xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 2 น้ำ ตอน สำนักดาบโยชิโอกะ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


ชีวิตวันนี้มิอาจรู้วันพรุ่ง

และโนบุนางะ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุทธจักรท่านนั้นก็ยังได้ฝากบทกวีเอาไว้ด้วยว่า

ชีวิตห้าสิบปี คือเศษเสี้ยวแห่งภาพฝันลวงตา ระหว่างเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ

เพื่อให้คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดพึงสำเหนียกเอาไว้
ยามนี้แม้สงครามจะสงบลงโคมไฟตามถนนหนทางทางในเมืองหลวงและโอซากะกลับมาสว่างไสวงดงามดังยุครุ่งเรืองแห่งตระกูลโชกุนมูโรมาจิแต่ก่อนกาล ทว่า...

แสงสีของโคมไฟจะดับวูบลงอีกเมื่อไรไม่มีใครรู้

ผู้คนที่ตกอยู่ท่ามกลางสงครามแย่งชิงอำนาจไม่หยุดหย่อนมานานปี ถึงจะรอดชีวิตมาได้แต่ความหวาดกลัวคมหอกคมดาบที่เฉียดฉิวแทบจะปลิดชีวิดไปในบัดดล ยังฝังลึกอยู่ในใจและตามหลอกตามหลอนอยู่อย่างไม่อาจสลัดให้พ้นไปได้

รัชสมัยเคโจปีที่ 10 (ค.ศ.1606)

สงครามที่เซกิงาฮาระเมื่อห้าปีก่อนได้กลายเป็นเรื่องเล่าในอดีตไปแล้ว

อิเอยาซุผู้กำชัยชนะเหนือแว่นแคว้นทั้งปวง ได้สละตำแหน่งทางทหารให้ฮิเดทาดะบุตรชายขึ้นครองแทนเป็นโชกุนรุ่นที่สองแห่งตระกูลโทกุงาวะเมื่อเดือนมีนาคม ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ อีกไม่นานโชกุนคนใหม่ก็จะออกเดินทางไปเข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระจักรพรรดิที่นครหลวง แต่คนวงในต่างรู้กันดีว่าการเดินทางครั้งนี้ยังมีจุดมุ่งหมายอื่นที่นอกเหนือจากนั้น

สันติภาพหลังสงครามเป็นเพียงภาพที่ฉายฉาบอยู่เพียงบาง ๆ ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าจะคงอยู่ยั่งยืน ในเมื่อเห็นกันอยู่ชัดเจนเช่นนั้นว่าขณะที่ฮิเดทาดะโชกุนรุ่นที่สองนั่งแท่นเด่นเป็นสง่าอยู่ในปราสาทเอโดะนั้น โทโยโทมิ ฮิเดโยริทายาทวัยหนุ่มปราดเปรียวของฮิเดโยชิจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันตกเตรียมตัวพร้อมรบอยู่ที่ปราสาทโอซากา ขุนศึกผู้ครองแคว้นในภูมิภาคนั้นหลายคนยังคงสวามิภักดิ์ และฐานะทางการเงินก็ยังดีพอที่จะทำนุบำรุงปราสาทและจ้างซามูไรไร้นายได้เป็นจำนวนมาก เพื่อสืบสานความปรารถนาของบิดาในอันที่จะได้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น

“ข้าว่ายังไง ๆ ก็ต้องรบกันแน่”

“ปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้นแหละเอ็ง”

“ที่เห็นสว่างอยู่นี่เป็นแค่ความสว่างชั่ววูบระหว่างศึก แสงสว่างของเมืองนี้ คงไม่ต้องรอห้าสิบปีอย่างในบทกวีหรอกเอ็งเอ๊ย พรุ่งนี้ชีวิตเราอาจมืดสนิทลงได้”

“แล้วเราจะช้าให้เสียเวลาอยู่ทำไม ดื่มซิเพื่อน ดื่ม”

“ร้องรำทำเพลงให้สำราญ...”

