จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
ตำรวจยกระดับการเฝ้าระวังและตรวจตราบริเวณคฤหาสน์อูตางาวะช่วงกลางคืนขึ้นสู่ขั้นสูงสุด
นักสืบคิดลึกเฝ้าอยู่หน้าห้องผมที่อยู่ติดบันไดชั้นบนของเรือนฝรั่ง ส่วนนักสืบจมูดมดยืนยามอย่างอดทนอยู่หน้าห้องคาซูมะกับคุณนายอายากะที่อยู่สุดอีกด้านหนึ่งของระเบียงทางเดิน ดวงตาของนายตำรวจทั้งสองสอดส่ายและจ้องจับไปที่บานประตูของแต่ละห้องแทบไม่กระพริบ
ส่วนชั้นล่าง สารวัตรเหยี่ยวกับจ่ามินามิงาวะเตรียมกระไดพาดสำหรับใช้ในยามฉุกเฉินไว้พร้อมก่อนออกลาดตระเวนไปทั่วสวน
นักสืบหญิงกร้าวอาตาพินทำหน้าที่เป็นแนวหน้าเดินวางท่าไปมาตามระเบียงทางเดิน คอยรับมือการจู่โจมที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เวลาใครในกลุ่มเราลุกขึ้นไปห้องน้ำเจ้าหล่อนก็จะเข้ามาประกอบตัวพาไปพากลับ พอสาวใช้เอาน้ำดื่มขึ้นมาแจกตามห้องเผื่อว่าจะได้ดื่มเพื่อให้ส่างเมา เจ้าหล่อนก็ดักเอาไว้บอกตนต้องทดลองดื่มก่อนดูให้แน่ใจก่อนว่าไม่มียาพิษ
ทีนี้พอนักสืบจมูกมดเห็นเข้าก็ไม่พอใจยื่นมือมาแย่งถ้วยน้ำเอาไว้ ทำหน้าบึ้งบอกว่า
“เอามานี่”
“นี่คุณจะทำอะไร”
“ผมจะทดลองดื่มเอง” ว่าแล้วก็ยกถ้วยขึ้นดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่
นักสืบอาตาพินอุทานด้วยความตกใจ แล้วจ้องหน้านักสืบจมูกมดอยู่อึดใจหนึ่ง แต่พอเริ่มเข้าใจอะไรได้แล้วสายตาของเจ้าหล่อนก็คลายความแข็งกร้าวลง กลายเป็นความตื้นตัน
“โถ คุณใจดีเหลือเกินที่นึกถึงสวัสดิภาพของฉันถึงขนาดนั้น ดีใจมากเลยนะ” แล้วก็หยอดเข้าให้ว่า “ถ้ายังไง จะให้ฉันเป็นคู่แต่งงานด้วยก็ตกลงนะ”
นักสืบจมูกมดไม่สนุกด้วย ทำตาขึงแล้วดุว่า
“บ้าหรือไง ไม่รู้รึว่าฉันมีเมียแล้ว”
“จะเป็นไรไป แค่มีเมียแล้วเท่านั้นเอง ฉันไปเป็นเมียให้อีกคนก็ได้นะ แต่เป็นนางบำเรอไม่เอานะฉันเกลียด มีเมียสองคนดีนะจะบอกให้ ฉันจะปรนนิบัติดูแลคุณเป็นอย่างดีให้ครึ่งหนึ่ง แต่จะให้ทำทั้งหมดคงไม่ไหว”
“พูดไปนั่น ไม่มีใครเขาทำอย่างนั้นหรอกน่า”
“คุณน่ะบ้า ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย คนเรารักใครรักเขาให้รักแค่ครึ่งเดียวกำลังดี ฉันจึงบอกว่าจะรักคุณครึ่งเดียวไง”
“เหรอ งั้นก็ตามใจ”
“นั่นแน่ ชักจะดีใจแล้วใช่ไหมล่ะ”
นักสืบจมูกมดทำท่าเคลิบเคลิ้มเมื่อนักสืบอาตาพินทำทีเล่นทีจริงเอียงแก้มมาแนบแก้มตน ส่วนนักสืบสาวกร้าวก็ได้ใจแสดงบทบาทเต็มที่
“คืนนี้บรรยากาศดีเหลือเกิน แล้วเรามาจัดงานฉลองแต่งงานกันในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ที่ร้านปลาปักเป้าในโตเกียวนะ คุณมีเงินฝากธนาคารหรือเปล่า”
“ขอทีเถอะอย่าทำให้ผมอายมากไปกว่านี้อีกเลย”
“โอ๋ ไม่เป็นไร แค่ปลาปักเป้าฉันเป็นคนเลี้ยงเอง”
นักสืบหญิงกร้าวสนุกปากกับเกี้ยวพาราสีอย่างไม่อายผีสางเทวดาไปเรื่อย ๆ จนราวตีสี่ ทุกคนในบริเวณนั้นก็ได้ยินเสียงแผดร้องของคนที่ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส ดังก้องออกมาจากห้องนอนของคาซูมะกับคุณนายอายากะ
มันเป็นเสียงของคนที่กำลังต่อสู้กับความตาย ตามมาด้วยเสียงของหนัก ๆ ล้มลง แล้วเงียบสนิท
นักสืบทั้งสองช่วยกันผลักประตูเข้าไปแต่ปรากฏว่าประตูล็อกกุญแจ
“คุณ...คุณสองคนอย่าไปไหนนะ”
นักสืบจมูกมดร้องสั่งเข้าไปในห้อง วิ่งลงบันไดไปชั้นล่างแล้วออกไปที่สวน ฉวยบันไดพาดที่เตรียมไว้เข้าที่หน้าต่างห้องเกิดเหตุ ปีนขึ้นไปทุบกระจกหน้าต่างจนแตก แล้วถอดสลักกลอนเปิดเข้าไปในห้องพร้อมกับสารวัตรเหยี่ยว
