นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ชีวิตวันนี้มิอาจรู้วันพรุ่ง
และโนบุนางะ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุทธจักรท่านนั้นก็ยังได้ฝากบทกวีเอาไว้ด้วยว่า
ชีวิตห้าสิบปี คือเศษเสี้ยวแห่งภาพฝันลวงตา ระหว่างเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ
เพื่อให้คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดพึงสำเหนียกเอาไว้
ยามนี้แม้สงครามจะสงบลงโคมไฟตามถนนหนทางทางในเมืองหลวงและโอซากะกลับมาสว่างไสวงดงามดังยุครุ่งเรืองแห่งตระกูลโชกุนมูโรมาจิแต่ก่อนกาล ทว่า...
แสงสีของโคมไฟจะดับวูบลงอีกเมื่อไรไม่มีใครรู้
ผู้คนที่ตกอยู่ท่ามกลางสงครามแย่งชิงอำนาจไม่หยุดหย่อนมานานปี ถึงจะรอดชีวิตมาได้แต่ความหวาดกลัวคมหอกคมดาบที่เฉียดฉิวแทบจะปลิดชีวิดไปในบัดดล ยังฝังลึกอยู่ในใจและตามหลอกตามหลอนอยู่อย่างไม่อาจสลัดให้พ้นไปได้
รัชสมัยเคโจปีที่ 10 (ค.ศ.1606)
สงครามที่เซกิงาฮาระเมื่อห้าปีก่อนได้กลายเป็นเรื่องเล่าในอดีตไปแล้ว
อิเอยาซุผู้กำชัยชนะเหนือแว่นแคว้นทั้งปวง ได้สละตำแหน่งทางทหารให้ฮิเดทาดะบุตรชายขึ้นครองแทนเป็นโชกุนรุ่นที่สองแห่งตระกูลโทกุงาวะเมื่อเดือนมีนาคม ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ อีกไม่นานโชกุนคนใหม่ก็จะออกเดินทางไปเข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระจักรพรรดิที่นครหลวง แต่คนวงในต่างรู้กันดีว่าการเดินทางครั้งนี้ยังมีจุดมุ่งหมายอื่นที่นอกเหนือจากนั้น
สันติภาพหลังสงครามเป็นเพียงภาพที่ฉายฉาบอยู่เพียงบาง ๆ ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าจะคงอยู่ยั่งยืน ในเมื่อเห็นกันอยู่ชัดเจนเช่นนั้นว่าขณะที่ฮิเดทาดะโชกุนรุ่นที่สองนั่งแท่นเด่นเป็นสง่าอยู่ในปราสาทเอโดะนั้น โทโยโทมิ ฮิเดโยริทายาทวัยหนุ่มปราดเปรียวของฮิเดโยชิจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันตกเตรียมตัวพร้อมรบอยู่ที่ปราสาทโอซากา ขุนศึกผู้ครองแคว้นในภูมิภาคนั้นหลายคนยังคงสวามิภักดิ์ และฐานะทางการเงินก็ยังดีพอที่จะทำนุบำรุงปราสาทและจ้างซามูไรไร้นายได้เป็นจำนวนมาก เพื่อสืบสานความปรารถนาของบิดาในอันที่จะได้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น
“ข้าว่ายังไง ๆ ก็ต้องรบกันแน่”
“ปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้นแหละเอ็ง”
“ที่เห็นสว่างอยู่นี่เป็นแค่ความสว่างชั่ววูบระหว่างศึก แสงสว่างของเมืองนี้ คงไม่ต้องรอห้าสิบปีอย่างในบทกวีหรอกเอ็งเอ๊ย พรุ่งนี้ชีวิตเราอาจมืดสนิทลงได้”
“แล้วเราจะช้าให้เสียเวลาอยู่ทำไม ดื่มซิเพื่อน ดื่ม”
“ร้องรำทำเพลงให้สำราญ...”
ความหวาดหวั่นในความไม่แน่นอนของสันติภาพสะท้อนอยู่ในคำสนทนาของนักดาบหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่เดินเลี้ยวตามกันเข้าไปในตรอกชิโจของวัดนิชิโนะโทอิน
เมื่อแสงไฟตามถนนหนทางเริ่มสว่างขึ้นก็ได้เวลาเลิกเรียน และบรรดานักดาบหนุ่มที่เล่าเรียนวิทยายุทธและฝึกฝนวิชาดาบกันคร่ำเคร่งกันมาตลอดวันก็กรูออกมาจากประตูไม้บานใหญ่ขึงขังดูสง่างาม ข้อความบนป้ายที่ติดอยู่บนเสาข้างประตูเก่าแก่เป็นที่น่าเกรงขาม แม้ตัวอักษรจะเลือนจางแทบไม่เห็นถ้าไม่เข้าไปจ้องมองใกล้ ๆ
สำนักดาบเฮอันโยชิโอกะ
ค่ายฝึกยุทธการของกองทัพโชกุนมูโรมาจิ
แต่ละคนพกดาบสั้นดาบยาวบางคนมีดาบไม้แถมมาด้วยและบางคนถือหอกคู่มือ เดินเลียบกำแพงขาวยาวเหยียดด้วยแยกย้ายกันกลับไป ด้วยท่าทีอาจหาญราวกับจะประกาศตัวว่า หากเกิดศึกสงครามขึ้นเมื่อใดข้านี่แหละจะได้เห็นเลือดของศัตรูเป็นคนแรก
