นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
นักดาบกลุ่มหนุ่มแห่งสำนักโยชิโอกะกำลังดื่มกินกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยง ท้าแข่งดื่มสาเกรวดเดียวเกลี้ยงกระปุกให้รู้กันไปว่าว่าเอ็งแพ้หรือข้าชนะกันจนเมามายแทบไม่เป็นผู้เป็นคน กระปุกสาเกระเนระนาดเกลื่อนกลาดไปทั่วห้อง และอยู่ ๆ หนุ่มที่นั่งสะอึกอยู่ติดกับคนที่นั่งข้างอาจารย์น้อยเซอิจูโรก็หัวเราะดังลั่น แล้วโพล่งขึ้นมาด้วยเสียงอ้อแอ้อย่างคนเมาจัด
“เอ็งสรรเสริญท่านอาจารย์ของเราว่าเป็นยอดนักดาบเคียวฮาจิก็เพราะอาจารย์น้อยอยู่ที่นี่ ใคร ๆ ก็รู้ว่าเคียวฮาจิไม่ใช่สำนักเดียวในโลกของนักดาบ และก็ไม่ได้มีแค่สำนักโยชิโอกะเท่านั้นที่แยกออกมา สาขาของสำนักดาบเคียวฮาจิยังมีอีกมากมาย แค่ในเกียวโตก็ยังมีอีกหลายค่าย อย่างที่คูโรทานิก็มีสำนักของโทมิตะ เซอิเง็นจากหมู่บ้านโจเคียวจิ ที่คิตาโนะมีสำนักของโอกาซาวาระ เก็นชินไซ และต้องไม่ลืมว่าที่ชิรากาวะก็ยังมีอิโต อิตโตไซนักดาบเรืองนามที่ไม่ได้ตั้งค่ายฝึกลูกศิษย์อยู่อีกคนหนึ่ง”
“เอ็งจะมาเพ้อหาอะไรวะ”
“ข้าแค่จะบอกว่า ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นนักดาบที่เก่งกาจอยู่คนเดียว”
“ไอ้นี่ ท่าจะวอนเสียแล้ว”
เจ้าหนุ่มที่ถูกลบเหลี่ยมโกรธจัด ชันเข่าถลันตัวเข้ามาในวง
“ถ้าอยากลองดีก็ออกมา”
“ได้เลย”
“เอ็งเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งของท่านอาจารย์โยชิโอกะ ทำไมถึงได้บังอาจลบหลู่วิถีดาบของท่านโยชิโอกะ เค็มโป”
“ข้าไม่ได้ลบหลู่ แต่อยากบอกให้พวกเอ็งเปิดหูเปิดตามองโลกภายนอกบ้างว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว คนยุคนี้ไม่ได้มองกันว่าพวกอาจารย์ที่ได้รับเลือกให้เข้าไปสอนวิชาดาบให้นักรบในกองทัพโชกุนมูรามาจิ เป็นนักดาบที่เก่งกาจที่สุดในปฐพีเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป วิถีแห่งดาบได้ขยายกว้างขวางไปไกลราวกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า อย่านึกว่ามีแต่ที่เกียวโตเท่านั้นเดี๋ยวนี้มีนักดาบอยู่ทั่วไปในแว่นแคว้น ไม่ว่าจะที่เอโดะ ฮิตาจิ เอจิเซ็น คิงกิ จูโกคุ ไปจนถึงคิวชู และในจำนวนนั้นมีนักดาบที่เก่งกาจอยู่ไม่น้อย ข้าแค่อยากบอกว่าถึงท่านอาจารย์โยชิโอกะ เค็มโปจะมีชื่อเสียงเด่นดังแค่ไหน อาจารย์น้อยกับลูกศิษย์ก็จะหลงตัวเองว่าตนเป็นนักดาบที่เก่งกาจที่สุดในปฐพีไม่ได้ พูดแค่นี้ไม่ได้รึ”
“ไม่ได้ ไอ้ขี้ขลาด เขาให้มาฝึกเป็นนักรบกองทัพโชกุน ดันมากลัวนักดาบสำนักอื่น ใช้ไม่ได้”
“ข้าไม่ได้กลัวเกรงใคร แค่อยากเตือนว่าอย่าเหลิง”
“เตือนรึ เอ็งเก่งมาจากไหนถึงได้บังอาจเตือนคนอื่นเขาอย่างนี้”
ว่าแล้วก็ผลักอกคนปากดีเต็มแรง อีกฝ่ายไม่ทันระวังจึงเสียหลักจ้ำเบ้าลงไปกลางวงเหล้า จานชามจอกสาเกแตกกระจาย
“เอ็งเริ่มก่อนนะ”
“เออ จะทำไม”
กิองโทจิกับอูเอดะ นักดาบรุ่นพี่รีบเข้าไปแทรกกลางยุดยื้อให้แยกกันพัลวัน
“หยุด จะทะเลาะกันไปหาอะไร”
“ใจเย็น ๆ “
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเอ็ง ทั้งสองคนนั่นแหละ”