ภายในห้องปิดไฟมืดทั้งสองจึงเปิดไฟฉายที่พกติดตัวมาฉายกราดเข้าไปในห้อง
ทั้งสองเห็นคนนอนอยู่บนพื้น คนที่นอนหงายเปลือยอกอยู่นั้นคือคุณนายอายากะ ส่วนคนที่ทับอยู่ไปบนร่างคุณนายคือคาซูมะ
“คุณหาสวิตช์เปิดไฟที เดินให้ดี ๆ อย่าไปทำให้อะไรบนพื้นที่เกิดเหตุเคลื่อนที่ไปได้เลยนะ”
นายตำรวจทั้งสองช่วยกันประคองตัวคาซูมะให้ลุกขึ้นแต่ก็ปรากฏว่าสิ้นใจตายไปเสียแล้ว นายตำรวจมองไปที่โต๊ะก็เห็นแก้วน้ำบนที่ยังมีน้ำเหลืออยู่ และผงขาว ๆ ซึ่งคงจะเป็นผงไซยาไนต์หกเกลื่อน
ทั้งสองวางร่างคาซูมะลงข้าง ๆ แล้วมองไปที่คุณนายอายากะเห็นมีเลือดไหลออกมาจากปากเช่นกัน แต่พอเอื้อมมือไปประคองคุณนายก็ลืมตาขึ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
คุณนายไม่ตอบ แต่ระหว่างที่ลืมตามองเหม่ออย่างไม่มีจุดหมายนั้นเอง อยู่ ๆ ก็ดูเหมือนจะได้สติขึ้นมาในทันใด เพราะสายตาฉายแววเจ็บปวดรวดร้าวพยายามเคลื่อนไหวศีรษะ นายตำรวจทั้งสองค่อย ๆ พยุงให้คุณนายลุกขึ้นนั่งและสังเกตเห็นเลือดยังไหลออกจากปากไม่หยุดทำให้ดูเหมือนว่าท่าทางจะไม่รอด แต่ก็พยายามช่วยเหลือปฐมพยาบาลโดยให้บ้วนปาก จึงรู้ว่าที่แท้เป็นเลือดที่เกิดจากการเผอิญพลาดไปกัดลิ้นตัวเอง ไม่ใช่เนื่องมาจากดื่มยาพิษหรือบาดเจ็บใหญ่โตอะไร
ไม่นานคุณนายอายากะก็ฟื้นคืนสติเต็มที่ จับเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ให้เข้าที่เรียบร้อย และพอหันไปเห็นศพคาซูมะที่ถูกเลื่อนไปนอนอยู่ข้าง ๆ เธอก็กรีดร้องเสียงแหลมด้วยความสิ้นหวัง
“เกิดอะไรขึ้นครับ นึกให้ดี ๆ แล้วตอบผม”
สารวัตรถามเสียงแข็ง จ้องมองคุณนายอย่างคาดคั้นด้วยสายตาคมวาวระหว่างคอยคำตอบ คุณนายจ้องตอบด้วยสายตาคมวาวไม่แพ้กันอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า
“คุณเข้ามาเมื่อไร”
“เมื่อกี้นี้เองครับ เราได้ยินเสียงผิดปกติภายในห้องก็เลยเอากระไดพาดปีนขึ้นมาทุบกระจกหน้าต่างแตก แล้วถอดกลอนปีนเข้ามา เกิดอะไรขึ้นครับ”
คุณนายอายากะหันไปพยุงร่างไร้วิญญาณของคาซูมะขึ้นมาวางบนตักแต่ร่างนั้นปวกเปียกไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เธอเงยหน้าขึ้นมองนายตำรวจทั้งสองคล้ายขอความช่วยเหลือ สารวัตรเหยี่ยวส่ายศีรษะเงียบ ๆ คุณนายหลบสายตาที่เลื่อนลอยและสิ้นหวังลงต่ำตามเดิม เลื่อนร่างไร้วิญญาณของคาซูมะจากตักลงไปวางพบพื้นตามเดิม ยกมือขึ้นจับเตียงพยุงตัวลุกขึ้นยืน เดินพลางครุ่นคิดจากเตียงไปที่โต๊ะทำงาน ไปที่เก้าอี้ เกาะอะไร ๆ เรื่อยไปตามทางจนถึงหน้าต่าง ลมเย็น ๆ ที่ผ่านเข้ามาตามรอยแตกของกระจกดูเหมือนจะช่วยให้นางสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง
รุ่งสางสว่างแล้ว คุณนายเดินกลับมานั่งที่ขอบเตียง
“ห้องเปิดไฟสว่างอยู่หรือคะ”
“เปล่าครับ เราเข้ามาเปิด”
คุณนายอายากะพยักหน้า
“สามีดิฉันตื่นอยู่จนดึก ลืมตาตื่นขึ้นมาทีไร เห็นไฟในห้องยังเปิดสว่างอยู่และเขานั่งทำอะไรสักอย่างอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ระหว่างนั้นดิฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าห้องปิดไฟมืด และใครคนหนึ่งกำลังกดบีบดิฉันอยู่ ดิฉันตกใจจึงลุกขึ้นนั่งทันที ก็ได้ยินเสียงสามีบอกว่าผมเองแล้วก็คลายมือออก เขาไม่ได้บีบคอดิฉันแรงจนทำให้รู้สึกว่าตั้งใจฆ่า แต่ก็พอที่จะทำให้ตกใจตื่นและลุกขึ้นมานั่งอย่างงง ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สามีกอดดิฉันเอาไว้แล้วบอกว่า ผมไม่ไหวแล้ว เรามาตายด้วยกันเถิดนะ”