นักดาบแปดเก้าคนที่ล้วนฮึกเหิมปราดเปรียวราวลมสลาตันกรากเข้ารุมล้อมจ่าฝูงที่ทุกคนเรียกว่า “อาจารย์น้อย”
“คืนนี้ไปไหนกันดี”
“อยากไปบ้านเมื่อคืนอีก ยังติดใจอยู่เลย ว่าไงพวกเรา”
“ไม่เอาดีกว่า สาว ๆ บ้านนั้นเอาใจอาจารย์น้อยคนเดียว ไม่ชายตามองพวกเราเลยสักกะนิด”
“ใช่ ใช่ วันนี้เราไปบ้านที่ไม่รู้ว่าอาจารย์น้อยเป็นใคร และไม่รู้จักเราสักคนดีกว่า”
เถียงกันไปเถียงกันมาเอะอะเอ็ดตะโรตกลงกันไม่ได้จนมาถึงย่านเที่ยวกลางคืนจุดไฟสว่างริมแม่น้ำคาโมะ บริเวณที่ถูกทิ้งรกร้างมานานแถบนี้ราคาขึ้นสูงทันทีที่สงครามสงบลง มีคนเข้ามาสร้างบ้านอย่างลวก ๆ เอาเร็วเข้าว่า ทำเป็นสถานเริงรมย์ค้าประเวณีติดม่านบังตาหน้าร้านสีแดงสีเหลืองเรียงรายเต็มพื้นที่ ผู้หญิงที่ถูกกว้านซื้อมาจากทัมบะผัดหน้าขาวอย่างไม่เป็นประสาผิวปากเรียกลูกค้า บ้างก็ดีดชามิเซ็งเครื่องสายที่คนสมัยนั้นเพิ่งจะรู้จักกันพร้อมกับร้องเพลงที่มีความหมายคาบลูกคาบดอก ชายตาให้ชายแล้วหัวเราะกันครึกครื้น
“โทจิ ซื้อหมวกฟางให้หน่อยซิ”
พอใกล้ถึงย่านเริงรมย์ อาจารย์น้อยหรือโยชิโอกะ เซอิจูโรชายหนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดกิโมโนสีน้ำตาลเข้มสวมเสื้อคลุมปักตราประจำตระกูลหันไปบอกลูกศิษย์คนหนึ่ง
“หมวก...หมวกฟางปีกกว้างน่ะรึอาจารย์”
“ก็ใช่นะซี”
“ทำไมถึงต้องใส่หมวกด้วยล่ะ”
กิอง โทจิถามด้วยความฉงน
“คิดว่าจะใช้ปิดหน้าสักหน่อย เพราะไม่อยากให้ใครเห็นจะหันมามองว่า ลูกชายคนโตของสำนักดาบโยชิโอกะมาทำอะไรอยู่แถวนี้”
2
กิออง โทจิหัวเราะลั่นแล้วหยอกว่า
“อาจารย์น้อยเรียกหาหมวกอย่างนี้คงกลัวว่าเดินหัวเปล่า ๆ ไม่ใส่หมวกจะมีเสน่ห์ไม่พอล่อใจสาวละมัง ข้าพอจะรู้ใจพวกสาว ๆ อยู่เหมือนกันว่า พอเห็นหนุ่ม ๆ ใส่หมวกฟางพรางตามาละก็ต้องสงสัยไว้ก่อนเลยว่าคงจะเป็นคุณหนูบ้านคนรวย”
พลางหันไปพยักหน้าสั่งลูกศิษย์ระดับรองลงไปให้ไปซื้อหมวกฟางมา ซึ่งนักดาบท้ายแถวรีบก็วิ่งหลบพวกคนที่เริ่มเมาได้ที่กันแล้วกับกลุ่มคนที่ตะคุ่มอยู่ในเงาโคมไฟตรงไปที่ร้านขายหมวกฟางริมทาง
พอได้หมวกฟางมาเซอิจูโรก็รีบใส่ทันทีแล้วดึงปีกหมวกลงมาหลุบหน้า
“ต้องอย่างนี้ ใคร ๆ จะได้จำหน้าเราไม่ได้”
ว่าแล้วก็ออกเดินก้าวยาว ๆ นำหน้าด้วยความมั่นใจ กิออง โทจิยังไม่เลิก ส่งเสียงหยอกไล่หลังไปอีกว่า
“แหม ยิ่งดูยิ่งเท่กันไปใหญ่ ไม่รู้ว่าอาจารย์น้อยจะหว่านเสน่ห์ไปถึงไหนนะพวกเรา”
พวกลูกศิษย์เฮรับกันเกรียวกราว
“เฮ้ย...ดูนั่นซิ สาว ๆ เลิกบังตามองมาทุกบ้านเลย”
ลูกศิษย์หนุ่มรุ่นคะนองไม่ได้เยินยออาจารย์น้อยของพวกตนเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เซอิจูโรในวัยต้นสามสิบรูปร่างสูงสง่าแข็งแรงสมชายชาตินักรบ หน้าตาคมสันเปล่งประกายราศีลูกชาติลูกตระกูล
พอเดินผ่านหน้าบ้านใด สาวประจำบ้านก็จะเลิกผ้าบังตาสีเหลืองบ้างสีแดงบ้าง โผล่หน้าที่พอกแป้งไว้จนขาวผ่องออกมาร้องเรียกร้องทักกันเสียงแจ๋ว จ๊อกแจ๊กราวกับกำลังเดินผ่านกรงนก
“จะรีบเดินไปไหนจ๊ะพ่อหนุ่มรูปหล่อ”
“อู๊ย มาดูกันเร้วใครไม่รู้ใส่หมวกฟางเท่จังเลยเธอ”
“ไม่แวะหน่อยหรือเจ้าคะ”
“เปิดหมวกให้ดูหน้าหน่อยซีจ๊ะคุณพี่”