รุ่นพี่ทั้งสองพยายามไกล่เกลี่ย รินสาเกให้ดื่มหวังจะให้คืนดีกันแต่ฝ่ายหนึ่งกลับโกรธขึ้นมาอีก ส่วนอีกฝ่ายเข้าไปจับคอเสื้อของอูเอดะรุ่นพี่อาวุโสเอาไว้แล้วจ้องหน้าจ้องตาอุทธรณ์ว่า
“ข้าพูดความจริงออกไปตรง ๆ เพราะเห็นแก่สำนักโยชิโอกะของเรา ถ้าสำนักเรามีแต่คนหลงตนทะนงตนอย่างไอ้บ้านั่น ท่านอาจารย์โยชิโอกะ เค็มโปจะต้องสิ้นชื่อ สำนักเราจะต้องล่มสลายลงสักวันหนึ่งเป็นแน่”
ว่าแล้วก็ร้องไห้โฮออกมา และยังไม่ทันสิ้นเสียงสะอื้นก็หันไปพาลเอากับพวกผู้หญิงที่พากันหนีไป กลองบัณเฑาะก์ที่ใช้เต้นรำทำเพลงและกระปุกสาเกถูกเตะหกกระจาย
“นางพวกนี้ จะหนีไปไหน”
เดินด่าพลางออกตามหา คิดว่าเข้าไปในห้องข้าง ๆ แต่พบว่าไปนั่งหน้าซีดโก่งคอโอ้กอ้ากอยู่ที่ระเบียงใต้ชายคา รุ่นน้องคนสองคนตามไปช่วยลูบหลังให้
เซอิจูโรไม่เมา กิองโทจิจึงกระซิบถาม
“อาจารย์น้อยคงไม่สนุกละซี”
“พวกนั้นมันสนุกกันนักรึ”
“ก็คงอย่างนั้น”
“เมากันเละไม่เป็นท่า”
“เราสองคนจะอยู่คอยกำราบพวกนี้เอง อาจารย์น้อยเปลี่ยนไปดื่มบ้านอื่นที่สงบเงียบกว่าทีนี่ดีกว่าไหม”
เซอิจูโรเห็นพ้องกับกิองโทจิด้วยความโล่งใจที่จะพ้นจากพวกลูกศิษย์ขี้เมาไปได้เสียดี
“เราอยากไปบ้านเมื่อคืนวาน”
“อ๋อ โรงน้ำชาโยโมงิละซี”
“อือ”
“ข้าก็คิดเหมือนกันว่าบ้านนั้นเป็นโรงน้ำชาชั้นดีเหมาะกับอาจารย์น้อย แต่แรกก็ว่าจะชวนไปแต่พอเห็นเจ้าหนุ่มเกกมะเหรกพวกนั้นตามมาเป็นฝูงก็เลยยั้งไว้ และพามาที่นี่”
“โทจิมาด้วยกันเถอะ ที่นี่อูเอดะคงพอรับมือได้”
“ได้ เดี๋ยวข้าจะทำเป็นขอตัวไปสุขา แล้วจะตามไป”
“ดี งั้นเรารออยู่ข้างนอกนะ”
ว่าแล้วเซอิจูโรก็ทิ้งวงสาเกหายตัวออกไปโดยไม่มีใครเห็น
2
ส้นเท้าขาวผ่องลอยพ้นพื้นเมื่อปลายเท้าเขย่งขึ้น สาวใหญ่ผมที่เพิ่งสระมาหมาด ๆ สยายเต็มบ่ากำลังเกี่ยวโคมที่เอาลงมาจุดใหม่หลังโดนลมพัดดับกลับขึ้นไปแขวนไว้ตามเดิม แต่พยายามอยู่นานก็เกี่ยวกับตะขอไม่ได้สักที เปลวเทียนในโคมไหวตามสายลมอ่อน ๆ ยามค่ำของเดือนสอง สะท้อนเงาลูบไล้ลำแขนขาวนวลและเรือนผมดำสนิท กลิ่นดอกบ๊วยหอมหวานแม้เจือจางราวลอยลมมาแสนไกล
“โอโค...เอามานี่ ข้าแขวนให้”
เสียงทักของใครคนหนึ่งทำให้นางสะดุ้งและอุทานออกมา
“อาจารย์น้อย”
“รอเดี๋ยวนะ”
คนที่ก้าวเข้ามายืนข้าง ๆ ไม่ใช่เซอิจูโรอาจารย์น้อยแต่เป็นกิองโทจิลูกศิษย์คนสนิท
“เป็นไง ใช้ได้หรือยัง”
“ขอบใจมากนะ”
กิองโทจิยืนจ้องมองโคมไฟเขียนชื่อร้านโยโมงิ พึมพำว่าเบี้ยวไปนิดแล้วเอื้อมมือขึ้นไปขยับให้เข้าที่ โอโคชายตามองด้วยความเอ็นดู ผู้ชายพวกนี้เวลาอยู่บ้านจะนั่งวางท่าไม่มีวันยื่นมือเข่าไปยุ่งเกี่ยวกับงานบ้าน แต่พอมาตามร้านสาเกร้านน้ำชาเช่นนี้กลับขยันขันแข็งไปเป็นคนละคน รู้จักเปิดประตูหน้าต่างเอง หยิบเบาะมารองนั่ง จนกระทั่งปูที่หลับปัดที่นอน บางคนกะล่อยกะหลิบทำได้เรียบร้อยพิถีพิถันกว่าผู้หญิงเสียอีก
“เฮ้อ ค่อยเงียบสงบหน่อย”
เซอิจูโรถอนใจยืดยาวทันทีที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะนุ่ม
“เปิดหน้าต่างไหม”