สารวัตรเหยี่ยวพยักหน้าและนิ่งฟังต่อไป
“ดิฉันยังงงอยู่จึงถามว่าไม่ไหวอะไรหรือ แต่แทนที่จะตอบเขากลับส่งเสียงครางออกมาอย่างน่ากลัวแล้วบีบคอดิฉันอีก คราวนี้แรงกว่าเก่ามากดิฉันจึงดิ้นสุดฤทธิ์ให้พ้นจากอุ้งมือเขาจนตกลงไปจากเตียง หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ค่ะ”
สารวัตรพยักหน้าอีกแล้วถามว่า
“คุณนายพยายามนึกให้ดีนะครับว่าสามีคุณพูดอะไรอีกหรือเปล่า”
คุณนายอายาทำท่าคิดแต่แล้วก็สั่นศีรษะ
“พูดแต่ว่า...ผมไม่ไหวแล้ว เรามาตายด้วยกันเถิดนะ เท่านี้นะครับ เข้าใจแล้ว คุณคาซูมะพูดทำนองว่าตำรวจยื่นมือเข้ามาใกล้ตัวเต็มทีแล้ว คราวนี้คงจะไม่พ้นเงื้อมมือเป็นแน่ อย่างนั้นใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น”
คุณนายค้านเสียงแข็ง
“คาซูมะไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่บอกว่าผมไม่ไหวแล้วเท่านั้นค่ะ เมื่อคืนนี้หลังกลับเข้าห้องสามีดูอ่อนล้าไปทั้งกายใจ แทนที่จะพักผ่อนก็กลับหงุดหงิด นั่งไม่ติดที่ ดูหวาดระแวงอะไร ๆ ไปหมด ดิฉันรู้ดีว่าเป็นเพราะกระดาษคำขู่ที่แปะอยู่บนเสาแผ่นนั้น สามีเชื่อว่าหมอเอบิสึกะเป็นฆาตกรจึงสบายใจเมื่อหมอถูกตำรวจจับตัวไป ดังนั้นกระดาษคำขู่แผ่นนั้นจึงทำให้เขาตกใจสุดขีด เห็นได้ชัดว่าเขากลัวและหวาดกังวลมากจนดูเหมือนจะไม่อยากให้ดิฉันหลับก่อน ดิฉันก็เคลิ้มหลับไปบ้างแต่ลืมตาขึ้นมาที่ไรก็เห็นเขานั่งครุ่นคิดอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือทุกครั้ง”
สารวัตรเหยี่ยวพยักหน้า แล้วเริ่มพิจารณาดูศพของคาซูมะ บนใบหน้าและที่มีมีรอยแผลขีดข่วนที่เกิดระหว่างที่คุณนายต่อสู้เอาตัวรอด เสื้อนอนถูกกระชากจนกระดุมที่หน้าอกขาดกระเด็น
“คุณนายอันตรายมากเลย”
สารวัตรพูดขึ้นเมื่อเสร็จจากการพิจารณาศพ
“ดีที่คุณนายเป็นลมสิ้นสติเสียก่อน ขืนต่อสู้ต่อไปคงจะไม่หวังได้ฟื้นขึ้นมาอย่างนี้แน่ นี่คุณคาซูมะคงคิดว่าคุณตายแล้ว จึงได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย”
“ทำไมหรือคะ”
“ผมเสียใจครับที่ต้องบอกว่า สามีของคุณเป็นฆาตกรที่ฆ่าทุกคนในทุกคดีที่คฤหาสน์แห่งนี้ แต่เรายังจับตัวเขาไม่ได้เพราะไม่มีวัตถุพยาน”
“ไม่จริง”
คุณนายอายากะกรีดเสียงแหลม
“ดิฉันรู้ดี เมื่อคืนนี้ ตอนที่พวกเราเดินไปห้องกินข้าว ยังไม่มีกระดาษแผ่นนั้นติดอยู่ที่เสาเลย ที่จำได้เพราะว่าตัวเองมองไปที่เสาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีแน่นอนค่ะ สามีก็เข้ามาในห้องกินข้าวด้วยกัน และจากนั้นก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยจนรับประทานอาหารเสร็จ”
“ก็ฟังดูมีเหตุมีผลดีครับ”
สารวัตรพยักหน้า แล้วบอกด้วยท่าทางเขิน ๆ ว่า
“ความจริงพวกเราเป็นคนเอากระดาษแผ่นนั้นไปติดไว้เองแหละครับ วันที่ 9 สิงหาคม วันแห่งชะตากรรม ตั้งใจจะสื่อความหมายว่าเป็นวันแห่งชะตากรรมของฆาตกร ซึ่งฆาตกรเท่านั้นจึงจะเข้าใจ”
คำบอกกล่าวของสารวัตรทำเอาคุณนานอายากะตะลึงไป และชำเลืองมาทันเห็นสีหน้าสารวัตรแสดงความพอใจในกลอุบายของตน ก่อนสั่งให้นักสืบจมูกมดเปิดประตูห้อง
รถยนต์นำทีมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานรีบรุดมาถึงคฤหาสน์เมื่อราว 10.00 น. และดอกเตอร์โคเซกลับมาเมื่อ 11.00 น.กว่าเล็กน้อย