ความหวาดหวั่นในความไม่แน่นอนของสันติภาพสะท้อนอยู่ในคำสนทนาของนักดาบหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่เดินเลี้ยวตามกันเข้าไปในตรอกชิโจของวัดนิชิโนะโทอิน

เมื่อแสงไฟตามถนนหนทางเริ่มสว่างขึ้นก็ได้เวลาเลิกเรียน และบรรดานักดาบหนุ่มที่เล่าเรียนวิทยายุทธและฝึกฝนวิชาดาบกันคร่ำเคร่งกันมาตลอดวันก็กรูออกมาจากประตูไม้บานใหญ่ขึงขังดูสง่างาม ข้อความบนป้ายที่ติดอยู่บนเสาข้างประตูเก่าแก่เป็นที่น่าเกรงขาม แม้ตัวอักษรจะเลือนจางแทบไม่เห็นถ้าไม่เข้าไปจ้องมองใกล้ ๆ

สำนักดาบเฮอันโยชิโอกะ
ค่ายฝึกยุทธการของกองทัพโชกุนมูโรมาจิ

แต่ละคนพกดาบสั้นดาบยาวบางคนมีดาบไม้แถมมาด้วยและบางคนถือหอกคู่มือ เดินเลียบกำแพงขาวยาวเหยียดด้วยแยกย้ายกันกลับไป ด้วยท่าทีอาจหาญราวกับจะประกาศตัวว่า หากเกิดศึกสงครามขึ้นเมื่อใดข้านี่แหละจะได้เห็นเลือดของศัตรูเป็นคนแรก

นักดาบแปดเก้าคนที่ล้วนฮึกเหิมปราดเปรียวราวลมสลาตันกรากเข้ารุมล้อมจ่าฝูงที่ทุกคนเรียกว่า “อาจารย์น้อย”

“คืนนี้ไปไหนกันดี”

“อยากไปบ้านเมื่อคืนอีก ยังติดใจอยู่เลย ว่าไงพวกเรา”

“ไม่เอาดีกว่า สาว ๆ บ้านนั้นเอาใจอาจารย์น้อยคนเดียว ไม่ชายตามองพวกเราเลยสักกะนิด”

“ใช่ ใช่ วันนี้เราไปบ้านที่ไม่รู้ว่าอาจารย์น้อยเป็นใคร และไม่รู้จักเราสักคนดีกว่า”
เถียงกันไปเถียงกันมาเอะอะเอ็ดตะโรตกลงกันไม่ได้จนมาถึงย่านเที่ยวกลางคืนจุดไฟสว่างริมแม่น้ำคาโมะ บริเวณที่ถูกทิ้งรกร้างมานานแถบนี้ราคาขึ้นสูงทันทีที่สงครามสงบลง มีคนเข้ามาสร้างบ้านอย่างลวก ๆ เอาเร็วเข้าว่า ทำเป็นสถานเริงรมย์ค้าประเวณีติดม่านบังตาหน้าร้านสีแดงสีเหลืองเรียงรายเต็มพื้นที่ ผู้หญิงที่ถูกกว้านซื้อมาจากทัมบะผัดหน้าขาวอย่างไม่เป็นประสาผิวปากเรียกลูกค้า บ้างก็ดีดชามิเซ็งเครื่องสายที่คนสมัยนั้นเพิ่งจะรู้จักกันพร้อมกับร้องเพลงที่มีความหมายคาบลูกคาบดอก ชายตาให้ชายแล้วหัวเราะกันครึกครื้น

“โทจิ ซื้อหมวกฟางให้หน่อยซิ”

พอใกล้ถึงย่านเริงรมย์ อาจารย์น้อยหรือโยชิโอกะ เซอิจูโรชายหนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดกิโมโนสีน้ำตาลเข้มสวมเสื้อคลุมปักตราประจำตระกูลหันไปบอกลูกศิษย์คนหนึ่ง

“หมวก...หมวกฟางปีกกว้างน่ะรึอาจารย์”

“ก็ใช่นะซี”

“ทำไมถึงต้องใส่หมวกด้วยล่ะ”

กิอง โทจิถามด้วยความฉงน

“คิดว่าจะใช้ปิดหน้าสักหน่อย เพราะไม่อยากให้ใครเห็นจะหันมามองว่า ลูกชายคนโตของสำนักดาบโยชิโอกะมาทำอะไรอยู่แถวนี้”


2
กิออง โทจิหัวเราะลั่นแล้วหยอกว่า
“อาจารย์น้อยเรียกหาหมวกอย่างนี้คงกลัวว่าเดินหัวเปล่า ๆ ไม่ใส่หมวกจะมีเสน่ห์ไม่พอล่อใจสาวละมัง ข้าพอจะรู้ใจพวกสาว ๆ อยู่เหมือนกันว่า พอเห็นหนุ่ม ๆ ใส่หมวกฟางพรางตามาละก็ต้องสงสัยไว้ก่อนเลยว่าคงจะเป็นคุณหนูบ้านคนรวย”

พลางหันไปพยักหน้าสั่งลูกศิษย์ระดับรองลงไปให้ไปซื้อหมวกฟางมา ซึ่งนักดาบท้ายแถวรีบก็วิ่งหลบพวกคนที่เริ่มเมาได้ที่กันแล้วกับกลุ่มคนที่ตะคุ่มอยู่ในเงาโคมไฟตรงไปที่ร้านขายหมวกฟางริมทาง