กิองโทจิถามพลางเดินไปไปเปิดหน้าต่างที่มีชานแคบ ๆ มีราวลูกกรงกั้นยื่นออกไปเหนือลำน้ำทากาเซะที่ไหลเอื่อยกระซิบเสียงแผ่วกับโขดหิน ลอดสะพานซันโจทางด้านใต้ผ่านบริเวณกว้างขวางของวัดซุยเซ็นอิน เรื่อยไปถึงตำบลโทรามาจิที่ตั้งของกลุ่มวัดที่มืดครึ้มและเงียบสงัด ไปจนถึงคายาฮาระที่เกิดเหตุทำให้ฮิเดสึงุโชกุนรุ่นที่สองแห่งตระกูลโทโยโทมิต้องจบชีวิตพร้อมนางบำเรอและลูก ๆ ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมที่ยังสดใหม่อยู่ในความทรงจำของผู้คน
“ต้องรีบเรียกพวกผู้หญิงมา ไม่งั้นจะเหงาเกินไป คืนนี้ดูแล้วไม่น่ามีแขกอื่น ไม่รู้ว่าโอโคไปชักช้าอยู่ที่ไหน น้ำชงน้ำชาก็ไม่เห็นเอามาต้อนรับ”
กิองโทจิควรจะนั่งได้แล้วแต่ก็ยังเดินบ่นไปมาตามประสาคนอยู่ไม่สุข สุดท้ายบอกว่าจะไปเร่งน้ำชาแล้วออกจากห้องเดินเข้าไปด้านในราวกับคุ้นเคย และพอเลี้ยวมุมระเบียงทางเดินก็เกือบชนเข้ากับเด็กสาวที่ถือถาดลงรักปิดทองเดินสวนมา
“อุ๊ย” เด็กสาวอุทานพร้อมกับมีเสียงลูกกระพรวนดังกรุ้งกริ้ง
“อาเกมิ”
“มาก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง ดูซิน้ำชาหกเลย”
“ช่างน้ำชาเถิด เซอิจูโรที่เจ้ารักนักหนานั่งคอยอยู่นานแล้ว ทำไมถึงไม่รีบมา”
“เพราะท่านคนเดียวน้ำชาถึงได้หก ไปเอาผ้ามาเช็ดเดี๋ยวนี้เลย”
“โอโคล่ะ”
“แต่งหน้าอยู่”
“อะไรกัน เพิ่งจะแต่งหน้าเองรึ”
“ใช่ ท่านไม่รู้อะไรกลางวันวันนี้เรายุ่งกันมาก”
“กลางวัน...เอ๊ะ ใครรึมาร้านน้ำชาตอนกลางวัน”
“จะเป็นใครก็ช่างเถิด หลีกไป”
อาเกมิเดินถือถาดเข้าไปในห้อง
“โยโมงิยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ”
เซอิจูโรทำคล้ายไม่สนใจแค่ชายตามามอง แค่ความจริงเขินจัด
“อ้อ...เจ้าเองรึ เมื่อคืน...”
อาเกมิเอื้อมมือไปที่ชั้น หยิบกล้องสูบบุหรี่ก้านยาวตรงปลายที่ใส่ยาเส้นทำด้วยกระเบื้อง ลงมาวางไว้บนโถรูปร่างคล้ายโถจุดเครื่องหอม
“อาจารย์น้อยจะสูบยาเส้นไหมเจ้าคะ”
“ระยะนี้ได้ยินมาว่าเขาห้ามสูบไม่ใช่รึ”
“แต่เห็นใคร ๆ เขาแอบสูบกัน”
“งั้น ก็ดีเหมือนกัน”
“ฉันจุดให้นะ”
อาเกมิหยิบยาเส้นออกมาจากตลับเล็ก ๆ ลายฝาหอยสีน้ำเงินงดงาม อัดลงไปในปากกล้องสูบแล้วจุดไฟให้
“เชิญเจ้าค่ะ”
เซอิจูโรยกกล้องขึ้นสูบด้วยท่าทางเก้งก้างอย่างคนไม่เคย
“ขมจะตาย”
อาเกมิหัวเราะคิกคัก
“โทจิหายไปไหนรู้ไหม”
“คงจะไปห้องแม่อีกแล้วละมัง”
“เจ้าโทจิถ้าจะติดใจโอโคเอามาก ๆ...ต้องใช่แน่ ๆ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าว่าหายหัวไปไหนบ่อย ๆ ที่แท้แอบมาหาโอโคคนเดียวที่นี่นั่นเอง
3
“จริงใช่ไหม อาเกมิ”
“ไม่รู้ไม่ชี้” เด็กสาวหัวเราะ
“หัวเราะอะไร แม่เจ้าก็ดูรักชอบโทจิดีไม่ใช่รึ”
“ฉันจะไปรู้ได้ไง”
“สองคนนั่นต้องชอบกันแน่ แล้วก็เข้าคู่กันเหมาะเจาะดีเสียด้วย โทจิคู่กับโอโค และข้าคู่กับเจ้า”
เซอิจูโรทำหน้าตาเฉยเอื้อมมือไปวางทับมือของอาเกมิ
“ไม่เจ้าค่ะ”
เด็กสาวปัดมือใหญ่แข็งแรงออกไปแล้วกระเถิบหนี พอถูกขัดใจเซอิจูโรก็ฮึดขึ้นมาคว้าร่างบอบบางของอาเกมิที่ตั้งท่าจะลุกขึ้นยืนมากอดไว้แน่น
“จะไปไหน”
