเงียบ ๆ และเชื่องช้าราวแมลงพิการสองตัวคืนคลานไปบนหยาดน้ำค้างแข็งของฤดูใบไม้ร่วง
“ดูนั่นซิ พระอาทิตย์กำลังจะเคลื่อนพ้นแนวเขาฮาริมาดะ”
“นี่ที่ไหน”
“สันเขานาคายามะ เรากำลังจะขึ้นไปถึงยอดแล้ว”
“เราเดินมาไกลมากเลยนะ”
“ความตั้งใจจริงทำให้เราทำอะไรได้อย่างน่าตกใจ แต่ว่าท่าน...ท่านไม่ได้กินอะไรมาสองวันสองคืนแล้วนะ”
พอมีคนเตือนทาเกโซก็รู้สึกตัวเป็นครั้งแรกว่าหิวกระหายเสียจนแสบท้อง
โอซือปลดห่อผ้าที่ผูกหลังมาแก้ออกแล้วหยิบก้อนโมจิออกมาส่งให้ และพอถั่วกวนหวาน ๆ ผ่านลิ้นลงไปในลำคอ นิ้มมือที่จับก้อนโมจิถึงกับสั่นด้วยความปลื้มปิติกับการมีชีวิต
ข้าไม่ตาย ข้ามีชีวิตอยู่
สำนึกอันหนักแน่นนัก เกิดขึ้นพร้อมกับความมุ่งมั่นแน่วแน่
จากนี้ไปข้าจะเกิดใหม่
เมฆสีแดงยาวเช้าอาบใบหน้าของสองหนุ่มสาว เมื่อเห็นใบหน้าแจ่มใสสดชื่นไปด้วยรอยยิ้มของโอซือ ทาเกโซนึกประหลาดใจเป็นล้นพ้นว่าอะไรชักนำให้ตนมาอยู่สองคนกับนาง ณ ที่นี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนความฝัน
“เดินทางตอนกลางวันเราจะประมาทไม่ได้ และอีกไม่นานเราก็จะถึงด่านกั้นเขตแดนระหว่างแว่นแคว้น”
พอได้ยินคำว่าเขตแดนระหว่างแว่นแคว้น ดวงตาของทาเกโซก็ลุกโพลงขึ้นทันที
“ใช่แล้ว ข้าต้องไปที่ด่านฮินางุระ”
“อะไรนะ...ฮินางุระรึ ไปทำไม”
“พี่สาวของข้าถูกขังคุกอยู่ที่นั่น ข้าต้องไปช่วยคุณพี่ออกมาให้ได้ และคงต้องลากับโอซือตรงนี้”
“... ... ...”
โอซือหน้าสลด มองหน้าทาเกโซเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า
“ท่านคิดจะแยกทางไปจริงรึ ถ้ารู้ว่าจะต้องแยกทางกันตรงนี้ละก็ ฉันคงไม่ตัดใจออกมาจากหมู่บ้านมิยาโมโตะ”
“แต่มันช่วยไม่ได้นี่นะ”
“ทาเกโซ”
โอซือมองหน้าทาเกโซอย่างเพ่งพิศ วางมือลงบนมือของเจ้าหนุ่ม สัมผัสนั้นทำให้ใบหน้าและกายตัวร้อนผ่าว อกใจอ่อนไหวด้วยอารมณ์รัญจวน
“ฉันจะบอกท่านว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อมีเวลาอยู่ด้วยกันนาน ๆ แต่ฉันไม่อยากแยกทางกับท่านที่นี่ ช่วยพากันไปด้วยเถิด ท่านไปไหนฉันก็จะตามไป”
“...แต่ว่า”
“ได้โปรดเถิด”
โอซือจรดมือลงกับพื้นดิน
“ฉันขอร้อง ถึงท่านจะบอกว่ารังเกียจ ฉันก็ไม่ยอมแยกทางกับท่าน ถ้าหากคิดว่าฉันจะเกะกะเป็นตัวถ่วงไม่ให้ท่านไปช่วยโอกินได้สำเร็จ ฉันก็จะไปรอท่านที่เมืองท้ายปราสาทฮิเมจิ”