พอได้หมวกฟางมาเซอิจูโรก็รีบใส่ทันทีแล้วดึงปีกหมวกลงมาหลุบหน้า

“ต้องอย่างนี้ ใคร ๆ จะได้จำหน้าเราไม่ได้”

ว่าแล้วก็ออกเดินก้าวยาว ๆ นำหน้าด้วยความมั่นใจ กิออง โทจิยังไม่เลิก ส่งเสียงหยอกไล่หลังไปอีกว่า

“แหม ยิ่งดูยิ่งเท่กันไปใหญ่ ไม่รู้ว่าอาจารย์น้อยจะหว่านเสน่ห์ไปถึงไหนนะพวกเรา”

พวกลูกศิษย์เฮรับกันเกรียวกราว

“เฮ้ย...ดูนั่นซิ สาว ๆ เลิกบังตามองมาทุกบ้านเลย”

ลูกศิษย์หนุ่มรุ่นคะนองไม่ได้เยินยออาจารย์น้อยของพวกตนเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เซอิจูโรในวัยต้นสามสิบรูปร่างสูงสง่าแข็งแรงสมชายชาตินักรบ หน้าตาคมสันเปล่งประกายราศีลูกชาติลูกตระกูล

พอเดินผ่านหน้าบ้านใด สาวประจำบ้านก็จะเลิกผ้าบังตาสีเหลืองบ้างสีแดงบ้าง โผล่หน้าที่พอกแป้งไว้จนขาวผ่องออกมาร้องเรียกร้องทักกันเสียงแจ๋ว จ๊อกแจ๊กราวกับกำลังเดินผ่านกรงนก

“จะรีบเดินไปไหนจ๊ะพ่อหนุ่มรูปหล่อ”

“อู๊ย มาดูกันเร้วใครไม่รู้ใส่หมวกฟางเท่จังเลยเธอ”

“ไม่แวะหน่อยหรือเจ้าคะ”

“เปิดหมวกให้ดูหน้าหน่อยซีจ๊ะคุณพี่”

ยิ่งได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดกราดกันตลอดทางเช่นนั้น เซอิจูโรก็ยิ่งได้ใจเดินยืดอกให้ผึ่งผายวางท่าหยิ่งผยองราวกับคุ้นเคยกับชีวิตเริงรมย์ของคนกลางคืนแถบนี้เสียเต็มประดา ทั้ง ๆ ที่กิออง โทจิศิษย์คนโปรดเพิ่งพามาเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง ปกติเซอิจูโรเป็นคนอวดตัวอยู่แล้ว การมีพ่อเป็นปรมาจารย์สำนักดาบโยชิโอกะ และได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมราวกับคุณชายมาแต่เล็กแต่น้อย เงินทองมีใช้มากมายไม่เคยขาดมือนั้น แม้จะทำให้มั่นใจในฐานะความเป็นอยู่ของตนแต่ก็กลับทำให้เขาอ่อนโลกไม่ทันคน และขณะนี้จิตใจของเซอิจูโรกำลังเคลิบเคลิ้ม หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำเยินยอไม่ขาดปากของลูกศิษย์และผู้หญิงเริงรมย์ ซึ่งไม่ผิดอะไรกับยาพิษอันหอมหวาน

พอเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ผู้หญิงประจำบ้านก็ร้องทักเสียงแหลม

“ตาย...ตาย นั่นอาจารย์น้อยแห่งตรอกชิโจมิใช่รึ อย่า...อย่า ไม่ต้องมาใส่หมวกปิดหน้าปิดตาเสียให้ยาก แค่เห็นก็รู้แล้วว่าท่านคือใคร”

เซอิจูโรซ่อนความพอใจเอาไว้ในหน้า แกล้งทำตกใจหันไปเชิดหน้าถามลูกศิษย์

“โทจิ ทำไมนางถึงได้รู้ว่าเราเป็นทายาทสำนักโยชิโอกะ”

ว่าพลางเร่เข้าไปใกล้หน้าต่างลูกกรง

“เอ๊ะ?”