“ไม่เจ้าค่ะ ปล่อย บอกให้ปล่อย”
“อยู่นี่แหละจะไปไหน”
“จะไปเอาเหล้าสาเกมาให้ยังไงล่ะเจ้าคะ”
“เหล้าเลิ่วอะไรไม่ต้องเลย”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวโดนแม่ดุ”
“โอโคคุยอยู่กับโทจิอยู่ทางโน้น ไม่มายุ่งกับเราหรอก”
ว่าแล้วก็ก้มลงไปแนบแก้มกับอาเกมิในอ้อมกอด สาวน้อยเบือนหน้าที่ร้อนวูบขึ้นมาทันทีแล้วเรียกหาแม่เสียงแหลม
“ใครก็ได้ช่วยด้วย แม่ แม่”
และทันทีที่สะบัดหลุดออกมาจากอ้อมกอด อาเกมิก็วิ่งตัวปลิวเหมือนนกน้อยมีเสียงลูกกระพรวนดังกรุ้งกริ้งหายเข้าไปซ่อนตัวอยู่ข้างใน และระหว่างที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นั้น สาวน้อยได้ยินใครคนหนึ่งหัวเราะเสียงดังอยู่ในห้องข้าง ๆ
“ฮึ” เซอิจูโรหงุดหงิดเมื่อถูกทิ้งให้นั่งหง่าวอยู่คนเดียว ทั้งขัดใจและขุ่นเคืองที่ถูกอาเกมิสลัดทิ้ง
“กลับดีกว่า”
เซอิจูโรพึมพำกับตัวเอง แล้วลุกขึ้นเดินหน้าบึ้งตึงออกไปที่ระเบียง
“อ้าว ท่านเซอิ”
โอโคกำลังเดินมาทางนั้นพอดีและพอเห็นว่าเป็นใครก็รีบโผเข้ามากอดเอาไว้ โอโคเกล้าผมเรียบร้อยและแต่งหน้างดงามกว่าที่เห็นตรงหน้าบ้าน นางกอดเซอิจูโรเอาไว้อย่างนั้นพลางเรียกหากิองโทจิ
“มานี่ มานี่ จะไปไหนหรือเจ้าคะ”
นางพาลูกค้าคนสำคัญกลับเข้าไปในห้องเดิมและจัดการให้นั่งประจำที่เรียบร้อย ยกเหล้าสาเกมาทันทีพยายามเอาใจให้ หายขุ่นเคือง ส่วนกิองโทจิรีบไปดึงตัวอาเกมิกลับมา
อาเกมิหายตื่นตระหนกเมื่อมีแม่กับกิองโทจิอยู่ด้วย และพอเห็นเซอิจูโรทำหน้างออยู่นางก็ยิ้มให้เห็นลักยิ้มน่าเอ็นดู
“รินสาเกให้ท่านเซอิสิอาเกมิ”
“จ้ะแม่”
สาวน้อยทำตามอย่างว่าง่าย
“เห็นฤทธิ์เจ้าหล่อนกันรึยังเจ้าค่ะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำตัวเป็นเด็กน้อยไม่รู้จักโตไปถึงไหน”
“อย่างนี้แหละดี เสน่ห์ของซากุระแรกแย้มยังไงล่ะ”
กิองโทจิแทรกเข้ามานั่งร่วมวง
“เห็นทำไร้เดียงสา ปีนี้ยี่สิบเอ็ดแล้วนะเจ้าคะ”
“ยี่สิบเอ็ดรึ...ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย ตัวเล็กนิดเดียว คิดว่าอย่างมากก็สิบหกสิบเจ็ด”
อาเกมิทำระริกระรี้เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
“จริงหรือเจ้าคะท่านโทจิ ดีใจจัง ฉันอยากอายุสิบหกตลอดไป เพราะตอนอายุสิบหกฉันได้พบกับสิ่งที่แสนดีต่อชีวิต”
“อะไรเหรอ”
“ฉันบอกใครไม่ได้หรอก...ตอนอายุสิบหก” อาเกมิกอดอดแน่น
“ปีที่เกิดศึกเซกิงาฮาระ รู้ไหมว่าฉันอยู่ที่แคว้นไหน”
โอโคหน้าตึงขึ้นมาทันที
“อย่ามัวพูดเพ้อเจ้ออยู่เลย ไม่เอาชามิเซ็งมาเร็วเข้า”
อาเกมิไม่ตอบได้แต่ลุกไปหยิบชามิเซ็งกลับมา แล้วเริ่มดีดและร้องเพลงคลอเสียงกังวานใสเคลิบเคลิ้มไปกับลำนำเพลงที่ตั้งใจกล่อมใจตนเองมากกว่าร้องให้คนอื่นฟัง
แม้คืนนี้หมู่เมฆจะบังฟ้า
ข้าก็ยังเห็นจันทร์เจ้า
เรืองรองอยู่ในม่านน้ำตา
“ท่านโทจิเข้าใจไหม”
“อือ ขออีกเพลงได้ไหม”
“ได้สิ ฉันอยากดีดอยู่อย่างนี้ตลอดคืน”
แม้ในความมืด มืดสนิท
ข้าก็ไม่เคยหลงทาง
แต่โอ้อกเอย ใยข้าจึงหลงท่าน