ดอกเตอร์ผลุนผลันเข้ามาทางห้องกินข้าว ขณะที่ผมนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องใหญ่ เพราะยังตั้งสติรับความล่มสลายของตระกูลอูตางาวะอันเป็นความจริงที่เหนือความคาดฝันไม่ได้
“ผมพบรถตำรวจกลางทางและก็ถูกแซงหน้าไป เลยวิ่งกวดมาคิดว่าเต็มฝีเท้าแล้วแต่ก็เพิ่งมาถึงเอาป่านนี้ ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเพราะขาดการออกกำลังกาย”
ดอกเตอร์นั่งพักพอหายหอบ สารวัตรเหยี่ยวก็เดินนำทีมตำรวจลงบันไปมาพอดี
“อ้าว ดอกเตอร์โคเซ กลับมาแล้วหรือครับ ระหว่างที่คุณไม่อยู่โศกนาฏกรรมจบบริบูรณ์แล้วนะ”
“จบ ? หมายความว่าคุณคาซูมะถูกฆ่าหรือครับ”
“ไม่ใช่ครับ อูตางาวะ คาซูมะ ฆ่าตัวตาย”
ดอกเตอร์โคเซถอดสี ด้วยความรู้สึกผิดหวัง หมดหวัง ท้อแท้และท้ายสุดคือหมดกำลังใจ
“ช้าไปจนได้ ผมมันบ้า อุตส่าห์ไม่หลับไม่นอน ไม่พัก แต่ผลสุดท้าย หมดกันชีวิตนี้”
ดอกเตอร์ระบายอารมณ์ประดังประเดออกมาเป็นชุด สารวัตรเหยี่ยวหัวเราะและบอกว่า
“ดูเหมือนดอกเตอร์จะงานยุ่งมากเลยนะครับ ไม่ได้หลับนอนไม่ได้พัก น่าเห็นใจมาก พวกเราเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนกันเลยครับ แต่ก็เอาเถอะ อะไรที่น่าจะสงบลงก็ดูเหมือนจะสงบลงแล้ว”
ดอกเตอร์ไม่ฟัง ตัวของเขาสั่นเทิ้มด้วยความโกรธที่คั่งอยู่ภายใน
“นรกแท้ ๆ ผมจะไม่ปล่อยให้ฆาตกรหลุดมือไปได้แน่ แต่...บ้าที่สุด นึกว่าจะทันการแต่กลับช้าไปได้ แต่ก็นั่นแหละจะมาโวยวายอะไรเอาป่านนี้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว คอยดูนะจะถลกหน้ากากออกมาให้เห็นกันชัด ๆ กันอีกไม่นานนี้แหละ”
“จะถลกหน้ากากใครหรือครับ”
“ก็ฆาตกรน่ะซี”
“แต่อูตางาวะ คาซูมะ ฆ่าตัวตายไปแล้วนะครับ”
สารวัตรรายงานแต่ดอกเตอร์ไม่ใส่ใจกลับถามว่า
“คุณคาซูมะตายด้วยยาพิษหรือครับ”
“ครับ ไซยาไนต์”
“มีจดหมายสั่งเสียไหม”
“ไม่มีครับ มีแต่เขียนแล้วขีดทิ้งเขียนแล้วขีดทิ้งตลอดคืน ขีดทิ้งอย่างชนิดที่แกะตัวอักษรที่เขียนไว้เดิมไม่ได้เลยสักตัว อาจจะตั้งใจเขียนจดหมายสั่งเสียก็ได้ ตอนนี้สิ่งไปให้ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานดูกันแล้วครับ”
ดอกเตอร์โคเซพยักหน้า
“ผมคิดว่าคุณอาซูมะน่าจะเตรียมพินัยกรรมหรืออะไรไว้ และคาดการเอาไว้แล้วว่าจะต้องเกิดคดีฆาตกรรมนี้ขึ้น แล้วรู้ด้วยว่าจะต้องมีการจัดเตรียมไว้แล้วว่าให้เกิดขึ้นในลักษณะของการฆ่าตัวตาย ตอนที่เกิดฆาตกรรมรายแรก ที่นายวานิถูกฆ่า คุณ คาซูมะได้เตรียมการฆ่าทำให้ดูเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย”
สารวัตรเหยี่ยวดูจะตะลึงไปกับคำพูดด้วยความมั่นใจของดอกเตอร์
“ผมว่าเราไปคุยกันที่ห้องอื่นดีกว่า ผมจะอธิบายกลยุทธ์ของปีศาจฆาตกรที่น่าเกลียดกลัวตนนี้ให้ฟัง”
ว่าแล้วดอกเตอร์โคเซก็นำสารวัตรเหยี่ยวกับทีมตำรวจสายสืบของเขาให้ตามไปทางหนึ่งโดยที่แต่ละคนดูไม่ค่อยเต็มใจนัก
[ตัวละครในเรื่องที่ตายไปแล้ว 8 คน]
วานิ โมจิซึกิ แขกรับเชิญของทามาโอะ
อูตางาวะ ทามาโอะ ลูกสาวอูตางาวะ ทามอน น้องของคาซูมะ
อากิระ อุตสึมิ กวีหลังค่อมแขกรับเชิญของทามาโอะ
ชิงูซะ หญิงขี้ริ้วลูกสาวนางยูระ นางุโมะ อาของคาซูมะ
คาโยโกะลูกสาวอูตางาวะ ทามอนเกิดจากหญิงรับใช้
อูตางาวะ ทามอน
อุตสึงิ อากิโกะนักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซูมะ อยู่กับโมคูเบ
นายคาซูมะ ทายาทตระกูลอูตางาวะ