“งั้นข้าไปนะ”
ทาเกโซลุกขึ้นเตรียมออกเดิน
“แล้วท่านต้องมาเจอฉันตามนัดนะ”
“อือ”
“ฉันจะรอท่านอยู่ที่สะพานฮานาดะที่เมืองท้ายปราสาท จะยืนรออยู่ที่นั้น ร้อยวันพันวันก็จะรอจนกว่าท่านจะมา”
ทาเกโซพยักหน้าแต่ไม่ได้ตอบว่าอย่างไร แล้วออกเดินอย่างรีบเร่งไปยังทิศทางอันเป็นจุดหมาย
2
“ยาย ยาย”
หลานยายของแม่เฒ่าโอซุงิแห่งตระกูลฮนอิเด็นวิ่งเท้าเปล่าพลางสูดขี้มูกพลางกลับเข้ามาในเรือน
“แย่แล้วยาย รู้เรื่องกับเขารึเปล่า มัวทำอะไรอยู่นั่นน่ะ”
เจ้าหนูเยี่ยงหน้าเข้ามาร้องถามในครัว แม่เฒ่ากำลังใช้กระบอกไม้ไผ่เป่าฟืนในเตาหุงข้าวให้คุอยู่
“อะไรรึเจ้า แตกตื่นยังกับหนีไฟมา”
“ชาวบ้านต่างหากล่ะยายที่แตกตื่นตกใจกันเป็นโกลาหล เกิดเรื่องใหญ่ยังงี้ยายยังจะมีแก่ใจนั่งหุงข้าวอยู่อีกรึ... เจ้าทาเกโซน่ะยาย เจ้าทาเกโซมันหนีไปแล้ว ยายยังไม่รู้ใช่ไหมล่ะ”
“หา...หนีไปรึ”
“ก็ใช่นะซี เมื่อเช้านี้คนเค้าขึ้นไปดู เจ้าทาเกโซมันหายไปจากต้นสนพันปีแล้วละยาย”
“เจ้าไม่ได้ยินมาผิดหูแน่นะ”
“ที่วัดก็เหมือนกัน หลวงพ่อหลวงพี่เอะอะกันไปทั้งวัด เพราะหาตัวคุณพี่โอซือไม่เจอ ไม่รู้ว่าหายไปไหน”
เจ้าหนูเฮตะตกใจยืนกัดนิ้วตัวเอง เมื่อเห็นยายหน้าซีดเผือดลงทันที ไม่นึกว่าข่าวที่ตนคาบมาบอกจะทำให้ยายตื่นตระหนกขนาดนี้
“เฮตะ”
“อะไรยาย”
“วิ่งไปเรียกพ่อเอ็งมาเดี๋ยวนี้แล้วก็ข้ามฟากไปเรียกอากงของเอ็งมาด้วย บอกให้มาด่วนเลยนะ”
แม่เฒ่าโอซุงิสั่งหลานชายเสียงสั่น
แต่ก่อนที่เฮตะจะวิ่งออกจากซุ้มประตู เครือญาติตระกูลเดียวกันที่แยกครัวออกไปหลายบ้านพร้อมบริวารมากหน้าหลายตาก็แห่กันมาชุมนุมกันอยู่ที่หน้าบ้านฮนอิเด็นแล้ว ในจำนวนนั้นมีพ่อของเจ้าหนู อากงที่มันกำลังจะข้ามฟากไปตามรวมอยู่ด้วย
“นางโอซือเป็นคนปล่อยไปละซี”
“หลวงพี่ทากูอันก็ไม่อยู่นะ”
“งั้นสองคนก็สุมหัวร่วมคิดกันน่ะซี”
“แล้วจะทำยังไงกันดี”
ลูกเขยกับอากงญาติผู้ใหญ่ที่ใคร ๆ เรียกกันว่าอาจนติดปาก ถือทวนที่สืบทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษยืนหน้าตื่นกันอยู่หน้าซุ้มประตูบ้านใหญ่คอยฟังคำสั่งจากนายแม่บ้านใหญ่
ใครคนหนึ่งร้องตะโกนเข้าไปในบ้าน
“ยาย ยาย”