กิออง โทจิหันไปมองหน้าขาว ๆ หลังซี่ลูกกรงหน้าต่างแล้วมองหน้าเซอิจูโรเทียบกันไปมา

“ทำไมถึงรู้”

“นั่นน่ะซีทำไมถึงรู้”

พวกลูกศิษย์แกล้งขานรับกันอย่างสนุก

กิออง โทจิชักหงุดหงิดที่เสียเวลาเที่ยวจึงโบกมือรีบตัดบทว่า

“โธ่เอ๋ย เราก็นึกว่าเป็นมือใหม่ ที่ไหนได้อาจารย์น้อยของเราคุ้นเคยกับแถวนี้เสียทุกซอกทุกมุม เป็นขวัญใจของแม่นางทุกบ้านทุกเรือน แม่คนนี้ก็ใช่”

“เจ้าก็พูดไปเรื่อย เราเคยมาบ้านนี้เมื่อไหร่กัน”

กิออง โทจิทำหน้าจริงจังซักว่า

“ไม่เคยมาแล้วทำไมนางถึงรู้ว่าเป็นอาจารย์น้อยแห่งซอยชิโจทั้ง ๆ ที่ใส่หมวกฟางหลุบหน้าอย่างนี้ จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง จริงไหมพวกเรา”

“น่าสงสัย น่าสงสัยอาจารย์น้อย”

พวกลูกศิษย์ร้องรับพร้อมกันเป็นลูกคู่

“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น”

หญิงประจำร้านแนบหน้ามาชิดลูกกรงหน้าต่างแล้วบอกว่า

“นี่แน่ะพ่อหนุ่ม เรื่องแค่นี้ถ้าไม่รู้ก็คงจะหากินไม่ได้”

“แหมดูมั่นใจจริงนะนาง ไหนบอกมาซิว่ารู้ได้ยังไง”

“ใคร ๆ ก็รู้ว่าคนที่สำนักดาบชิโจชอบใส่เสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่กันทั้งนั้น และสีน้ำตาลแก่โยชิโอกะก็เป็นสียอดนิยมของผู้ชายแถวนี้เสียด้วย”

“คนใส่กิโมโนกับเมื่อคลุมสีโยชิโอกะไม่ได้มีแต่อาจารย์น้อยคนเดียว ใคร ๆ ก็ใส่สีนี้กันได้ทั้งนั้น”

“แต่ใครจะใส่เสื้อคลุมปักตราตระกูลโยชิโอกะได้ล่ะ”

เซอิจูโรสะดุ้งก้มลงมองตราตระกูลที่เสื้อคลุม ทำให้นางประจำร้านได้จังหวะยื่นมือขาว ๆ ผ่านซี่ลูกกรงหน้าต่างออกมาจับชายเสื้ออาจารย์น้อยเอาไว้แน่น

3
“เสร็จกัน มัวแต่ปิดหน้าปิดตา แต่กลับเผยตราประจำตระกูล ทำยังกับอยากให้แม่นางจับได้ แย่มาก”

กิออง โทจิมองเซอิจูโรแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“อย่างนี้แล้ว เห็นจะต้องเข้าบ้านนี้อย่างไม่มีทางเลี่ยงได้เสียแล้ว”

“ตามใจเจ้า แต่บอกให้นางปล่อยแขนเสื้อเราทีเถิด”

เซอิจูโรทำหน้ายุ่งยาก

“ได้ยินใช่ไหม ปล่อยแขนเสื้ออาจารย์น้อยได้แล้ว จะได้เข้าบ้านกันเสียที”

“จริงหรือ”

นางถามอย่างลิงโลดแล้วรีบปล่อยแขนเสื้อเซอิจูโร

และแล้วนักดาบทั้งกลุ่มแหวกบังตาลอดตามกันเข้าไป
บ้านหลังนี้สร้างแบบลวก ๆ ให้ใช้การได้เร็ว ๆ เช่นเดียวกับแห่งอื่น การตกแต่งภายห้องไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรือภาพเขียนก็ดูหยาบกระด้างไร้ความพิถีพิถัน แต่ทุกคนยกเว้นเซอิจูโรกับกิออง โทจิดูไม่เอาใจใส่กับความไร้รสนิยมรอบข้าง พอนั่งลงได้ก็ว่าท่าใหญ่โตร้องสั่ง

“เอาเหล้าสาเกมา เหล้าสาเก”

และพอเหล้าสาเกมาก็เรียกหา

“กับแกล้ม เอากับแกล้มมาเร็ว”

และพอกับแกล้มมา อูเอดะ เรียวเฮนักดาบมือดีคู่ซ้อมของกิออง โทจิก็ตะเบ็งเสียงเรียกหาผู้หญิง

“เอาผู้หญิงมา เอามาเร็ว ๆ”

ทุกคนหัวเราะกันเกรียวกราว

“เอาผู้หญิงมา...ฮะ ฮะ ฮะ... ลุงอูเอดะจะรับประทาน เอามาเร็ว ๆ”