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
ตำรวจยกระดับการเฝ้าระวังและตรวจตราบริเวณคฤหาสน์อูตางาวะช่วงกลางคืนขึ้นสู่ขั้นสูงสุด
นักสืบคิดลึกเฝ้าอยู่หน้าห้องผมที่อยู่ติดบันไดชั้นบนของเรือนฝรั่ง ส่วนนักสืบจมูดมดยืนยามอย่างอดทนอยู่หน้าห้องคาซูมะกับคุณนายอายากะที่อยู่สุดอีกด้านหนึ่งของระเบียงทางเดิน ดวงตาของนายตำรวจทั้งสองสอดส่ายและจ้องจับไปที่บานประตูของแต่ละห้องแทบไม่กระพริบ
ส่วนชั้นล่าง สารวัตรเหยี่ยวกับจ่ามินามิงาวะเตรียมกระไดพาดสำหรับใช้ในยามฉุกเฉินไว้พร้อมก่อนออกลาดตระเวนไปทั่วสวน
นักสืบหญิงกร้าวอาตาพินทำหน้าที่เป็นแนวหน้าเดินวางท่าไปมาตามระเบียงทางเดิน คอยรับมือการจู่โจมที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เวลาใครในกลุ่มเราลุกขึ้นไปห้องน้ำเจ้าหล่อนก็จะเข้ามาประกอบตัวพาไปพากลับ พอสาวใช้เอาน้ำดื่มขึ้นมาแจกตามห้องเผื่อว่าจะได้ดื่มเพื่อให้ส่างเมา เจ้าหล่อนก็ดักเอาไว้บอกตนต้องทดลองดื่มก่อนดูให้แน่ใจก่อนว่าไม่มียาพิษ
ทีนี้พอนักสืบจมูกมดเห็นเข้าก็ไม่พอใจยื่นมือมาแย่งถ้วยน้ำเอาไว้ ทำหน้าบึ้งบอกว่า
“เอามานี่”
“นี่คุณจะทำอะไร”
“ผมจะทดลองดื่มเอง” ว่าแล้วก็ยกถ้วยขึ้นดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่
นักสืบอาตาพินอุทานด้วยความตกใจ แล้วจ้องหน้านักสืบจมูกมดอยู่อึดใจหนึ่ง แต่พอเริ่มเข้าใจอะไรได้แล้วสายตาของเจ้าหล่อนก็คลายความแข็งกร้าวลง กลายเป็นความตื้นตัน
“โถ คุณใจดีเหลือเกินที่นึกถึงสวัสดิภาพของฉันถึงขนาดนั้น ดีใจมากเลยนะ” แล้วก็หยอดเข้าให้ว่า “ถ้ายังไง จะให้ฉันเป็นคู่แต่งงานด้วยก็ตกลงนะ”
นักสืบจมูกมดไม่สนุกด้วย ทำตาขึงแล้วดุว่า
“บ้าหรือไง ไม่รู้รึว่าฉันมีเมียแล้ว”
“จะเป็นไรไป แค่มีเมียแล้วเท่านั้นเอง ฉันไปเป็นเมียให้อีกคนก็ได้นะ แต่เป็นนางบำเรอไม่เอานะฉันเกลียด มีเมียสองคนดีนะจะบอกให้ ฉันจะปรนนิบัติดูแลคุณเป็นอย่างดีให้ครึ่งหนึ่ง แต่จะให้ทำทั้งหมดคงไม่ไหว”
“พูดไปนั่น ไม่มีใครเขาทำอย่างนั้นหรอกน่า”
“คุณน่ะบ้า ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย คนเรารักใครรักเขาให้รักแค่ครึ่งเดียวกำลังดี ฉันจึงบอกว่าจะรักคุณครึ่งเดียวไง”
“เหรอ งั้นก็ตามใจ”
“นั่นแน่ ชักจะดีใจแล้วใช่ไหมล่ะ”
นักสืบจมูกมดทำท่าเคลิบเคลิ้มเมื่อนักสืบอาตาพินทำทีเล่นทีจริงเอียงแก้มมาแนบแก้มตน ส่วนนักสืบสาวกร้าวก็ได้ใจแสดงบทบาทเต็มที่
“คืนนี้บรรยากาศดีเหลือเกิน แล้วเรามาจัดงานฉลองแต่งงานกันในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ที่ร้านปลาปักเป้าในโตเกียวนะ คุณมีเงินฝากธนาคารหรือเปล่า”
“ขอทีเถอะอย่าทำให้ผมอายมากไปกว่านี้อีกเลย”
“โอ๋ ไม่เป็นไร แค่ปลาปักเป้าฉันเป็นคนเลี้ยงเอง”
นักสืบหญิงกร้าวสนุกปากกับเกี้ยวพาราสีอย่างไม่อายผีสางเทวดาไปเรื่อย ๆ จนราวตีสี่ ทุกคนในบริเวณนั้นก็ได้ยินเสียงแผดร้องของคนที่ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส ดังก้องออกมาจากห้องนอนของคาซูมะกับคุณนายอายากะ
มันเป็นเสียงของคนที่กำลังต่อสู้กับความตาย ตามมาด้วยเสียงของหนัก ๆ ล้มลง แล้วเงียบสนิท
นักสืบทั้งสองช่วยกันผลักประตูเข้าไปแต่ปรากฏว่าประตูล็อกกุญแจ
“คุณ...คุณสองคนอย่าไปไหนนะ”
นักสืบจมูกมดร้องสั่งเข้าไปในห้อง วิ่งลงบันไดไปชั้นล่างแล้วออกไปที่สวน ฉวยบันไดพาดที่เตรียมไว้เข้าที่หน้าต่างห้องเกิดเหตุ ปีนขึ้นไปทุบกระจกหน้าต่างจนแตก แล้วถอดสลักกลอนเปิดเข้าไปในห้องพร้อมกับสารวัตรเหยี่ยว
