นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
ทว่า มูซาชิกลับเป็นฝ่ายยุติการนองเลือด บอกว่า
สู้กันไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อจากนี้ขอให้เป็นเรื่องของข้ากับท่านอาจารย์เซอิจูโรเถิด
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องจัดที่ทางให้มูซาชินั่งรอแล้วส่งคนอีกหลาย ๆ คนรีบไปตามตัวเซอิจูโรมาให้ได้ และให้คนหนึ่งวิ่งไปตามหมอมาทำแผลคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสาหัสที่ห้องด้านใน
หมอกลับไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงเรียกชื่อคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสองสามครั้งดังลอดมาจากห้องด้านในซึ่งจุดไฟสว่างอยู่ คนที่เหลืออยู่ในโรงฝึกกรูกันเข้าไปดูก็ปรากฏว่านักดาบสองคนในจำนวนที่นอนเรียงกันอยู่หกคนสิ้นใจตายเสียแล้ว
4
“...หมดหวัง”
นักดาบที่นั่งหน้าซีดขาวเรียงกันอยู่ข้างหมอนเพื่อนผู้ชะตาขาด ถอนใจลึกล้ำด้วยความรันทดเกือบพร้อมกัน
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของคนหลายคนดังสับสนอยู่ที่ประตูทางเข้า และอึดใจต่อมาก็ย่ำกึง ๆ ด้วยความเร่งรีบผ่านโรงฝึกตรงมาที่ห้องพยาบาลคนเจ็บ
โยชิโอกะ เซจูโรกับกิองโทจิเดินตามกันเข้ามา สีหน้าของทั้งสองเย็นเยียบราวเพ่งผุดขึ้นมาจากธารน้ำแข็ง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้ทุเรศทุรังอย่างนี้”
โทจิกราดเกรี้ยววางก้ามเช่นเคย ถือตัวว่าเป็นคนของครอบครัวโยชิโอกะทั้งยังเป็นนักดาบรุ่นพี่อยู่ในโรงฝึกมานานกว่าใคร ทำเอาศิษย์สำนักดาบที่อารมณ์กำลังอ่อนไหวนั่งน้ำตาคลอกันอยู่ข้างหมอนผู้ตายขัดเคืองใจขึ้นมาทันที ต่างทำหน้าถมึงทึงเหลือบตาขึ้นจับจ้องมาที่ผู้พูด คนหนึ่งปากกล้าสวนขึ้นเสียงแข็ง
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ ท่านเองนั่นแหละที่ต้องเป็นคนชี้แจง พาอาจารย์น้อยไปเที่ยวบ้างไม่มีใครว่า แต่หายไปหามรุ่งหามค่ำ หัวราน้ำแบบนี้มันเกินไป”
“ว่าไงนะ”
“ตอนที่ท่านอาจารย์เค็มโปยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยมีวันที่เลวร้ายอย่างนี้เลยสักวันเดียว”
“ชักจะมากไปแล้ว มีดีอะไรถึงได้มีหน้ามาสั่งสอนต่อหน้าอาจารย์น้อยอย่างนี้ ข้าแค่พาไปเปิดหูเปิดตา ดูละครคาบูกิบ้างอะไรบ้าง มันไม่ดีตรงไหนฮึ”
“แค่ไปดูละครผู้หญิงเล่นถึงกับต้องนอนค้างอ้างแรมทีเดียวรึ อย่างนี้อัฐิของท่านอาจารย์เค็มโปคงต้องร้องไห้อยู่บนแท่นบูชาในห้องพระข้างในนั้นแน่”
“เจ้านี่ ปากคอโอหังนัก เอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว”