ยิ่งได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดกราดกันตลอดทางเช่นนั้น เซอิจูโรก็ยิ่งได้ใจเดินยืดอกให้ผึ่งผายวางท่าหยิ่งผยองราวกับคุ้นเคยกับชีวิตเริงรมย์ของคนกลางคืนแถบนี้เสียเต็มประดา ทั้ง ๆ ที่กิออง โทจิศิษย์คนโปรดเพิ่งพามาเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง ปกติเซอิจูโรเป็นคนอวดตัวอยู่แล้ว การมีพ่อเป็นปรมาจารย์สำนักดาบโยชิโอกะ และได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมราวกับคุณชายมาแต่เล็กแต่น้อย เงินทองมีใช้มากมายไม่เคยขาดมือนั้น แม้จะทำให้มั่นใจในฐานะความเป็นอยู่ของตนแต่ก็กลับทำให้เขาอ่อนโลกไม่ทันคน และขณะนี้จิตใจของเซอิจูโรกำลังเคลิบเคลิ้ม หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำเยินยอไม่ขาดปากของลูกศิษย์และผู้หญิงเริงรมย์ ซึ่งไม่ผิดอะไรกับยาพิษอันหอมหวาน
พอเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ผู้หญิงประจำบ้านก็ร้องทักเสียงแหลม
“ตาย...ตาย นั่นอาจารย์น้อยแห่งตรอกชิโจมิใช่รึ อย่า...อย่า ไม่ต้องมาใส่หมวกปิดหน้าปิดตาเสียให้ยาก แค่เห็นก็รู้แล้วว่าท่านคือใคร”
เซอิจูโรซ่อนความพอใจเอาไว้ในหน้า แกล้งทำตกใจหันไปเชิดหน้าถามลูกศิษย์
“โทจิ ทำไมนางถึงได้รู้ว่าเราเป็นทายาทสำนักโยชิโอกะ”
ว่าพลางเร่เข้าไปใกล้หน้าต่างลูกกรง
“เอ๊ะ?”
กิออง โทจิหันไปมองหน้าขาว ๆ หลังซี่ลูกกรงหน้าต่างแล้วมองหน้าเซอิจูโรเทียบกันไปมา
“ทำไมถึงรู้”
“นั่นน่ะซีทำไมถึงรู้”
พวกลูกศิษย์แกล้งขานรับกันอย่างสนุก
กิออง โทจิชักหงุดหงิดที่เสียเวลาเที่ยวจึงโบกมือรีบตัดบทว่า
“โธ่เอ๋ย เราก็นึกว่าเป็นมือใหม่ ที่ไหนได้อาจารย์น้อยของเราคุ้นเคยกับแถวนี้เสียทุกซอกทุกมุม เป็นขวัญใจของแม่นางทุกบ้านทุกเรือน แม่คนนี้ก็ใช่”
“เจ้าก็พูดไปเรื่อย เราเคยมาบ้านนี้เมื่อไหร่กัน”
กิออง โทจิทำหน้าจริงจังซักว่า
“ไม่เคยมาแล้วทำไมนางถึงรู้ว่าเป็นอาจารย์น้อยแห่งซอยชิโจทั้ง ๆ ที่ใส่หมวกฟางหลุบหน้าอย่างนี้ จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง จริงไหมพวกเรา”
“น่าสงสัย น่าสงสัยอาจารย์น้อย”
พวกลูกศิษย์ร้องรับพร้อมกันเป็นลูกคู่
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น”
หญิงประจำร้านแนบหน้ามาชิดลูกกรงหน้าต่างแล้วบอกว่า
“นี่แน่ะพ่อหนุ่ม เรื่องแค่นี้ถ้าไม่รู้ก็คงจะหากินไม่ได้”
“แหมดูมั่นใจจริงนะนาง ไหนบอกมาซิว่ารู้ได้ยังไง”
“ใคร ๆ ก็รู้ว่าคนที่สำนักดาบชิโจชอบใส่เสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่กันทั้งนั้น และสีน้ำตาลแก่โยชิโอกะก็เป็นสียอดนิยมของผู้ชายแถวนี้เสียด้วย”
“คนใส่กิโมโนกับเมื่อคลุมสีโยชิโอกะไม่ได้มีแต่อาจารย์น้อยคนเดียว ใคร ๆ ก็ใส่สีนี้กันได้ทั้งนั้น”
“แต่ใครจะใส่เสื้อคลุมปักตราตระกูลโยชิโอกะได้ล่ะ”
เซอิจูโรสะดุ้งก้มลงมองตราตระกูลที่เสื้อคลุม ทำให้นางประจำร้านได้จังหวะยื่นมือขาว ๆ ผ่านซี่ลูกกรงหน้าต่างออกมาจับชายเสื้ออาจารย์น้อยเอาไว้แน่น
3
“เสร็จกัน มัวแต่ปิดหน้าปิดตา แต่กลับเผยตราประจำตระกูล ทำยังกับอยากให้แม่นางจับได้ แย่มาก”
กิออง โทจิมองเซอิจูโรแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“อย่างนี้แล้ว เห็นจะต้องเข้าบ้านนี้อย่างไม่มีทางเลี่ยงได้เสียแล้ว”
“ตามใจเจ้า แต่บอกให้นางปล่อยแขนเสื้อเราทีเถิด”
เซอิจูโรทำหน้ายุ่งยาก
“ได้ยินใช่ไหม ปล่อยแขนเสื้ออาจารย์น้อยได้แล้ว จะได้เข้าบ้านกันเสียที”
“จริงหรือ”
นางถามอย่างลิงโลดแล้วรีบปล่อยแขนเสื้อเซอิจูโร
และแล้วนักดาบทั้งกลุ่มแหวกบังตาลอดตามกันเข้าไป