ภายในห้องปิดไฟมืดทั้งสองจึงเปิดไฟฉายที่พกติดตัวมาฉายกราดเข้าไปในห้อง
ทั้งสองเห็นคนนอนอยู่บนพื้น คนที่นอนหงายเปลือยอกอยู่นั้นคือคุณนายอายากะ ส่วนคนที่ทับอยู่ไปบนร่างคุณนายคือคาซูมะ
“คุณหาสวิตช์เปิดไฟที เดินให้ดี ๆ อย่าไปทำให้อะไรบนพื้นที่เกิดเหตุเคลื่อนที่ไปได้เลยนะ”
นายตำรวจทั้งสองช่วยกันประคองตัวคาซูมะให้ลุกขึ้นแต่ก็ปรากฏว่าสิ้นใจตายไปเสียแล้ว นายตำรวจมองไปที่โต๊ะก็เห็นแก้วน้ำบนที่ยังมีน้ำเหลืออยู่ และผงขาว ๆ ซึ่งคงจะเป็นผงไซยาไนต์หกเกลื่อน
ทั้งสองวางร่างคาซูมะลงข้าง ๆ แล้วมองไปที่คุณนายอายากะเห็นมีเลือดไหลออกมาจากปากเช่นกัน แต่พอเอื้อมมือไปประคองคุณนายก็ลืมตาขึ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
คุณนายไม่ตอบ แต่ระหว่างที่ลืมตามองเหม่ออย่างไม่มีจุดหมายนั้นเอง อยู่ ๆ ก็ดูเหมือนจะได้สติขึ้นมาในทันใด เพราะสายตาฉายแววเจ็บปวดรวดร้าวพยายามเคลื่อนไหวศีรษะ นายตำรวจทั้งสองค่อย ๆ พยุงให้คุณนายลุกขึ้นนั่งและสังเกตเห็นเลือดยังไหลออกจากปากไม่หยุดทำให้ดูเหมือนว่าท่าทางจะไม่รอด แต่ก็พยายามช่วยเหลือปฐมพยาบาลโดยให้บ้วนปาก จึงรู้ว่าที่แท้เป็นเลือดที่เกิดจากการเผอิญพลาดไปกัดลิ้นตัวเอง ไม่ใช่เนื่องมาจากดื่มยาพิษหรือบาดเจ็บใหญ่โตอะไร
ไม่นานคุณนายอายากะก็ฟื้นคืนสติเต็มที่ จับเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ให้เข้าที่เรียบร้อย และพอหันไปเห็นศพคาซูมะที่ถูกเลื่อนไปนอนอยู่ข้าง ๆ เธอก็กรีดร้องเสียงแหลมด้วยความสิ้นหวัง
“เกิดอะไรขึ้นครับ นึกให้ดี ๆ แล้วตอบผม”
สารวัตรถามเสียงแข็ง จ้องมองคุณนายอย่างคาดคั้นด้วยสายตาคมวาวระหว่างคอยคำตอบ คุณนายจ้องตอบด้วยสายตาคมวาวไม่แพ้กันอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า
“คุณเข้ามาเมื่อไร”
“เมื่อกี้นี้เองครับ เราได้ยินเสียงผิดปกติภายในห้องก็เลยเอากระไดพาดปีนขึ้นมาทุบกระจกหน้าต่างแตก แล้วถอดกลอนปีนเข้ามา เกิดอะไรขึ้นครับ”
คุณนายอายากะหันไปพยุงร่างไร้วิญญาณของคาซูมะขึ้นมาวางบนตักแต่ร่างนั้นปวกเปียกไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เธอเงยหน้าขึ้นมองนายตำรวจทั้งสองคล้ายขอความช่วยเหลือ สารวัตรเหยี่ยวส่ายศีรษะเงียบ ๆ คุณนายหลบสายตาที่เลื่อนลอยและสิ้นหวังลงต่ำตามเดิม เลื่อนร่างไร้วิญญาณของคาซูมะจากตักลงไปวางพบพื้นตามเดิม ยกมือขึ้นจับเตียงพยุงตัวลุกขึ้นยืน เดินพลางครุ่นคิดจากเตียงไปที่โต๊ะทำงาน ไปที่เก้าอี้ เกาะอะไร ๆ เรื่อยไปตามทางจนถึงหน้าต่าง ลมเย็น ๆ ที่ผ่านเข้ามาตามรอยแตกของกระจกดูเหมือนจะช่วยให้นางสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง
รุ่งสางสว่างแล้ว คุณนายเดินกลับมานั่งที่ขอบเตียง
“ห้องเปิดไฟสว่างอยู่หรือคะ”
“เปล่าครับ เราเข้ามาเปิด”
คุณนายอายากะพยักหน้า
“สามีดิฉันตื่นอยู่จนดึก ลืมตาตื่นขึ้นมาทีไร เห็นไฟในห้องยังเปิดสว่างอยู่และเขานั่งทำอะไรสักอย่างอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ระหว่างนั้นดิฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าห้องปิดไฟมืด และใครคนหนึ่งกำลังกดบีบดิฉันอยู่ ดิฉันตกใจจึงลุกขึ้นนั่งทันที ก็ได้ยินเสียงสามีบอกว่าผมเองแล้วก็คลายมือออก เขาไม่ได้บีบคอดิฉันแรงจนทำให้รู้สึกว่าตั้งใจฆ่า แต่ก็พอที่จะทำให้ตกใจตื่นและลุกขึ้นมานั่งอย่างงง ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สามีกอดดิฉันเอาไว้แล้วบอกว่า ผมไม่ไหวแล้ว เรามาตายด้วยกันเถิดนะ”