“ฉันเข้าใจแล้ว อาเกมิเป็นสาวสมวัยยี่สิบเอ็ดจริง ๆ ด้วย”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
นักดาบกลุ่มหนุ่มแห่งสำนักโยชิโอกะกำลังดื่มกินกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยง ท้าแข่งดื่มสาเกรวดเดียวเกลี้ยงกระปุกให้รู้กันไปว่าว่าเอ็งแพ้หรือข้าชนะกันจนเมามายแทบไม่เป็นผู้เป็นคน กระปุกสาเกระเนระนาดเกลื่อนกลาดไปทั่วห้อง และอยู่ ๆ หนุ่มที่นั่งสะอึกอยู่ติดกับคนที่นั่งข้างอาจารย์น้อยเซอิจูโรก็หัวเราะดังลั่น แล้วโพล่งขึ้นมาด้วยเสียงอ้อแอ้อย่างคนเมาจัด
“เอ็งสรรเสริญท่านอาจารย์ของเราว่าเป็นยอดนักดาบเคียวฮาจิก็เพราะอาจารย์น้อยอยู่ที่นี่ ใคร ๆ ก็รู้ว่าเคียวฮาจิไม่ใช่สำนักเดียวในโลกของนักดาบ และก็ไม่ได้มีแค่สำนักโยชิโอกะเท่านั้นที่แยกออกมา สาขาของสำนักดาบเคียวฮาจิยังมีอีกมากมาย แค่ในเกียวโตก็ยังมีอีกหลายค่าย อย่างที่คูโรทานิก็มีสำนักของโทมิตะ เซอิเง็นจากหมู่บ้านโจเคียวจิ ที่คิตาโนะมีสำนักของโอกาซาวาระ เก็นชินไซ และต้องไม่ลืมว่าที่ชิรากาวะก็ยังมีอิโต อิตโตไซนักดาบเรืองนามที่ไม่ได้ตั้งค่ายฝึกลูกศิษย์อยู่อีกคนหนึ่ง”
“เอ็งจะมาเพ้อหาอะไรวะ”
“ข้าแค่จะบอกว่า ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นนักดาบที่เก่งกาจอยู่คนเดียว”
“ไอ้นี่ ท่าจะวอนเสียแล้ว”
เจ้าหนุ่มที่ถูกลบเหลี่ยมโกรธจัด ชันเข่าถลันตัวเข้ามาในวง
“ถ้าอยากลองดีก็ออกมา”
“ได้เลย”
“เอ็งเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งของท่านอาจารย์โยชิโอกะ ทำไมถึงได้บังอาจลบหลู่วิถีดาบของท่านโยชิโอกะ เค็มโป”
“ข้าไม่ได้ลบหลู่ แต่อยากบอกให้พวกเอ็งเปิดหูเปิดตามองโลกภายนอกบ้างว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว คนยุคนี้ไม่ได้มองกันว่าพวกอาจารย์ที่ได้รับเลือกให้เข้าไปสอนวิชาดาบให้นักรบในกองทัพโชกุนมูรามาจิ เป็นนักดาบที่เก่งกาจที่สุดในปฐพีเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป วิถีแห่งดาบได้ขยายกว้างขวางไปไกลราวกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า อย่านึกว่ามีแต่ที่เกียวโตเท่านั้นเดี๋ยวนี้มีนักดาบอยู่ทั่วไปในแว่นแคว้น ไม่ว่าจะที่เอโดะ ฮิตาจิ เอจิเซ็น คิงกิ จูโกคุ ไปจนถึงคิวชู และในจำนวนนั้นมีนักดาบที่เก่งกาจอยู่ไม่น้อย ข้าแค่อยากบอกว่าถึงท่านอาจารย์โยชิโอกะ เค็มโปจะมีชื่อเสียงเด่นดังแค่ไหน อาจารย์น้อยกับลูกศิษย์ก็จะหลงตัวเองว่าตนเป็นนักดาบที่เก่งกาจที่สุดในปฐพีไม่ได้ พูดแค่นี้ไม่ได้รึ”
“ไม่ได้ ไอ้ขี้ขลาด เขาให้มาฝึกเป็นนักรบกองทัพโชกุน ดันมากลัวนักดาบสำนักอื่น ใช้ไม่ได้”
“ข้าไม่ได้กลัวเกรงใคร แค่อยากเตือนว่าอย่าเหลิง”
“เตือนรึ เอ็งเก่งมาจากไหนถึงได้บังอาจเตือนคนอื่นเขาอย่างนี้”
ว่าแล้วก็ผลักอกคนปากดีเต็มแรง อีกฝ่ายไม่ทันระวังจึงเสียหลักจ้ำเบ้าลงไปกลางวงเหล้า จานชามจอกสาเกแตกกระจาย
“เอ็งเริ่มก่อนนะ”
“เออ จะทำไม”
กิองโทจิกับอูเอดะ นักดาบรุ่นพี่รีบเข้าไปแทรกกลางยุดยื้อให้แยกกันพัลวัน
“หยุด จะทะเลาะกันไปหาอะไร”
“ใจเย็น ๆ “
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเอ็ง ทั้งสองคนนั่นแหละ”