บ้านหลังนี้สร้างแบบลวก ๆ ให้ใช้การได้เร็ว ๆ เช่นเดียวกับแห่งอื่น การตกแต่งภายห้องไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรือภาพเขียนก็ดูหยาบกระด้างไร้ความพิถีพิถัน แต่ทุกคนยกเว้นเซอิจูโรกับกิออง โทจิดูไม่เอาใจใส่กับความไร้รสนิยมรอบข้าง พอนั่งลงได้ก็ว่าท่าใหญ่โตร้องสั่ง
“เอาเหล้าสาเกมา เหล้าสาเก”
และพอเหล้าสาเกมาก็เรียกหา
“กับแกล้ม เอากับแกล้มมาเร็ว”
และพอกับแกล้มมา อูเอดะ เรียวเฮนักดาบมือดีคู่ซ้อมของกิออง โทจิก็ตะเบ็งเสียงเรียกหาผู้หญิง
“เอาผู้หญิงมา เอามาเร็ว ๆ”
ทุกคนหัวเราะกันเกรียวกราว
“เอาผู้หญิงมา...ฮะ ฮะ ฮะ... ลุงอูเอดะจะรับประทาน เอามาเร็ว ๆ”
แล้วก็ส่งเสียงล้อกันครื้นเครง เอาผู้หญิงมา...เอาผู้หญิงมา
“อย่ามาเรียกข้าว่าลุงได้ไหม”
เรียวเฮจ้องตาถมึงทึงผ่านจอกสาเกไปที่หน้าพวกหนุ่ม ๆ
“ข้าอยู่ที่สำนักมานานกับพวกเจ้าก็จริงแต่ข้าก็ยังไม่ได้แก่เฒ่า ดูที่ไรผมสิ ยังดำสนิททุกเส้น”
“คงย้อมละซี”
“ใครพูด ออกมาแสดงตัวเดี๋ยวนี้ จะลงโทษด้วยเหล้าสาเกให้เข็ด”
“ขี้เกียจไป โยนมาที”
จากนั้นก็มีการโยนจอกสาเกกันไปมาเป็นที่เฮฮา
“ใครก็ได้ลุกขึ้นเต้นให้ดูหน่อย” กิออง โทจิร้องขึ้น
เซอิจูโรชักคึกขึ้นมา
“อูเอดะ ไหนว่ายังหนุ่มใช่ไหม เต้นเลย ใคร ๆ จะได้รู้ว่าหนุ่มจริง”
“ได้ซิ ข้าพร้อมเสมอ ยิ่งบอกว่าหนุ่ม ก็ยิ่งต้องเต้น”
ว่าแล้วก็เดินไปมุมห้อง เอาผ้ากันเปื้อนสีแดงผูกหน้าผากปล่อยชายไปข้างหลัง เสียบดอกบ๊วยเข้าไป ฉวยไม้กวาดมาถือเอาไว้แล้วบอกว่า
“เชิญชมการร่ายรำของสาวฮิดะ เอ้า ท่านโทจิ ขอเพลงประกอบด้วย”
“ได้ เอ้าทุกคน เรามาร้องด้วยกัน”
ไม่ต้องให้ชวนซ้ำ แต่ละคนฉวยตะเกียบเคาะกับชาม ตะเกียบคีบถ่านเคาะกับเตาผิงเป็นจังหวะประกอบลำนำเพลง
รั้วไม้ไผ่ รั้วไม้ไผ่ และรั้วไม้ไผ่
เอ๊ะอะไร ไหนอะไร แวบข้ามรั้วไปไว ๆ
ชายแขนเสื้อกิโมโน
แวบข้ามไปไว ๆ เรี่ยกับปุยหิมะ
พอจบท่อนแรกทุกคนก็ตบมือกันเซ็งแซ่ แล้วบอกให้พวกผู้หญิงร้องต่อพลางเล่นเครื่องดนตรี
หญิงที่เห็นเมื่อวาน
นางไม่มาวันนี้
หญิงที่มาวันนี้
พรุ่งนี้นางจะไม่มา
ข้าไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง
จึงใคร่รักนางเสียในวันนี้
ที่มุมห้องศิษย์สำนักดาบคนหนึ่งยื่นสาเกกระปุกใหญ่ให้เพื่อน
“ดื่มรวดเดียวให้หมดกระปุกเลยซิวะ”
“ถ้าจะไม่ไหว ขอบใจนะ”
“ถ้าจะไม่ไหว? ซามูไรเขาพูดกันอย่างนี้รึ”
“ว่าไงนะ? ก็เอาซี ถ้าข้าดื่มเอ็งก็ต้องดื่มด้วย”
“ได้เลยเพื่อน”
และแล้วการแข่งดวดเหล้าสาเกก็เริ่มขึ้น ต่างคนต่างกรอกเหล้าสาเกกระปุกใหญ่อั๊ก ๆ เข้าคอรวดเดียวหมดกระปุก ไม่สนใจว่าเหล้าจะล้นปากลงมาเรี่ยราด ทนดวดเข้าไปจนเกลี้ยงไม่รู้ว่ากี่กระปุก ไม่นานคนหนึ่งก็ถึงกับกระอักต้องหยุดแล้วกรอกตามองเพื่อน คนที่ยังคอแข็งอยู่ยังดวดต่อไป คนหนึ่งขาดสติเพ้อเสียงดังลั่นบ้าน
“ใครช่วยบอกข้าทีซิว่า นอกจากอาจารย์โยชิโอกะของเราแล้ว จะมีใครสักคนหนึ่งไหมในโลกนี้ที่รู้ศาสตร์แห่งดาบสำนักเคียวฮาจิ ถ้ามีข้าอยากขอพบด้วยเป็นคนแรก...ฮะอึ๊ก เอิ๊ก อุ อุ อุ”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ชีวิตวันนี้มิอาจรู้วันพรุ่ง
และโนบุนางะ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุทธจักรท่านนั้นก็ยังได้ฝากบทกวีเอาไว้ด้วยว่า
ชีวิตห้าสิบปี คือเศษเสี้ยวแห่งภาพฝันลวงตา ระหว่างเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ
เพื่อให้คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดพึงสำเหนียกเอาไว้
ยามนี้แม้สงครามจะสงบลงโคมไฟตามถนนหนทางทางในเมืองหลวงและโอซากะกลับมาสว่างไสวงดงามดังยุครุ่งเรืองแห่งตระกูลโชกุนมูโรมาจิแต่ก่อนกาล ทว่า...