กิองโทจิคำรามแล้วถลันเข้าใส่ หลายคนรีบเข้ามาแทรกกลางแยกคู่อริออกจากกันเสียงเอะอะเอ็ดตะโร และขณะที่จะพาไปสงบอารมณ์ในห้องอื่นนั้นเอง ทุกคนก็ได้ยินเสียงครางดังออกมาจากความมืดในห้องติดกันนั้นเอง
“หนวกหู...ไม่รู้รึไงว่ามีคนเจ็บกำลังจะตายอยู่ในนี้ โอย...โอย”
และยังไม่ทันจะเข้าไปดู ใครคนนั้นก็พูดด้วยเสียงของคนใกล้สิ้นแรงต่อไปว่า
“จะทะเลาะกันเองให้มันได้อะไรขึ้นมา อาจารย์น้อยกลับมาแล้ว รีบไปจัดการล้างอายให้พวกเราเดี๋ยวนี้เลย...อย่าปล่อยให้เจ้าซามูไรพเนจรที่นั่งรออยู่ตรงนั้น มีชีวิตกลับออกไปได้เป็นอันขาด เข้าใจนะ...ข้าขอร้อง”
ทุกคนกรูเข้าไปที่ห้องข้าง ๆ ก็พบคนเจ็บอีกหลายคน บางคนส่งเสียงครางพลางทุบพื้นเสื้อทาทามิด้วยความแค้นอยู่ใต้ผ้านวม
ใช่...พวกนี้คือศิษย์สำนักดาบกลุ่มแรกที่ดาหน้าออกไปประดาบไม้กับมูซาชิ ซึ่งแม้ไม่ถึงกับตายแต่มือเท้าก็ถูกฟันจนกระดูกหักไม่มีชิ้นดี
คำพูดของนักดาบผู้บาดเจ็บทำเอาคนอื่นที่รอดพ้นคมดาบไม้ของมูซาชิมาได้ ต่างยืนนิ่งขึงและหน้าชาเหมือนถูกด่า นักรบซามูไรซึ่งเป็นชนชั้นหนึ่งในสังคมนอกเหนือจาก ชาวไร่ชาวนา ช่าง และพ่อค้า ให้ความสำคัญกับ “เกียรติภูมิ” เป็นที่สุดและคราใดที่ถูกย่ำยีเสียเกียรติทำให้ต้องอับอายขายหน้า ก็ถึงกับยอมตายไปพร้อมกับ “ความอับอาย” สมัยนั้นผู้มีอำนาจในแว่นแคว้นต่าง ๆ ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องทำสงครามกันอยู่ตลอด เนื่องจากยังไม่มีระบบการปกครองประเทศที่เป็นปึกแผ่นและสันติสุข แม้แต่เกียวโตก็อยู่ภายใต้การปกครองด้วยกฎหมายที่ยังขาดความสมบูรณ์แบบอยู่มาก ความยึดมั่นในเกียรติภูมิและการยึดถือว่าความอับอายเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้นักรบซามูไรเป็นที่เคารพนับถือของชาวไร่ชาวนา ซึ่งส่งผลให้สังคมมีความสงบสุขตามไปด้วย บ้านเมืองยุคนั้นจึงอยู่มาได้ด้วยการปกครองตนเองของชาวเมืองในลักษณะที่ว่านี้ แม้จะยังไม่มีกฎหมายที่สมบูรณ์แบบก็ตาม
ศิษย์นักดาบสำนักโยชิโอกะก็เช่นกันทุกคนยังเป็นคนหน้าบางที่รู้สึกไวต่อความอับอายผิดกับคนในยุคต่อ ๆ มา หลังสับสนอยู่ชั่วขณะและใบหน้ากลับมามีเลือดฝาดดังเดิม ความอับอายขายหน้าก็พลุ่งพล่านขึ้นมาจนร้อนเร่าไปทั่วร่าง
ศิษย์สำนักดาบกรูสลัดอัตตาของตนไปทางหนึ่ง กรูเข้ามาล้อมรอบเซจูโรด้วยความมุ่งมั่นไปที่จุดหมายเดียวกันคือ
เราต้องล้างอายให้อาจารย์
ทว่า วันนี้เซจูโรไม่เหมือนเคย สีหน้าของอาจารย์น้อยไม่แสดงว่าอยากต่อสู้กับใครเลยแม้แต่คนเดียว ความเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เมื่อคืนคงเริ่มแสดงฤทธิ์เดชแล้วละมัง