รุ่นพี่ทั้งสองพยายามไกล่เกลี่ย รินสาเกให้ดื่มหวังจะให้คืนดีกันแต่ฝ่ายหนึ่งกลับโกรธขึ้นมาอีก ส่วนอีกฝ่ายเข้าไปจับคอเสื้อของอูเอดะรุ่นพี่อาวุโสเอาไว้แล้วจ้องหน้าจ้องตาอุทธรณ์ว่า
“ข้าพูดความจริงออกไปตรง ๆ เพราะเห็นแก่สำนักโยชิโอกะของเรา ถ้าสำนักเรามีแต่คนหลงตนทะนงตนอย่างไอ้บ้านั่น ท่านอาจารย์โยชิโอกะ เค็มโปจะต้องสิ้นชื่อ สำนักเราจะต้องล่มสลายลงสักวันหนึ่งเป็นแน่”
ว่าแล้วก็ร้องไห้โฮออกมา และยังไม่ทันสิ้นเสียงสะอื้นก็หันไปพาลเอากับพวกผู้หญิงที่พากันหนีไป กลองบัณเฑาะก์ที่ใช้เต้นรำทำเพลงและกระปุกสาเกถูกเตะหกกระจาย
“นางพวกนี้ จะหนีไปไหน”
เดินด่าพลางออกตามหา คิดว่าเข้าไปในห้องข้าง ๆ แต่พบว่าไปนั่งหน้าซีดโก่งคอโอ้กอ้ากอยู่ที่ระเบียงใต้ชายคา รุ่นน้องคนสองคนตามไปช่วยลูบหลังให้
เซอิจูโรไม่เมา กิองโทจิจึงกระซิบถาม
“อาจารย์น้อยคงไม่สนุกละซี”
“พวกนั้นมันสนุกกันนักรึ”
“ก็คงอย่างนั้น”
“เมากันเละไม่เป็นท่า”
“เราสองคนจะอยู่คอยกำราบพวกนี้เอง อาจารย์น้อยเปลี่ยนไปดื่มบ้านอื่นที่สงบเงียบกว่าทีนี่ดีกว่าไหม”
เซอิจูโรเห็นพ้องกับกิองโทจิด้วยความโล่งใจที่จะพ้นจากพวกลูกศิษย์ขี้เมาไปได้เสียดี
“เราอยากไปบ้านเมื่อคืนวาน”
“อ๋อ โรงน้ำชาโยโมงิละซี”
“อือ”
“ข้าก็คิดเหมือนกันว่าบ้านนั้นเป็นโรงน้ำชาชั้นดีเหมาะกับอาจารย์น้อย แต่แรกก็ว่าจะชวนไปแต่พอเห็นเจ้าหนุ่มเกกมะเหรกพวกนั้นตามมาเป็นฝูงก็เลยยั้งไว้ และพามาที่นี่”
“โทจิมาด้วยกันเถอะ ที่นี่อูเอดะคงพอรับมือได้”
“ได้ เดี๋ยวข้าจะทำเป็นขอตัวไปสุขา แล้วจะตามไป”
“ดี งั้นเรารออยู่ข้างนอกนะ”
ว่าแล้วเซอิจูโรก็ทิ้งวงสาเกหายตัวออกไปโดยไม่มีใครเห็น
2
ส้นเท้าขาวผ่องลอยพ้นพื้นเมื่อปลายเท้าเขย่งขึ้น สาวใหญ่ผมที่เพิ่งสระมาหมาด ๆ สยายเต็มบ่ากำลังเกี่ยวโคมที่เอาลงมาจุดใหม่หลังโดนลมพัดดับกลับขึ้นไปแขวนไว้ตามเดิม แต่พยายามอยู่นานก็เกี่ยวกับตะขอไม่ได้สักที เปลวเทียนในโคมไหวตามสายลมอ่อน ๆ ยามค่ำของเดือนสอง สะท้อนเงาลูบไล้ลำแขนขาวนวลและเรือนผมดำสนิท กลิ่นดอกบ๊วยหอมหวานแม้เจือจางราวลอยลมมาแสนไกล
“โอโค...เอามานี่ ข้าแขวนให้”
เสียงทักของใครคนหนึ่งทำให้นางสะดุ้งและอุทานออกมา
“อาจารย์น้อย”
“รอเดี๋ยวนะ”
คนที่ก้าวเข้ามายืนข้าง ๆ ไม่ใช่เซอิจูโรอาจารย์น้อยแต่เป็นกิองโทจิลูกศิษย์คนสนิท
“เป็นไง ใช้ได้หรือยัง”
“ขอบใจมากนะ”
กิองโทจิยืนจ้องมองโคมไฟเขียนชื่อร้านโยโมงิ พึมพำว่าเบี้ยวไปนิดแล้วเอื้อมมือขึ้นไปขยับให้เข้าที่ โอโคชายตามองด้วยความเอ็นดู ผู้ชายพวกนี้เวลาอยู่บ้านจะนั่งวางท่าไม่มีวันยื่นมือเข่าไปยุ่งเกี่ยวกับงานบ้าน แต่พอมาตามร้านสาเกร้านน้ำชาเช่นนี้กลับขยันขันแข็งไปเป็นคนละคน รู้จักเปิดประตูหน้าต่างเอง หยิบเบาะมารองนั่ง จนกระทั่งปูที่หลับปัดที่นอน บางคนกะล่อยกะหลิบทำได้เรียบร้อยพิถีพิถันกว่าผู้หญิงเสียอีก
“เฮ้อ ค่อยเงียบสงบหน่อย”
เซอิจูโรถอนใจยืดยาวทันทีที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะนุ่ม
“เปิดหน้าต่างไหม”