ฝ่ายแม่เฒ่าโอซุงิ เมื่อตระหนักรู้ว่าข่าวใหญ่ที่หลานชายคาบมาบอกเป็นความจริงก็บันดาลโทสะรุนแรง จนต้องเข้าไปนั่งสงบอารมณ์อยู่ในห้องพระชั่วครู่ แล้วร้องตอบไปว่า
“ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเอะอะไป”
ว่าแล้วก็เปิดตู้หยิบเสื้อผ้าและอาวุธ และเมื่อแต่งตัวพร้อมเสร็จก็ออกมายืนเด่นเป็นสง่าต่อหน้ากลุ่มคนที่หน้าบ้าน พอเห็นมีดสั้นที่นางเหน็บไว้ที่โอบิผ้าคาดกิโมโน ใส่สนับแข้ง สวมรองเท้าฟางคาดเชือกรัดที่ข้อเท้าแน่นหนา ทุกคนก็รู้ทันทีว่าแม่เฒ่าหัวดื้อคนนี้ ตัดสินใจจะทำอะไรต่อไป
“ไม่ต้องตกใจ ยายเฒ่าคนนี้จะออกไปตามนางลูกสะใภ้ไม่รักดีด้วยตัวเอง และเอาตัวกลับมาทำโทษให้สาสม”
ว่าแล้วก็ออกเดินดุ่ม ๆ ออกจากบ้านไป
“ขนาดแม่เฒ่ายังออกไล่ล่า แล้วพวกเราจะอยู่เฉยได้ยังไง”
ใครคนหนึ่งร้องขึ้น ทุกคนร้องรับกันเป็นทอด ๆ แล้วบรรดาเครือญาติพร้อมบริวารก็เดินเป็นขบวนตามแม่เฒ่าที่เดินนำหน้าองอาจราวแม่ทัพ ต่างคนหยิบท่อนไม้บ้าง หอกไม้ไผ่บ้าง และอาวุธเท่าที่จะหาได้ในป่าในเขา ติดมือไล่ล่าคนที่หนีหายไปทางสันเขานาคายามะ
กว่าขบวนเครือญาติที่นำโดยแม่เฒ่าโอซุงิจะมาถึงยอดเขาบริเวณที่เป็นรอยต่อของแว่นแคว้น เวลาก็ล่วงเลยใกล้เที่ยงวันเต็มที ต่างตนรู้ตัวว่าสายไปเสียแล้ว จึงอารมณ์เสียและเดือดดาลไปตาม ๆ กัน ร้ายไปกว่านั้นเจ้าพนักงานด่านตรวจเห็นผิดสังเกตจึงออกมาแจ้งว่า
“พวกท่านรวมตัวกันมาเป็นขบวนอย่างนี้ เราไม่อาจอนุญาตให้ผ่านไปได้”
อากงซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในขบวนจึงออกไปเจรจาว่า
“เราจำเป็นต้องออกตามล่าทาเกโซ โอซือ และทากูอันซึ่งทำตัวเป็นปรปักษ์ต่อตระกูลฮนอิเด็นของเรามาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ขืนปล่อยให้รอดไปได้ตระกูลของเราที่เคยเป็นที่นับถือของผู้คนมาแต่โบราณนานปีหลายชั่วคนก็จะเสื่อมเสีย ถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะเย้ยจนคนในตระกูลทุกคนจะไปสู้หน้าใครเขามาได้ ขอให้ท่านกรุณาอนุญาตให้พวกเราผ่านไปด้วยเถิด”
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ยืนกรานไม่ยอมท่าเดียวบอกว่าเราเข้าใจแต่กฎหมายก็เป็นกฎหมายไม่อาจขัดขืนได้ และบอกว่าทางเราอาจช่วยยื่นคำร้องไปยังปราสาทฮิเมจิให้พิจารณาอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ แต่การทำเช่นนั้นต้องใช้เวลานานหลายวัน ซึ่งพวกที่ท่านตามไล่ล่าก็คงจะไปไกลโพ้นแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น”