สารวัตรเหยี่ยวพยักหน้าและนิ่งฟังต่อไป
“ดิฉันยังงงอยู่จึงถามว่าไม่ไหวอะไรหรือ แต่แทนที่จะตอบเขากลับส่งเสียงครางออกมาอย่างน่ากลัวแล้วบีบคอดิฉันอีก คราวนี้แรงกว่าเก่ามากดิฉันจึงดิ้นสุดฤทธิ์ให้พ้นจากอุ้งมือเขาจนตกลงไปจากเตียง หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ค่ะ”
สารวัตรพยักหน้าอีกแล้วถามว่า
“คุณนายพยายามนึกให้ดีนะครับว่าสามีคุณพูดอะไรอีกหรือเปล่า”
คุณนายอายาทำท่าคิดแต่แล้วก็สั่นศีรษะ
“พูดแต่ว่า...ผมไม่ไหวแล้ว เรามาตายด้วยกันเถิดนะ เท่านี้นะครับ เข้าใจแล้ว คุณคาซูมะพูดทำนองว่าตำรวจยื่นมือเข้ามาใกล้ตัวเต็มทีแล้ว คราวนี้คงจะไม่พ้นเงื้อมมือเป็นแน่ อย่างนั้นใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น”
คุณนายค้านเสียงแข็ง
“คาซูมะไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่บอกว่าผมไม่ไหวแล้วเท่านั้นค่ะ เมื่อคืนนี้หลังกลับเข้าห้องสามีดูอ่อนล้าไปทั้งกายใจ แทนที่จะพักผ่อนก็กลับหงุดหงิด นั่งไม่ติดที่ ดูหวาดระแวงอะไร ๆ ไปหมด ดิฉันรู้ดีว่าเป็นเพราะกระดาษคำขู่ที่แปะอยู่บนเสาแผ่นนั้น สามีเชื่อว่าหมอเอบิสึกะเป็นฆาตกรจึงสบายใจเมื่อหมอถูกตำรวจจับตัวไป ดังนั้นกระดาษคำขู่แผ่นนั้นจึงทำให้เขาตกใจสุดขีด เห็นได้ชัดว่าเขากลัวและหวาดกังวลมากจนดูเหมือนจะไม่อยากให้ดิฉันหลับก่อน ดิฉันก็เคลิ้มหลับไปบ้างแต่ลืมตาขึ้นมาที่ไรก็เห็นเขานั่งครุ่นคิดอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือทุกครั้ง”
สารวัตรเหยี่ยวพยักหน้า แล้วเริ่มพิจารณาดูศพของคาซูมะ บนใบหน้าและที่มีมีรอยแผลขีดข่วนที่เกิดระหว่างที่คุณนายต่อสู้เอาตัวรอด เสื้อนอนถูกกระชากจนกระดุมที่หน้าอกขาดกระเด็น
“คุณนายอันตรายมากเลย”
สารวัตรพูดขึ้นเมื่อเสร็จจากการพิจารณาศพ
“ดีที่คุณนายเป็นลมสิ้นสติเสียก่อน ขืนต่อสู้ต่อไปคงจะไม่หวังได้ฟื้นขึ้นมาอย่างนี้แน่ นี่คุณคาซูมะคงคิดว่าคุณตายแล้ว จึงได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย”
“ทำไมหรือคะ”
“ผมเสียใจครับที่ต้องบอกว่า สามีของคุณเป็นฆาตกรที่ฆ่าทุกคนในทุกคดีที่คฤหาสน์แห่งนี้ แต่เรายังจับตัวเขาไม่ได้เพราะไม่มีวัตถุพยาน”
“ไม่จริง”
คุณนายอายากะกรีดเสียงแหลม
“ดิฉันรู้ดี เมื่อคืนนี้ ตอนที่พวกเราเดินไปห้องกินข้าว ยังไม่มีกระดาษแผ่นนั้นติดอยู่ที่เสาเลย ที่จำได้เพราะว่าตัวเองมองไปที่เสาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีแน่นอนค่ะ สามีก็เข้ามาในห้องกินข้าวด้วยกัน และจากนั้นก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยจนรับประทานอาหารเสร็จ”
“ก็ฟังดูมีเหตุมีผลดีครับ”
สารวัตรพยักหน้า แล้วบอกด้วยท่าทางเขิน ๆ ว่า
“ความจริงพวกเราเป็นคนเอากระดาษแผ่นนั้นไปติดไว้เองแหละครับ วันที่ 9 สิงหาคม วันแห่งชะตากรรม ตั้งใจจะสื่อความหมายว่าเป็นวันแห่งชะตากรรมของฆาตกร ซึ่งฆาตกรเท่านั้นจึงจะเข้าใจ”
คำบอกกล่าวของสารวัตรทำเอาคุณนานอายากะตะลึงไป และชำเลืองมาทันเห็นสีหน้าสารวัตรแสดงความพอใจในกลอุบายของตน ก่อนสั่งให้นักสืบจมูกมดเปิดประตูห้อง
รถยนต์นำทีมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานรีบรุดมาถึงคฤหาสน์เมื่อราว 10.00 น. และดอกเตอร์โคเซกลับมาเมื่อ 11.00 น.กว่าเล็กน้อย