กิองโทจิถามพลางเดินไปไปเปิดหน้าต่างที่มีชานแคบ ๆ มีราวลูกกรงกั้นยื่นออกไปเหนือลำน้ำทากาเซะที่ไหลเอื่อยกระซิบเสียงแผ่วกับโขดหิน ลอดสะพานซันโจทางด้านใต้ผ่านบริเวณกว้างขวางของวัดซุยเซ็นอิน เรื่อยไปถึงตำบลโทรามาจิที่ตั้งของกลุ่มวัดที่มืดครึ้มและเงียบสงัด ไปจนถึงคายาฮาระที่เกิดเหตุทำให้ฮิเดสึงุโชกุนรุ่นที่สองแห่งตระกูลโทโยโทมิต้องจบชีวิตพร้อมนางบำเรอและลูก ๆ ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมที่ยังสดใหม่อยู่ในความทรงจำของผู้คน
“ต้องรีบเรียกพวกผู้หญิงมา ไม่งั้นจะเหงาเกินไป คืนนี้ดูแล้วไม่น่ามีแขกอื่น ไม่รู้ว่าโอโคไปชักช้าอยู่ที่ไหน น้ำชงน้ำชาก็ไม่เห็นเอามาต้อนรับ”
กิองโทจิควรจะนั่งได้แล้วแต่ก็ยังเดินบ่นไปมาตามประสาคนอยู่ไม่สุข สุดท้ายบอกว่าจะไปเร่งน้ำชาแล้วออกจากห้องเดินเข้าไปด้านในราวกับคุ้นเคย และพอเลี้ยวมุมระเบียงทางเดินก็เกือบชนเข้ากับเด็กสาวที่ถือถาดลงรักปิดทองเดินสวนมา
“อุ๊ย” เด็กสาวอุทานพร้อมกับมีเสียงลูกกระพรวนดังกรุ้งกริ้ง
“อาเกมิ”
“มาก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง ดูซิน้ำชาหกเลย”
“ช่างน้ำชาเถิด เซอิจูโรที่เจ้ารักนักหนานั่งคอยอยู่นานแล้ว ทำไมถึงไม่รีบมา”
“เพราะท่านคนเดียวน้ำชาถึงได้หก ไปเอาผ้ามาเช็ดเดี๋ยวนี้เลย”
“โอโคล่ะ”
“แต่งหน้าอยู่”
“อะไรกัน เพิ่งจะแต่งหน้าเองรึ”
“ใช่ ท่านไม่รู้อะไรกลางวันวันนี้เรายุ่งกันมาก”
“กลางวัน...เอ๊ะ ใครรึมาร้านน้ำชาตอนกลางวัน”
“จะเป็นใครก็ช่างเถิด หลีกไป”
อาเกมิเดินถือถาดเข้าไปในห้อง
“โยโมงิยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ”
เซอิจูโรทำคล้ายไม่สนใจแค่ชายตามามอง แค่ความจริงเขินจัด
“อ้อ...เจ้าเองรึ เมื่อคืน...”
อาเกมิเอื้อมมือไปที่ชั้น หยิบกล้องสูบบุหรี่ก้านยาวตรงปลายที่ใส่ยาเส้นทำด้วยกระเบื้อง ลงมาวางไว้บนโถรูปร่างคล้ายโถจุดเครื่องหอม
“อาจารย์น้อยจะสูบยาเส้นไหมเจ้าคะ”
“ระยะนี้ได้ยินมาว่าเขาห้ามสูบไม่ใช่รึ”
“แต่เห็นใคร ๆ เขาแอบสูบกัน”
“งั้น ก็ดีเหมือนกัน”
“ฉันจุดให้นะ”
อาเกมิหยิบยาเส้นออกมาจากตลับเล็ก ๆ ลายฝาหอยสีน้ำเงินงดงาม อัดลงไปในปากกล้องสูบแล้วจุดไฟให้
“เชิญเจ้าค่ะ”
เซอิจูโรยกกล้องขึ้นสูบด้วยท่าทางเก้งก้างอย่างคนไม่เคย
“ขมจะตาย”
อาเกมิหัวเราะคิกคัก
“โทจิหายไปไหนรู้ไหม”
“คงจะไปห้องแม่อีกแล้วละมัง”
“เจ้าโทจิถ้าจะติดใจโอโคเอามาก ๆ...ต้องใช่แน่ ๆ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าว่าหายหัวไปไหนบ่อย ๆ ที่แท้แอบมาหาโอโคคนเดียวที่นี่นั่นเอง
3
“จริงใช่ไหม อาเกมิ”
“ไม่รู้ไม่ชี้” เด็กสาวหัวเราะ
“หัวเราะอะไร แม่เจ้าก็ดูรักชอบโทจิดีไม่ใช่รึ”
“ฉันจะไปรู้ได้ไง”
“สองคนนั่นต้องชอบกันแน่ แล้วก็เข้าคู่กันเหมาะเจาะดีเสียด้วย โทจิคู่กับโอโค และข้าคู่กับเจ้า”
เซอิจูโรทำหน้าตาเฉยเอื้อมมือไปวางทับมือของอาเกมิ
“ไม่เจ้าค่ะ”
เด็กสาวปัดมือใหญ่แข็งแรงออกไปแล้วกระเถิบหนี พอถูกขัดใจเซอิจูโรก็ฮึดขึ้นมาคว้าร่างบอบบางของอาเกมิที่ตั้งท่าจะลุกขึ้นยืนมากอดไว้แน่น
“จะไปไหน”