แม่เฒ่าโอซุงิก้าวออกมาเผชิญหน้ากับพนักงานหลังจากที่ปรึกษาหารือเป็นที่ตกลงกันในหมู่เครือญาติ
“หากยายเฒ่าคนนี้กับอากงจะไปกลับกันแค่สองคน ท่านคงจะไม่กระไรใช่ไหมเจ้าคะ”
“เราอนุญาตให้ผ่านได้กลุ่มละไม่เกินห้าคน ถ้าไม่เกินก็เชิญตามสบาย”
แม่เฒ่าโอซุงิพยักหน้า แล้วเรียกเครือญาติทุกคนมาร่วมตัวกันที่ทุ่งหญ้าเพื่อกล่าวคำอำลา
“ก่อนออกจากบ้านข้าก็คิดแล้วเหมือนกันว่าจะต้องมาเจออุปสรรคอย่างนี้จึงได้ทำใจเอาไว้แล้ว พวกเจ้าไม่ต้องตระหนกตกใจกันไปหรอก”
เครือญาติหลายรุ่นวัยยืนเรียงหน้ากันมองมาที่ปากบางและฟันหน้าซี่ใหญ่ของแม่เฒ่าคอยฟังคารมของนายแม่บ้านใหญ่แห่งตระกูลกันอย่างตั้งใจ
“ก่อนที่ข้าจะหยิบมีดสั้นซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลที่ตกทอดมาหลายชั่วคนเล่มนี้ขึ้นมาเหน็บที่โอบิ ข้าได้นั่งภาวนาต่อหน้าแท่นบูชาบอกลาบรรพบุรุษขอให้ช่วยอวยพรให้เราเดินทางปลอดภัย และได้ให้สัญญาไว้สองข้อคือ
ข้อแรกเอาตัวนางลูกสะใภ้นอกคอกที่ทำให้ชื่อเสียงของวงตระกูลแปดเปื้อนกลับมาลงโทษให้ได้ และข้อที่สองคือจะไปสืบหาตัวมาตาฮาจิให้รู้แน่ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะลากตัวกลับมาสืบตระกูล และหาผู้หญิงที่ดีกว่าโอซือ หลายเท่ามาเป็นคู่ครอง เพื่อจะได้กู้ชื่อเสียงของฮนดิเด็นที่เสื่อมไปให้รุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง”
“เยี่ยมมาก”
ใครคนหนึ่งในหมู่เครือญาติพึมพำออกมาเหมือนคราง แม่เฒ่าโอซุงิชำเลืองมองหน้าลูกเขยแล้วพูดต่อไปว่า
“ทั้งข้าและอากงของพวกเจ้าอายุมากแล้วทั้งคู่ การที่จะบรรลุข้อสัญญากอบกู้ชื่อเสียงของฮนอิเด็นที่ให้ไว้แก่บรรพบุรุษทั้งสองข้อ อาจใช้เวลาปีหนึ่งหรือไม่ก็สามปี ออกเดินตามหาแม้จะต้องข้ามเขตแดนแว่นแคว้นใดไปก็จะไปให้ทั่วไปทุกหัวระแหง ระหว่างที่ข้ากับอากงไม่อยู่ ขอให้เจ้าผู้เป็นลูกเขยจงทำตัวเป็นผู้นำตระกูลที่เข้มแข็ง ดูแลเลี้ยงตัวไหมให้กินใบหม่อน แผ้วถางไร่นาปลูกผักปลูกข้าวให้มีกินกันอย่าได้อดอยาก เข้าใจนะ ทุกคน—”