แล้วก็ส่งเสียงล้อกันครื้นเครง เอาผู้หญิงมา...เอาผู้หญิงมา

“อย่ามาเรียกข้าว่าลุงได้ไหม”

เรียวเฮจ้องตาถมึงทึงผ่านจอกสาเกไปที่หน้าพวกหนุ่ม ๆ

“ข้าอยู่ที่สำนักมานานกับพวกเจ้าก็จริงแต่ข้าก็ยังไม่ได้แก่เฒ่า ดูที่ไรผมสิ ยังดำสนิททุกเส้น”

“คงย้อมละซี”

“ใครพูด ออกมาแสดงตัวเดี๋ยวนี้ จะลงโทษด้วยเหล้าสาเกให้เข็ด”

“ขี้เกียจไป โยนมาที”

จากนั้นก็มีการโยนจอกสาเกกันไปมาเป็นที่เฮฮา

“ใครก็ได้ลุกขึ้นเต้นให้ดูหน่อย” กิออง โทจิร้องขึ้น

เซอิจูโรชักคึกขึ้นมา

“อูเอดะ ไหนว่ายังหนุ่มใช่ไหม เต้นเลย ใคร ๆ จะได้รู้ว่าหนุ่มจริง”

“ได้ซิ ข้าพร้อมเสมอ ยิ่งบอกว่าหนุ่ม ก็ยิ่งต้องเต้น”

ว่าแล้วก็เดินไปมุมห้อง เอาผ้ากันเปื้อนสีแดงผูกหน้าผากปล่อยชายไปข้างหลัง เสียบดอกบ๊วยเข้าไป ฉวยไม้กวาดมาถือเอาไว้แล้วบอกว่า

“เชิญชมการร่ายรำของสาวฮิดะ เอ้า ท่านโทจิ ขอเพลงประกอบด้วย”

“ได้ เอ้าทุกคน เรามาร้องด้วยกัน”

ไม่ต้องให้ชวนซ้ำ แต่ละคนฉวยตะเกียบเคาะกับชาม ตะเกียบคีบถ่านเคาะกับเตาผิงเป็นจังหวะประกอบลำนำเพลง

รั้วไม้ไผ่ รั้วไม้ไผ่ และรั้วไม้ไผ่
เอ๊ะอะไร ไหนอะไร แวบข้ามรั้วไปไว ๆ
ชายแขนเสื้อกิโมโน
แวบข้ามไปไว ๆ เรี่ยกับปุยหิมะ

พอจบท่อนแรกทุกคนก็ตบมือกันเซ็งแซ่ แล้วบอกให้พวกผู้หญิงร้องต่อพลางเล่นเครื่องดนตรี

หญิงที่เห็นเมื่อวาน
นางไม่มาวันนี้
หญิงที่มาวันนี้
พรุ่งนี้นางจะไม่มา
ข้าไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง
จึงใคร่รักนางเสียในวันนี้

ที่มุมห้องศิษย์สำนักดาบคนหนึ่งยื่นสาเกกระปุกใหญ่ให้เพื่อน

“ดื่มรวดเดียวให้หมดกระปุกเลยซิวะ”

“ถ้าจะไม่ไหว ขอบใจนะ”

“ถ้าจะไม่ไหว? ซามูไรเขาพูดกันอย่างนี้รึ”

“ว่าไงนะ? ก็เอาซี ถ้าข้าดื่มเอ็งก็ต้องดื่มด้วย”

“ได้เลยเพื่อน”

และแล้วการแข่งดวดเหล้าสาเกก็เริ่มขึ้น ต่างคนต่างกรอกเหล้าสาเกกระปุกใหญ่อั๊ก ๆ เข้าคอรวดเดียวหมดกระปุก ไม่สนใจว่าเหล้าจะล้นปากลงมาเรี่ยราด ทนดวดเข้าไปจนเกลี้ยงไม่รู้ว่ากี่กระปุก ไม่นานคนหนึ่งก็ถึงกับกระอักต้องหยุดแล้วกรอกตามองเพื่อน คนที่ยังคอแข็งอยู่ยังดวดต่อไป คนหนึ่งขาดสติเพ้อเสียงดังลั่นบ้าน

“ใครช่วยบอกข้าทีซิว่า นอกจากอาจารย์โยชิโอกะของเราแล้ว จะมีใครสักคนหนึ่งไหมในโลกนี้ที่รู้ศาสตร์แห่งดาบสำนักเคียวฮาจิ ถ้ามีข้าอยากขอพบด้วยเป็นคนแรก...ฮะอึ๊ก เอิ๊ก อุ อุ อุ”


กำลังโหลดความคิดเห็น