แสงสีของโคมไฟจะดับวูบลงอีกเมื่อไรไม่มีใครรู้
ผู้คนที่ตกอยู่ท่ามกลางสงครามแย่งชิงอำนาจไม่หยุดหย่อนมานานปี ถึงจะรอดชีวิตมาได้แต่ความหวาดกลัวคมหอกคมดาบที่เฉียดฉิวแทบจะปลิดชีวิดไปในบัดดล ยังฝังลึกอยู่ในใจและตามหลอกตามหลอนอยู่อย่างไม่อาจสลัดให้พ้นไปได้
รัชสมัยเคโจปีที่ 10 (ค.ศ.1606)
สงครามที่เซกิงาฮาระเมื่อห้าปีก่อนได้กลายเป็นเรื่องเล่าในอดีตไปแล้ว
อิเอยาซุผู้กำชัยชนะเหนือแว่นแคว้นทั้งปวง ได้สละตำแหน่งทางทหารให้ฮิเดทาดะบุตรชายขึ้นครองแทนเป็นโชกุนรุ่นที่สองแห่งตระกูลโทกุงาวะเมื่อเดือนมีนาคม ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ อีกไม่นานโชกุนคนใหม่ก็จะออกเดินทางไปเข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีแด่สมเด็จพระจักรพรรดิที่นครหลวง แต่คนวงในต่างรู้กันดีว่าการเดินทางครั้งนี้ยังมีจุดมุ่งหมายอื่นที่นอกเหนือจากนั้น
สันติภาพหลังสงครามเป็นเพียงภาพที่ฉายฉาบอยู่เพียงบาง ๆ ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าจะคงอยู่ยั่งยืน ในเมื่อเห็นกันอยู่ชัดเจนเช่นนั้นว่าขณะที่ฮิเดทาดะโชกุนรุ่นที่สองนั่งแท่นเด่นเป็นสง่าอยู่ในปราสาทเอโดะนั้น โทโยโทมิ ฮิเดโยริทายาทวัยหนุ่มปราดเปรียวของฮิเดโยชิจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันตกเตรียมตัวพร้อมรบอยู่ที่ปราสาทโอซากา ขุนศึกผู้ครองแคว้นในภูมิภาคนั้นหลายคนยังคงสวามิภักดิ์ และฐานะทางการเงินก็ยังดีพอที่จะทำนุบำรุงปราสาทและจ้างซามูไรไร้นายได้เป็นจำนวนมาก เพื่อสืบสานความปรารถนาของบิดาในอันที่จะได้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น
“ข้าว่ายังไง ๆ ก็ต้องรบกันแน่”
“ปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้นแหละเอ็ง”
“ที่เห็นสว่างอยู่นี่เป็นแค่ความสว่างชั่ววูบระหว่างศึก แสงสว่างของเมืองนี้ คงไม่ต้องรอห้าสิบปีอย่างในบทกวีหรอกเอ็งเอ๊ย พรุ่งนี้ชีวิตเราอาจมืดสนิทลงได้”
“แล้วเราจะช้าให้เสียเวลาอยู่ทำไม ดื่มซิเพื่อน ดื่ม”
“ร้องรำทำเพลงให้สำราญ...”
ความหวาดหวั่นในความไม่แน่นอนของสันติภาพสะท้อนอยู่ในคำสนทนาของนักดาบหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่เดินเลี้ยวตามกันเข้าไปในตรอกชิโจของวัดนิชิโนะโทอิน
เมื่อแสงไฟตามถนนหนทางเริ่มสว่างขึ้นก็ได้เวลาเลิกเรียน และบรรดานักดาบหนุ่มที่เล่าเรียนวิทยายุทธและฝึกฝนวิชาดาบกันคร่ำเคร่งกันมาตลอดวันก็กรูออกมาจากประตูไม้บานใหญ่ขึงขังดูสง่างาม ข้อความบนป้ายที่ติดอยู่บนเสาข้างประตูเก่าแก่เป็นที่น่าเกรงขาม แม้ตัวอักษรจะเลือนจางแทบไม่เห็นถ้าไม่เข้าไปจ้องมองใกล้ ๆ
สำนักดาบเฮอันโยชิโอกะ
ค่ายฝึกยุทธการของกองทัพโชกุนมูโรมาจิ
แต่ละคนพกดาบสั้นดาบยาวบางคนมีดาบไม้แถมมาด้วยและบางคนถือหอกคู่มือ เดินเลียบกำแพงขาวยาวเหยียดด้วยแยกย้ายกันกลับไป ด้วยท่าทีอาจหาญราวกับจะประกาศตัวว่า หากเกิดศึกสงครามขึ้นเมื่อใดข้านี่แหละจะได้เห็นเลือดของศัตรูเป็นคนแรก
นักดาบแปดเก้าคนที่ล้วนฮึกเหิมปราดเปรียวราวลมสลาตันกรากเข้ารุมล้อมจ่าฝูงที่ทุกคนเรียกว่า “อาจารย์น้อย”
“คืนนี้ไปไหนกันดี”
“อยากไปบ้านเมื่อคืนอีก ยังติดใจอยู่เลย ว่าไงพวกเรา”