อากงของหลาน ๆ อยู่บ้านฟากโน้นของแม่น้ำอายุเกือบห้าสิบ ส่วนแม่เฒ่าโอซุงิก็ห้าสิบกว่าแล้ว ระหว่างออกตามหาหากประจันหน้ากับทาเกโซเข้าจะสู้ได้ยังไงกับหนุ่มเจ้าพลังอย่างนั้น มีคนเสนอว่าให้พาญาติหนุ่มไปด้วยสักสามคนจะดีกว่าไหม
แม่เฒ่าสั่นหัวบอกว่าไม่ต้อง ไม่ต้อง
“ทาเกโซที่ใคร ๆ กลัวกันนักนะรึ สำหรับข้ามันก็แค่เด็กเกเรไม่รู้จักคิดเหมือนเด็กทารกที่เผอิญตัวใหญ่โตเท่านั้นเอง คนอย่างยายเฒ่าโอซุงิคนนี้หรือจะกลัว ข้าไม่มีกำลังเหมือนยักษ์ปักหลั่นอย่างมัน แต่ข้ามีปัญญาเป็นอาวุธ ศัตรูคนสองคนช้าจัดการได้ และก็นี่...”
แม่เฒ่าชี้นิ้วไปที่ริมฝีปาก ทำหน้าเชื่อมั่นในอะไรสักอย่างและบอกว่า
“ข้าพูดอะไรออกไปแล้วไม่มีคืนคำ เอาละพวกเจ้าแยกย้ายกันกลับไปได้แล้ว ลาก่อน”
พวกเครือญาติไม่มีใครท้วงติงหรือห้ามปรามอีก
แม่เฒ่าเดินเคียงคู่กับอากงเดินข้ามเขาลงไปทางตะวันออก
“นายแม่บ้านใหญ่ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะ”
บรรดาเครือญาติยืนโบกมือส่งอยู่บนสันเขา
“ไปเจ็บป่วยอยู่ที่ไหน หาคนส่งข่าวกลับมาที่หมู่บ้านเรานะแม่เฒ่า”
ต่างคนต่างร้องอำลาเท่าที่จะคิดหาคำได้
พอเดินห่างมาจนไม่มีคนได้ยินแล้ว แม่เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นว่า
“นี่แน่ะอากง เราอายุมากแล้วและจะต้องจากโลกนี้ไปก่อนคนหนุ่มสาวแน่นอน คิดอย่างนี้ก็สบายใจดีนะ”
“จริง จริง”
อากงพยักหน้า อากงของหลาน ๆ ทุกวันนี้หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ สมัยหนุ่มเคยเป็นนักรบที่แกร่งขึ้นมาด้วยเลือดและชีวิตสมรภูมิมาแล้ว ตามเนื้อหนังที่หุ้มกระดูกแกร่งของนักรบผู้มีเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นจากการสู้รบ ผมขาวแต่ไม่ขาวโพลนเท่าแม่เฒ่า อากงชื่อจริงว่า ฟูจิกาวะ กงโรกุ มีศักดิ์เป็นอาของมาตาฮาจิ จึงเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้และเต็มใจร่วมมือกับแม่เฒ่าโอซุงิ
“ยาย”
“อะไรรึอากง”
“เจ้าทำใจแล้วว่าจะออกเดินทางจึงแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมพร้อม แต่ข้าซิออกมาทั้งชุดอยู่บ้าน คงต้องแวะซื้อรองเท้า สนับแข้ง และก็เครื่องใช้สำหรับเดินทางสักหน่อย”
“ลงเขามิคาซุกิไปนี่ มีร้านน้ำชาอยู่ร้านนึง”
“ใช่ ๆ ที่ร้านน้ำชามิกาซึกิ คงมีรองเท้าฝางและหมวกให้ซื้อนะ รีบไปกันเถอะ”