“ซามูไรพเนจรคนนั้นอยู่ไหน”
เซจูโรถามพลางคาดแถบหนังที่หน้าผาก เลือกดาบไม้ด้ามหนึ่งจากจำนวนสองด้ามที่ศิษย์เอามาให้เลือก แล้วถือกระชับไว้ด้วยมือขวา
“เจ้านั่นบอกว่าจะรอจนกว่าอาจารย์น้อยจะกลับมา เราก็เลยให้คอยอยู่ในห้องนั้นขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งชี้ไปทางห้องเล็ก ๆ ข้างห้องหนังสือที่หันออกไปทางด้านสวน
5
“ไปเรียกมา”
เซจูโรหลุดคำสั่งออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก ก่อนเดินไปนั่งประจำที่อาจารย์บนยกพื้น ตั้งดาบในมือยันไว้กับพื้น คิดว่าจะพบกับแขกแปลกหน้าแค่ทักทายกัน
“ขอรับ”
ศิษย์สามสี่คนรับคำ ปราดไปที่ทางเข้าด้านข้างโรงฝึก ใส่รองเท้าฟางแล้วตั้งท่าจะวิ่งตัดสวนไปทางห้องหนังสือ กิองโทจิกับอูเอดะและศิษย์รุ่นพี่คนอื่นรีบเข้าไปรั้งเอาไว้
“เดี๋ยว ๆ พวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อน”
แล้วกระซิบอะไรเบา ๆ เซจูโรนั่งอยู่ห่างออกมาจึงไม่ได้ยิน ขณะนั้นคนมากมายส่วนใหญ่เป็นคนของตระกูลโยชิโอกะ ญาติ และศิษย์อาวุโสถูกเรียกมาชุมนุมกันอยู่เต็มห้องฝึก พอมาถึงก็จับกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้างถกเถียงอะไรกันอย่างถึงพริกถึงขิง บ้างออกความคิด บ้างยืนกรานคัดค้าน บ้างเห็นชอบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่า
เมื่อคำนึงถึงตระกูลโยชิโอกะและพิจารณาจากความคิดของคนส่วนใหญ่ที่รู้ดีว่าเซจูโรมีฝีมือระดับใดแล้ว ที่ประชุมเห็นว่าการไปเรียกซามูไรพเนจรผู้อุกอาจคนนั้นมาให้อาจารย์น้อยออกไปประดาบด้วยนั้น ไม่มีประโยชน์อันใดทั้งยังเป็นการเสี่ยงอันตรายอย่างที่สุดสำหรับตระกูลโยชิโอกะ เพราะศิษย์สำนักดาบหลายคนที่ออกไปรับมือล้วนได้รับบาดเจ็บและบางคนถึงตาย หากเซจูโรเกิดพลาดพลั้งพ่ายแพ้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
หลายคนอาจคิดว่าไม่ต้องกังวลอะไรในเมื่อยังมีเด็นชิจิโรน้องชายของเซจูโรอยู่อีกทั้งคน แต่พอดีวันนี้ก็เกิดไม่อยู่เสียอีกตั้งแต่เช้า พูดกันตามจริงลูกชายของปรมาจารย์เค็มโปสองคนนี้ ผู้น้องดูเหมือนจะมีฝีมือดาบเหนือกว่าผู้พี่ แต่เพราะเป็นน้องซึ่งไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเด็นชิจิโรจึงทำตัวเรื่อยเฉื่อยตามสบาย วันนี้ได้ยินว่าออกเดินทางไปเที่ยวอิเซะกับเพื่อน ๆ โดยไม่แจ้งว่าจะกลับเมื่อไร
“เอียงหูมาซิ”
กิองโทจิเข้ามาใกล้เซจูโรแล้วกระซิบอะไรสักอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายหน้าขึง บึ้ง และโกรธเกิดระงับจนต้องเค้นคำพูดออกมา
“...ต้อนมันเข้ามารุมรึ”
“... ... ...”