ดอกเตอร์ผลุนผลันเข้ามาทางห้องกินข้าว ขณะที่ผมนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องใหญ่ เพราะยังตั้งสติรับความล่มสลายของตระกูลอูตางาวะอันเป็นความจริงที่เหนือความคาดฝันไม่ได้
“ผมพบรถตำรวจกลางทางและก็ถูกแซงหน้าไป เลยวิ่งกวดมาคิดว่าเต็มฝีเท้าแล้วแต่ก็เพิ่งมาถึงเอาป่านนี้ ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเพราะขาดการออกกำลังกาย”
ดอกเตอร์นั่งพักพอหายหอบ สารวัตรเหยี่ยวก็เดินนำทีมตำรวจลงบันไปมาพอดี
“อ้าว ดอกเตอร์โคเซ กลับมาแล้วหรือครับ ระหว่างที่คุณไม่อยู่โศกนาฏกรรมจบบริบูรณ์แล้วนะ”
“จบ ? หมายความว่าคุณคาซูมะถูกฆ่าหรือครับ”
“ไม่ใช่ครับ อูตางาวะ คาซูมะ ฆ่าตัวตาย”
ดอกเตอร์โคเซถอดสี ด้วยความรู้สึกผิดหวัง หมดหวัง ท้อแท้และท้ายสุดคือหมดกำลังใจ
“ช้าไปจนได้ ผมมันบ้า อุตส่าห์ไม่หลับไม่นอน ไม่พัก แต่ผลสุดท้าย หมดกันชีวิตนี้”
ดอกเตอร์ระบายอารมณ์ประดังประเดออกมาเป็นชุด สารวัตรเหยี่ยวหัวเราะและบอกว่า
“ดูเหมือนดอกเตอร์จะงานยุ่งมากเลยนะครับ ไม่ได้หลับนอนไม่ได้พัก น่าเห็นใจมาก พวกเราเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนกันเลยครับ แต่ก็เอาเถอะ อะไรที่น่าจะสงบลงก็ดูเหมือนจะสงบลงแล้ว”
ดอกเตอร์ไม่ฟัง ตัวของเขาสั่นเทิ้มด้วยความโกรธที่คั่งอยู่ภายใน
“นรกแท้ ๆ ผมจะไม่ปล่อยให้ฆาตกรหลุดมือไปได้แน่ แต่...บ้าที่สุด นึกว่าจะทันการแต่กลับช้าไปได้ แต่ก็นั่นแหละจะมาโวยวายอะไรเอาป่านนี้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว คอยดูนะจะถลกหน้ากากออกมาให้เห็นกันชัด ๆ กันอีกไม่นานนี้แหละ”
“จะถลกหน้ากากใครหรือครับ”
“ก็ฆาตกรน่ะซี”
“แต่อูตางาวะ คาซูมะ ฆ่าตัวตายไปแล้วนะครับ”
สารวัตรรายงานแต่ดอกเตอร์ไม่ใส่ใจกลับถามว่า
“คุณคาซูมะตายด้วยยาพิษหรือครับ”
“ครับ ไซยาไนต์”
“มีจดหมายสั่งเสียไหม”
“ไม่มีครับ มีแต่เขียนแล้วขีดทิ้งเขียนแล้วขีดทิ้งตลอดคืน ขีดทิ้งอย่างชนิดที่แกะตัวอักษรที่เขียนไว้เดิมไม่ได้เลยสักตัว อาจจะตั้งใจเขียนจดหมายสั่งเสียก็ได้ ตอนนี้สิ่งไปให้ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานดูกันแล้วครับ”
ดอกเตอร์โคเซพยักหน้า
“ผมคิดว่าคุณอาซูมะน่าจะเตรียมพินัยกรรมหรืออะไรไว้ และคาดการเอาไว้แล้วว่าจะต้องเกิดคดีฆาตกรรมนี้ขึ้น แล้วรู้ด้วยว่าจะต้องมีการจัดเตรียมไว้แล้วว่าให้เกิดขึ้นในลักษณะของการฆ่าตัวตาย ตอนที่เกิดฆาตกรรมรายแรก ที่นายวานิถูกฆ่า คุณ คาซูมะได้เตรียมการฆ่าทำให้ดูเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย”
สารวัตรเหยี่ยวดูจะตะลึงไปกับคำพูดด้วยความมั่นใจของดอกเตอร์
“ผมว่าเราไปคุยกันที่ห้องอื่นดีกว่า ผมจะอธิบายกลยุทธ์ของปีศาจฆาตกรที่น่าเกลียดกลัวตนนี้ให้ฟัง”
ว่าแล้วดอกเตอร์โคเซก็นำสารวัตรเหยี่ยวกับทีมตำรวจสายสืบของเขาให้ตามไปทางหนึ่งโดยที่แต่ละคนดูไม่ค่อยเต็มใจนัก
[ตัวละครในเรื่องที่ตายไปแล้ว 8 คน]
วานิ โมจิซึกิ แขกรับเชิญของทามาโอะ
อูตางาวะ ทามาโอะ ลูกสาวอูตางาวะ ทามอน น้องของคาซูมะ
อากิระ อุตสึมิ กวีหลังค่อมแขกรับเชิญของทามาโอะ
ชิงูซะ หญิงขี้ริ้วลูกสาวนางยูระ นางุโมะ อาของคาซูมะ
คาโยโกะลูกสาวอูตางาวะ ทามอนเกิดจากหญิงรับใช้
อูตางาวะ ทามอน
อุตสึงิ อากิโกะนักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซูมะ อยู่กับโมคูเบ
นายคาซูมะ ทายาทตระกูลอูตางาวะ