“ไม่เอาดีกว่า สาว ๆ บ้านนั้นเอาใจอาจารย์น้อยคนเดียว ไม่ชายตามองพวกเราเลยสักกะนิด”
“ใช่ ใช่ วันนี้เราไปบ้านที่ไม่รู้ว่าอาจารย์น้อยเป็นใคร และไม่รู้จักเราสักคนดีกว่า”
เถียงกันไปเถียงกันมาเอะอะเอ็ดตะโรตกลงกันไม่ได้จนมาถึงย่านเที่ยวกลางคืนจุดไฟสว่างริมแม่น้ำคาโมะ บริเวณที่ถูกทิ้งรกร้างมานานแถบนี้ราคาขึ้นสูงทันทีที่สงครามสงบลง มีคนเข้ามาสร้างบ้านอย่างลวก ๆ เอาเร็วเข้าว่า ทำเป็นสถานเริงรมย์ค้าประเวณีติดม่านบังตาหน้าร้านสีแดงสีเหลืองเรียงรายเต็มพื้นที่ ผู้หญิงที่ถูกกว้านซื้อมาจากทัมบะผัดหน้าขาวอย่างไม่เป็นประสาผิวปากเรียกลูกค้า บ้างก็ดีดชามิเซ็งเครื่องสายที่คนสมัยนั้นเพิ่งจะรู้จักกันพร้อมกับร้องเพลงที่มีความหมายคาบลูกคาบดอก ชายตาให้ชายแล้วหัวเราะกันครึกครื้น
“โทจิ ซื้อหมวกฟางให้หน่อยซิ”
พอใกล้ถึงย่านเริงรมย์ อาจารย์น้อยหรือโยชิโอกะ เซอิจูโรชายหนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดกิโมโนสีน้ำตาลเข้มสวมเสื้อคลุมปักตราประจำตระกูลหันไปบอกลูกศิษย์คนหนึ่ง
“หมวก...หมวกฟางปีกกว้างน่ะรึอาจารย์”
“ก็ใช่นะซี”
“ทำไมถึงต้องใส่หมวกด้วยล่ะ”
กิอง โทจิถามด้วยความฉงน
“คิดว่าจะใช้ปิดหน้าสักหน่อย เพราะไม่อยากให้ใครเห็นจะหันมามองว่า ลูกชายคนโตของสำนักดาบโยชิโอกะมาทำอะไรอยู่แถวนี้”
2
กิออง โทจิหัวเราะลั่นแล้วหยอกว่า
“อาจารย์น้อยเรียกหาหมวกอย่างนี้คงกลัวว่าเดินหัวเปล่า ๆ ไม่ใส่หมวกจะมีเสน่ห์ไม่พอล่อใจสาวละมัง ข้าพอจะรู้ใจพวกสาว ๆ อยู่เหมือนกันว่า พอเห็นหนุ่ม ๆ ใส่หมวกฟางพรางตามาละก็ต้องสงสัยไว้ก่อนเลยว่าคงจะเป็นคุณหนูบ้านคนรวย”
พลางหันไปพยักหน้าสั่งลูกศิษย์ระดับรองลงไปให้ไปซื้อหมวกฟางมา ซึ่งนักดาบท้ายแถวรีบก็วิ่งหลบพวกคนที่เริ่มเมาได้ที่กันแล้วกับกลุ่มคนที่ตะคุ่มอยู่ในเงาโคมไฟตรงไปที่ร้านขายหมวกฟางริมทาง
พอได้หมวกฟางมาเซอิจูโรก็รีบใส่ทันทีแล้วดึงปีกหมวกลงมาหลุบหน้า
“ต้องอย่างนี้ ใคร ๆ จะได้จำหน้าเราไม่ได้”
ว่าแล้วก็ออกเดินก้าวยาว ๆ นำหน้าด้วยความมั่นใจ กิออง โทจิยังไม่เลิก ส่งเสียงหยอกไล่หลังไปอีกว่า
“แหม ยิ่งดูยิ่งเท่กันไปใหญ่ ไม่รู้ว่าอาจารย์น้อยจะหว่านเสน่ห์ไปถึงไหนนะพวกเรา”
พวกลูกศิษย์เฮรับกันเกรียวกราว
“เฮ้ย...ดูนั่นซิ สาว ๆ เลิกบังตามองมาทุกบ้านเลย”
ลูกศิษย์หนุ่มรุ่นคะนองไม่ได้เยินยออาจารย์น้อยของพวกตนเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เซอิจูโรในวัยต้นสามสิบรูปร่างสูงสง่าแข็งแรงสมชายชาตินักรบ หน้าตาคมสันเปล่งประกายราศีลูกชาติลูกตระกูล
พอเดินผ่านหน้าบ้านใด สาวประจำบ้านก็จะเลิกผ้าบังตาสีเหลืองบ้างสีแดงบ้าง โผล่หน้าที่พอกแป้งไว้จนขาวผ่องออกมาร้องเรียกร้องทักกันเสียงแจ๋ว จ๊อกแจ๊กราวกับกำลังเดินผ่านกรงนก
“จะรีบเดินไปไหนจ๊ะพ่อหนุ่มรูปหล่อ”
“อู๊ย มาดูกันเร้วใครไม่รู้ใส่หมวกฟางเท่จังเลยเธอ”
“ไม่แวะหน่อยหรือเจ้าคะ”
“เปิดหมวกให้ดูหน้าหน่อยซีจ๊ะคุณพี่”