“ไม่เจ้าค่ะ ปล่อย บอกให้ปล่อย”
“อยู่นี่แหละจะไปไหน”
“จะไปเอาเหล้าสาเกมาให้ยังไงล่ะเจ้าคะ”
“เหล้าเลิ่วอะไรไม่ต้องเลย”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวโดนแม่ดุ”
“โอโคคุยอยู่กับโทจิอยู่ทางโน้น ไม่มายุ่งกับเราหรอก”
ว่าแล้วก็ก้มลงไปแนบแก้มกับอาเกมิในอ้อมกอด สาวน้อยเบือนหน้าที่ร้อนวูบขึ้นมาทันทีแล้วเรียกหาแม่เสียงแหลม
“ใครก็ได้ช่วยด้วย แม่ แม่”
และทันทีที่สะบัดหลุดออกมาจากอ้อมกอด อาเกมิก็วิ่งตัวปลิวเหมือนนกน้อยมีเสียงลูกกระพรวนดังกรุ้งกริ้งหายเข้าไปซ่อนตัวอยู่ข้างใน และระหว่างที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นั้น สาวน้อยได้ยินใครคนหนึ่งหัวเราะเสียงดังอยู่ในห้องข้าง ๆ
“ฮึ” เซอิจูโรหงุดหงิดเมื่อถูกทิ้งให้นั่งหง่าวอยู่คนเดียว ทั้งขัดใจและขุ่นเคืองที่ถูกอาเกมิสลัดทิ้ง
“กลับดีกว่า”
เซอิจูโรพึมพำกับตัวเอง แล้วลุกขึ้นเดินหน้าบึ้งตึงออกไปที่ระเบียง
“อ้าว ท่านเซอิ”
โอโคกำลังเดินมาทางนั้นพอดีและพอเห็นว่าเป็นใครก็รีบโผเข้ามากอดเอาไว้ โอโคเกล้าผมเรียบร้อยและแต่งหน้างดงามกว่าที่เห็นตรงหน้าบ้าน นางกอดเซอิจูโรเอาไว้อย่างนั้นพลางเรียกหากิองโทจิ
“มานี่ มานี่ จะไปไหนหรือเจ้าคะ”
นางพาลูกค้าคนสำคัญกลับเข้าไปในห้องเดิมและจัดการให้นั่งประจำที่เรียบร้อย ยกเหล้าสาเกมาทันทีพยายามเอาใจให้ หายขุ่นเคือง ส่วนกิองโทจิรีบไปดึงตัวอาเกมิกลับมา
อาเกมิหายตื่นตระหนกเมื่อมีแม่กับกิองโทจิอยู่ด้วย และพอเห็นเซอิจูโรทำหน้างออยู่นางก็ยิ้มให้เห็นลักยิ้มน่าเอ็นดู
“รินสาเกให้ท่านเซอิสิอาเกมิ”
“จ้ะแม่”
สาวน้อยทำตามอย่างว่าง่าย
“เห็นฤทธิ์เจ้าหล่อนกันรึยังเจ้าค่ะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำตัวเป็นเด็กน้อยไม่รู้จักโตไปถึงไหน”
“อย่างนี้แหละดี เสน่ห์ของซากุระแรกแย้มยังไงล่ะ”
กิองโทจิแทรกเข้ามานั่งร่วมวง
“เห็นทำไร้เดียงสา ปีนี้ยี่สิบเอ็ดแล้วนะเจ้าคะ”
“ยี่สิบเอ็ดรึ...ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย ตัวเล็กนิดเดียว คิดว่าอย่างมากก็สิบหกสิบเจ็ด”
อาเกมิทำระริกระรี้เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
“จริงหรือเจ้าคะท่านโทจิ ดีใจจัง ฉันอยากอายุสิบหกตลอดไป เพราะตอนอายุสิบหกฉันได้พบกับสิ่งที่แสนดีต่อชีวิต”
“อะไรเหรอ”
“ฉันบอกใครไม่ได้หรอก...ตอนอายุสิบหก” อาเกมิกอดอดแน่น
“ปีที่เกิดศึกเซกิงาฮาระ รู้ไหมว่าฉันอยู่ที่แคว้นไหน”
โอโคหน้าตึงขึ้นมาทันที
“อย่ามัวพูดเพ้อเจ้ออยู่เลย ไม่เอาชามิเซ็งมาเร็วเข้า”
อาเกมิไม่ตอบได้แต่ลุกไปหยิบชามิเซ็งกลับมา แล้วเริ่มดีดและร้องเพลงคลอเสียงกังวานใสเคลิบเคลิ้มไปกับลำนำเพลงที่ตั้งใจกล่อมใจตนเองมากกว่าร้องให้คนอื่นฟัง
แม้คืนนี้หมู่เมฆจะบังฟ้า
ข้าก็ยังเห็นจันทร์เจ้า
เรืองรองอยู่ในม่านน้ำตา
“ท่านโทจิเข้าใจไหม”
“อือ ขออีกเพลงได้ไหม”
“ได้สิ ฉันอยากดีดอยู่อย่างนี้ตลอดคืน”
แม้ในความมืด มืดสนิท
ข้าก็ไม่เคยหลงทาง
แต่โอ้อกเอย ใยข้าจึงหลงท่าน
“ฉันเข้าใจแล้ว อาเกมิเป็นสาวสมวัยยี่สิบเอ็ดจริง ๆ ด้วย”