กิองโทจิถลึงตาห้ามไม่ให้เอะอะแต่ไร้ผล
“...เจ้าพูดเหมือนดูแคลนข้า คิดว่าเซจูโรขี้ขลาดถึงกับยอมเสียชื่อ ด้วยการยกพวกรุมฟันเจ้าซามูไรบ้านนอกคนเดียวนี้เพราะความกลัว ให้ชาวบ้านลือกันไปทั่วหรือยังไง”
“อาจารย์น้อย”
กิองโทจิขึ้นเสียงแข็ง
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นธุระของพวกเราเถิด”
“นี่พวกเจ้าไม่เชื่อฝีมือเซจูโรคนนี้ คิดว่าจะต้องแพ้เจ้าคนที่ชื่อมูซาชิ ที่บังอาจมาท้าทายเราถึงสำนักอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พวกเราเห็นพ้องกันว่าเจ้าซามูไรบ้านนอกคนนั้นมันต่ำต้อยนัก ไม่ควรกับที่อาจารย์น้อยจะลดตัวลงไปต่อกรด้วย เสียดายทั้งฝีมือทั้งเวลา ชนะไปก็ไม่ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น...ปล่อยให้พวกเราจัดการกันเถิด เพราะยังไงก็ปล่อยให้คนที่เข้ามาเหยียบย่ำเกียรติภูมิของเราให้เป็นที่อับอายเช่นนี้ มีชีวิตกลับไปไม่ได้อยู่แล้ว”
ระหว่างที่ต่อปากต่อคำกันอยู่นั้น โรงฝึกเหลือคนไม่ถึงครึ่งของที่มาชุมนุมกันอยู่เต็มเมื่อครู่ก่อน...ต่างคนต่างแฝงตัวหายเข้าไปในความมืดเงียบ ๆ เหมือนฝูงยุง ไปทางสวนบ้าง เข้าไปในตัวบ้านบ้าง บางคนออกไปทางประตูหน้าของโรงฝึกแล้วเดินอ้อมไปทางประตูหลัง
“อาจารย์น้อย เลิกคิดมากเสียที”
กิองโทจิตัดบทก่อนเป่าไฟดับตะเกียงแล้วจัดดาบตั้งท่าเตรียมพร้อม เซจูโรนั่งนิ่งจะว่าโล่งอกก็ใช่แต่ก็ไม่สบอารมณ์อยู่ในส่วนลึก แม้ศิษย์คนโปรดจะพูดจาหว่านล้อมเพียงไร แต่ก็ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตนว่าคนที่สำนักดาบแห่งนี้ดูถูกฝีมืออาจารย์น้อยคนนี้ เซจูโรหวนคิดแล้วเศร้าใจที่ตนเกียจคร้านไม่ได้ตั้งใจฝึกในวิชาดาบเลยหลังจากที่บิดาถึงแก่กรรม
เมื่อเซจูโรตื่นขึ้นจากความครุ่นคิดก็พบว่าตนนั่งอยู่คนเดียวในโรงฝึกอันว่างเปล่า ไม่รู้ว่าคนในบ้านและบรรดาศิษย์สำนักดาบหายไปไหนกันหมด ความมืดและความเงียบสงัดเย็นเยียบราวกับอยู่ที่ก้นบ่อน้ำที่คลอบคลุมไปทั่วทั้งบ้านทำให้เซจูโรทนนั่งนิ่งอยู่ไม่ได้อีกต่อไป นักดาบหนุ่มลุกขึ้นเดินยังหน้าต่างและมองออกไป เห็นดวงไฟในห้องที่แขกแปลกหน้าชื่อมูซาชินั่งรออยู่ส่องแสงริบหรี่อยู่เพียงจุดเดียวท่ามกลางความมืดมิด
6
เปลวไฟตะเกียงหลังบานเลื่อนกรุกระดาษไหวน้อย ๆ เป็นครั้งคราว ท่ามกลางความมืดมิดโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นที่ระเบียงชายคาบ้าน ทางเดินภายในเรือนและห้องหนังสือที่อยู่ติดกัน สายตาวาวใสราวตากบนับคู่ไม่ถ้วนคืบใกล้เข้าไปช้า ๆ และเงียบกริบ...มือกระชับดาบ
“... ... ...”