ยิ่งได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดกราดกันตลอดทางเช่นนั้น เซอิจูโรก็ยิ่งได้ใจเดินยืดอกให้ผึ่งผายวางท่าหยิ่งผยองราวกับคุ้นเคยกับชีวิตเริงรมย์ของคนกลางคืนแถบนี้เสียเต็มประดา ทั้ง ๆ ที่กิออง โทจิศิษย์คนโปรดเพิ่งพามาเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง ปกติเซอิจูโรเป็นคนอวดตัวอยู่แล้ว การมีพ่อเป็นปรมาจารย์สำนักดาบโยชิโอกะ และได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมราวกับคุณชายมาแต่เล็กแต่น้อย เงินทองมีใช้มากมายไม่เคยขาดมือนั้น แม้จะทำให้มั่นใจในฐานะความเป็นอยู่ของตนแต่ก็กลับทำให้เขาอ่อนโลกไม่ทันคน และขณะนี้จิตใจของเซอิจูโรกำลังเคลิบเคลิ้ม หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำเยินยอไม่ขาดปากของลูกศิษย์และผู้หญิงเริงรมย์ ซึ่งไม่ผิดอะไรกับยาพิษอันหอมหวาน
พอเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ผู้หญิงประจำบ้านก็ร้องทักเสียงแหลม
“ตาย...ตาย นั่นอาจารย์น้อยแห่งตรอกชิโจมิใช่รึ อย่า...อย่า ไม่ต้องมาใส่หมวกปิดหน้าปิดตาเสียให้ยาก แค่เห็นก็รู้แล้วว่าท่านคือใคร”
เซอิจูโรซ่อนความพอใจเอาไว้ในหน้า แกล้งทำตกใจหันไปเชิดหน้าถามลูกศิษย์
“โทจิ ทำไมนางถึงได้รู้ว่าเราเป็นทายาทสำนักโยชิโอกะ”
ว่าพลางเร่เข้าไปใกล้หน้าต่างลูกกรง
“เอ๊ะ?”
กิออง โทจิหันไปมองหน้าขาว ๆ หลังซี่ลูกกรงหน้าต่างแล้วมองหน้าเซอิจูโรเทียบกันไปมา
“ทำไมถึงรู้”
“นั่นน่ะซีทำไมถึงรู้”
พวกลูกศิษย์แกล้งขานรับกันอย่างสนุก
กิออง โทจิชักหงุดหงิดที่เสียเวลาเที่ยวจึงโบกมือรีบตัดบทว่า
“โธ่เอ๋ย เราก็นึกว่าเป็นมือใหม่ ที่ไหนได้อาจารย์น้อยของเราคุ้นเคยกับแถวนี้เสียทุกซอกทุกมุม เป็นขวัญใจของแม่นางทุกบ้านทุกเรือน แม่คนนี้ก็ใช่”
“เจ้าก็พูดไปเรื่อย เราเคยมาบ้านนี้เมื่อไหร่กัน”
กิออง โทจิทำหน้าจริงจังซักว่า
“ไม่เคยมาแล้วทำไมนางถึงรู้ว่าเป็นอาจารย์น้อยแห่งซอยชิโจทั้ง ๆ ที่ใส่หมวกฟางหลุบหน้าอย่างนี้ จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง จริงไหมพวกเรา”
“น่าสงสัย น่าสงสัยอาจารย์น้อย”
พวกลูกศิษย์ร้องรับพร้อมกันเป็นลูกคู่
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น”
หญิงประจำร้านแนบหน้ามาชิดลูกกรงหน้าต่างแล้วบอกว่า
“นี่แน่ะพ่อหนุ่ม เรื่องแค่นี้ถ้าไม่รู้ก็คงจะหากินไม่ได้”
“แหมดูมั่นใจจริงนะนาง ไหนบอกมาซิว่ารู้ได้ยังไง”
“ใคร ๆ ก็รู้ว่าคนที่สำนักดาบชิโจชอบใส่เสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่กันทั้งนั้น และสีน้ำตาลแก่โยชิโอกะก็เป็นสียอดนิยมของผู้ชายแถวนี้เสียด้วย”
“คนใส่กิโมโนกับเมื่อคลุมสีโยชิโอกะไม่ได้มีแต่อาจารย์น้อยคนเดียว ใคร ๆ ก็ใส่สีนี้กันได้ทั้งนั้น”
“แต่ใครจะใส่เสื้อคลุมปักตราตระกูลโยชิโอกะได้ล่ะ”
เซอิจูโรสะดุ้งก้มลงมองตราตระกูลที่เสื้อคลุม ทำให้นางประจำร้านได้จังหวะยื่นมือขาว ๆ ผ่านซี่ลูกกรงหน้าต่างออกมาจับชายเสื้ออาจารย์น้อยเอาไว้แน่น
3
“เสร็จกัน มัวแต่ปิดหน้าปิดตา แต่กลับเผยตราประจำตระกูล ทำยังกับอยากให้แม่นางจับได้ แย่มาก”
กิออง โทจิมองเซอิจูโรแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“อย่างนี้แล้ว เห็นจะต้องเข้าบ้านนี้อย่างไม่มีทางเลี่ยงได้เสียแล้ว”
“ตามใจเจ้า แต่บอกให้นางปล่อยแขนเสื้อเราทีเถิด”
เซอิจูโรทำหน้ายุ่งยาก
“ได้ยินใช่ไหม ปล่อยแขนเสื้ออาจารย์น้อยได้แล้ว จะได้เข้าบ้านกันเสียที”