ดวงตาของกิองโทจิจับจ้องไปที่แสงตะเกียงเผื่อว่าความเคลื่อนไหวของเปลวไฟจะช่วยให้อ่านความเป็นไปภายในห้องได้บ้าง แต่ก็ เอ๊ะ นักดาบหนุ่มนึกฉงนเพราะมันนิ่งและเงียบสงัดจนผิดสังเกต ศิษย์สำนักดาบคนอื่นต่างก็สบตากันด้วยความสงสัย
มิยาโมโตะ มูซาชิเป็นชื่อที่ไม่มีใครได้ยินมาก่อนในเมืองเกียวโตแห่งนี้ แต่ทุกคนที่โรงฝึกวิชาดาบแห่งนี้ต่างก็ประจักษ์ต่อสายตากันมาแล้วว่าหนุ่มบ้านนอกคนนี้มีฝีมือดาบเก่งฉกาจเพียงใด ต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เป็นไปได้ยังไงที่นักรบระดับนั้นจะไม่รู้สึกตัวเลยเมื่อศัตรูลอบเข้ามาประชิดตัวขนาดนี้ ถึงจะศัตรูลักลอบเข้ามาได้อย่างแนบเนียนเพียงใดก็ต้องผิดสังเกตบ้าง คนที่มุ่งหวังจะได้เป็นใหญ่เป็นโตทางทหาร ขืนประมาทเช่นนี้ไม่ว่าจะมีสักกี่ชีวิตก็ไม่พอใช้จนโต
หรือว่านอนหลับ...ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะถูกปล่อยให้รออยู่นานจนอาจเผลอหลับไปก็ได้
ไม่น่าใช่ เพราะมองจากความเป็นคนจิตใจเหี้ยมหาญโอหังแล้ว ซามูไรบ้านนอกคนนี้จะต้องรู้ตัวว่ากำลังจะถูกคุกคาม แต่ไม่ดับไฟเพื่อพรางตาว่าไม่รู้เท่าทัน แต่ที่แท้ยืนถือดาบจังก้าเตรียมตัวพร้อมห้ำหั่นศัตรูคนแรกที่บุกเข้าไป
ใช่...น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า
พอชักจะแน่ใจทุกคนก็ตัวเกร็งขึ้นมาทันที เมื่อคิดขึ้นมาว่าคนที่เลือดเดือดและถลันเข้าไปก่อนจะถูกฟันกระจุยออกมาเป็นคนแรก จึงมองหน้ากันคล้ายถามว่าใครจะเป็นคนเสี่ยงก่อนแล้วกลืนน้ำลายลงคอไปตาม ๆ กัน
“ท่านมิยาโมโตะ”
กิองโทจิร้องเรียกเมื่อเข้าไปถึงประตูเลื่อน
“ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนาน ช่วยเปิดประตูให้ข้าเข้าไปพบหน่อยจะได้ไหม”
ภายในห้องเงียบกริบดังเดิม กิองโทจิชักแน่ใจว่าศัตรูกำลังเตรียมรับมืออยู่จริง จึงส่งสายตาเป็นสัญญาณไปทางพรรคพวกทั้งซ้ายขวา
อย่าปล่อยให้หลุดมือไปได้
แล้วเหวี่ยงตัวกระแทกบานประตูเลื่อนเต็มแรง นักดาบที่กรูตามกันเข้ามาและทันที่ที่ประตูบานเปิดให้เห็นภายในห้องทุกคนก็ชะงักถอยหลังไปก้าวหนึ่งของไม่รู้ตัว ก่อนที่คนหนึ่งจะตะโกนขึ้นว่า บุก เป็นสัญญาณให้ดาหน้ากันเข้าไปเตะทลายประตูทุกบานเข้าไปยืนคว้างอยู่กลางห้อง
“เฮ้ย ?”