“จริงหรือ”
นางถามอย่างลิงโลดแล้วรีบปล่อยแขนเสื้อเซอิจูโร
และแล้วนักดาบทั้งกลุ่มแหวกบังตาลอดตามกันเข้าไป
บ้านหลังนี้สร้างแบบลวก ๆ ให้ใช้การได้เร็ว ๆ เช่นเดียวกับแห่งอื่น การตกแต่งภายห้องไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรือภาพเขียนก็ดูหยาบกระด้างไร้ความพิถีพิถัน แต่ทุกคนยกเว้นเซอิจูโรกับกิออง โทจิดูไม่เอาใจใส่กับความไร้รสนิยมรอบข้าง พอนั่งลงได้ก็ว่าท่าใหญ่โตร้องสั่ง
“เอาเหล้าสาเกมา เหล้าสาเก”
และพอเหล้าสาเกมาก็เรียกหา
“กับแกล้ม เอากับแกล้มมาเร็ว”
และพอกับแกล้มมา อูเอดะ เรียวเฮนักดาบมือดีคู่ซ้อมของกิออง โทจิก็ตะเบ็งเสียงเรียกหาผู้หญิง
“เอาผู้หญิงมา เอามาเร็ว ๆ”
ทุกคนหัวเราะกันเกรียวกราว
“เอาผู้หญิงมา...ฮะ ฮะ ฮะ... ลุงอูเอดะจะรับประทาน เอามาเร็ว ๆ”
แล้วก็ส่งเสียงล้อกันครื้นเครง เอาผู้หญิงมา...เอาผู้หญิงมา
“อย่ามาเรียกข้าว่าลุงได้ไหม”
เรียวเฮจ้องตาถมึงทึงผ่านจอกสาเกไปที่หน้าพวกหนุ่ม ๆ
“ข้าอยู่ที่สำนักมานานกับพวกเจ้าก็จริงแต่ข้าก็ยังไม่ได้แก่เฒ่า ดูที่ไรผมสิ ยังดำสนิททุกเส้น”
“คงย้อมละซี”
“ใครพูด ออกมาแสดงตัวเดี๋ยวนี้ จะลงโทษด้วยเหล้าสาเกให้เข็ด”
“ขี้เกียจไป โยนมาที”
จากนั้นก็มีการโยนจอกสาเกกันไปมาเป็นที่เฮฮา
“ใครก็ได้ลุกขึ้นเต้นให้ดูหน่อย” กิออง โทจิร้องขึ้น
เซอิจูโรชักคึกขึ้นมา
“อูเอดะ ไหนว่ายังหนุ่มใช่ไหม เต้นเลย ใคร ๆ จะได้รู้ว่าหนุ่มจริง”
“ได้ซิ ข้าพร้อมเสมอ ยิ่งบอกว่าหนุ่ม ก็ยิ่งต้องเต้น”
ว่าแล้วก็เดินไปมุมห้อง เอาผ้ากันเปื้อนสีแดงผูกหน้าผากปล่อยชายไปข้างหลัง เสียบดอกบ๊วยเข้าไป ฉวยไม้กวาดมาถือเอาไว้แล้วบอกว่า
“เชิญชมการร่ายรำของสาวฮิดะ เอ้า ท่านโทจิ ขอเพลงประกอบด้วย”
“ได้ เอ้าทุกคน เรามาร้องด้วยกัน”
ไม่ต้องให้ชวนซ้ำ แต่ละคนฉวยตะเกียบเคาะกับชาม ตะเกียบคีบถ่านเคาะกับเตาผิงเป็นจังหวะประกอบลำนำเพลง
รั้วไม้ไผ่ รั้วไม้ไผ่ และรั้วไม้ไผ่
เอ๊ะอะไร ไหนอะไร แวบข้ามรั้วไปไว ๆ
ชายแขนเสื้อกิโมโน
แวบข้ามไปไว ๆ เรี่ยกับปุยหิมะ
พอจบท่อนแรกทุกคนก็ตบมือกันเซ็งแซ่ แล้วบอกให้พวกผู้หญิงร้องต่อพลางเล่นเครื่องดนตรี
หญิงที่เห็นเมื่อวาน
นางไม่มาวันนี้
หญิงที่มาวันนี้
พรุ่งนี้นางจะไม่มา
ข้าไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง
จึงใคร่รักนางเสียในวันนี้
ที่มุมห้องศิษย์สำนักดาบคนหนึ่งยื่นสาเกกระปุกใหญ่ให้เพื่อน
“ดื่มรวดเดียวให้หมดกระปุกเลยซิวะ”
“ถ้าจะไม่ไหว ขอบใจนะ”
“ถ้าจะไม่ไหว? ซามูไรเขาพูดกันอย่างนี้รึ”
“ว่าไงนะ? ก็เอาซี ถ้าข้าดื่มเอ็งก็ต้องดื่มด้วย”
“ได้เลยเพื่อน”
และแล้วการแข่งดวดเหล้าสาเกก็เริ่มขึ้น ต่างคนต่างกรอกเหล้าสาเกกระปุกใหญ่อั๊ก ๆ เข้าคอรวดเดียวหมดกระปุก ไม่สนใจว่าเหล้าจะล้นปากลงมาเรี่ยราด ทนดวดเข้าไปจนเกลี้ยงไม่รู้ว่ากี่กระปุก ไม่นานคนหนึ่งก็ถึงกับกระอักต้องหยุดแล้วกรอกตามองเพื่อน คนที่ยังคอแข็งอยู่ยังดวดต่อไป คนหนึ่งขาดสติเพ้อเสียงดังลั่นบ้าน
“ใครช่วยบอกข้าทีซิว่า นอกจากอาจารย์โยชิโอกะของเราแล้ว จะมีใครสักคนหนึ่งไหมในโลกนี้ที่รู้ศาสตร์แห่งดาบสำนักเคียวฮาจิ ถ้ามีข้าอยากขอพบด้วยเป็นคนแรก...ฮะอึ๊ก เอิ๊ก อุ อุ อุ”