“ไม่อยู่นี่หว่า”
“เออ หายไปไหนวะ”
รู้สึกว่าเสียงของผู้บุกรุกจะฟังดูแกร่งขึ้นมาทันทีแรงพอที่จะเปลวไฟจะไหวตามไปด้วย มีหลักฐานหลายอย่างแสดงให้เห็นว่ามูซาชิอยู่ในห้องนี้จนถึงเมื่อราวครู่ก่อนนี้เอง เบาะรองนั่งยังอุ่นกายตัวแสดงว่านั่งอยู่เมื่อตอนที่มีคนเอาตะเกียงเข้ามาวาง กระถางผิงไฟก็ยังวางอยู่ตามที่ทางของมัน มีแต่น้ำชาเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้เย็นอยู่ทั้งถ้วยโดยไม่ได้แตะต้อง
“แกปล่อยให้มันหนีไปได้ไง”
นักดาบคนหนึ่งเดินออกไปที่ระเบียงใต้ชายคาด้านสวน ร้องด่ายามหลายคนที่สั่งให้เฝ้าแขกผู้ไม่พึงประสงค์คนนี้ไว้ไม่ให้คลาดสายตา พลางกระทืบพื้นเร่า ๆ ด้วยความขัดใจ ศิษย์ที่ถูกสั่งให้เป็นยามยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นหนีไปทางไหน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ขอไปห้องสุขาแต่ก็กลับมาทันทีหลังเสร็จธุระแล้วก็ไม่เห็นออกไปไหนอีก ทุกคนพลอยส่ายหัวอย่างฉงนสนเท่ห์ไปด้วย
“หายตัวไปได้ยังไงราวกับเป็นอากาศธาตุ”
คนหนึ่งบ่นอย่างหัวเสีย ทันใดนั้นเองอีกคนหนึ่งที่ยื่นคอเข้าไปดูตรงชั้นวางของก็ร้องลั่นพลางชี้ไปที่พื้นห้องที่ไม้กระดายถูกเลาะออกเป็นช่อง
“นี่ นี่...ตรงนี้เอง”
“ดูจากตะเกียงที่ยังสว่างอยู่ แสดงว่ายังคงไปได้ไม่ไกลหรอก”
“รีบวิ่งตามไปเร็ว”
เมื่อคิดว่าศัตรูเปิดหนีไปด้วยความขี้ขลาด บรรดาศิษย์สำนักดาบก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง วิ่งหน้าตั้งกระจายตัวกันออกทางประตูเล็ก ประตูใหญ่ ประตูหลังอย่างเอาเป็นเอาตัวหมายจับให้มั่นคั้นให้ตาย
และแทบจะในทันทีนั้นใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นสุดเสียง
“เจอแล้ว”
ยังมาทันขาดคำ ใครคนหนึ่งก็กระโจนออกมาจากเงามืดข้างซุ้มประตูใหญ่ด้านหน้า วิ่งข้ามถนนเลี้ยวหายเข้าไปในซอยด้วยความว่องไวปราดเปรียวราวกระต่ายป่าที่หลุดจากบ่วงแร้วของนายพราน
7
ศิษย์สำนักดาบกลุ่มใหญ่กวดตามไปไม่ลดละ พอสุดซอยชายคนนั้นก็ย่อตัวลงคล้ายค้างคาวแล้วแทรกตัวหายวับไปทางด้านข้าง
เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่วิ่งไปมาทางโน้นทางนี้ดักหน้าดักหลังกันเองสับสนไปหมด จนมาถึงละแวกบ้านที่มืดสลัวมีทางตัดผ่านวิหารคูยาโดกับบริเวณวัดฮนโนจิที่ถูกไฟไหม้ ใครคนหนึ่งก็ตะโกนลั่นไปทั้งบาง
“ไอ้ขี้ขลาด”
“หน้าด้าน ไม่มียางอาย”
“อวดดีนักนะมึง ถึงคราวพวกข้าบ้างละทีนี้”
“ยอมให้จับเสียดี ๆ”
ในที่สุดชายคนนั้นก็ถูกฝ่ายไล่ล่าตะครุบตัวเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่ยอมให้จับดี ๆ ทั้งเตะทั้งถีบสุดกำลังทั้งยังร้องโอดโอยเสียงขรมถมเถ และระหว่างที่ดิ้นรนให้พ้นจากการจับกุมอยู่นั้น ดูเหมือนจะกลับมีแรงขึ้นมาอีก ทีนี้แทนที่จะหนีหัวปักหัวปำกลับหันหน้าเข้าสู้อย่างหมาจนตรอก นักดาบสองสามคนจึงช่วยกันเผด็จศึกโดยจับคอเสื้อกระชากเข้ามาแล้วเหวี่ยงลงนอนสิ้นท่าอยู่กับพื้น
“โอ๊ย”
“แก!”
“เดี๋ยว เดี๋ยว”
คนหนึ่งร้องห้ามขัดจังหวะคมดาบกระหายเลือดเอาไว้ได้ทัน
“ผิดคนแล้วเอ็ง”
“อ้าว เฮ้ย”
“นี่ไม่ใช่มูซาชิสักหน่อย”
กิองโทจิวิ่งตามมาทันพอดีกับที่คณะไล่ล่ากำลังงงและหัวเสียที่ตามจับผิดคน
“จับตัวได้แล้วรึ”
“จะว่าได้ก็ได้ นี่ไง”
“อ้าว นี่มัน...”
“ท่านรู้จักรึ”
“อือ ข้าเพิ่งพบวันนี้เอง ที่ร้านน้ำชาโยโมงิ”
“โห ?”
สายตาทุกคู่ของศิษย์สำนักดาบจ้องมองมาที่มาตาฮาจิซึ่งกำลังจัดผมและเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
“เจ้าของร้านน้ำชารึ”
“เจ้าของร้านเป็นผู้หญิง นางบอกว่าอยู่กินกันเฉย ๆ ประเภทแมงดาละมัง”
“แต่เจ้านี่มีพิรุธนะท่าน มาทำอะไรอยู่ที่หน้าประตูใหญ่บ้านเราก็ไม่รู้ หรือว่ามาแอบดูอะไร”
กิองโทจิเลิกสนใจกับมาตาฮาจิ และออกเดินอย่างเร่งด่วน
“พวกเจ้ามัวแต่มายุ่งอยู่กับเจ้านี่ ป่านนี้มูซาชิหนีหายไปไหนแล้วไม่รู้ รีบแยกย้ายกันไปตามหาด่วนเลย ไปสืบหามาให้ได้ว่าเจ้านั่นพักแรมอยู่ที่ไหน”
“จริงด้วยต้องไปหาก่อนเลยว่าพักที่ไหน”
มาตาฮาจิลุกขึ้นยืนคอตกหันไปทางคูของวัดฮนมาจิ จนนักดาบคนสุดท้ายของกลุ่มกำลังจะเดินผ่านไป เจ้าหนุ่มจึงฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงร้องเรียกเอาไว้
“นี่แน่ะ เจ้า”
“อะไรรึ”
มาตาฮาจิเดินเข้าไปหาและถามว่า
“ชายชื่อมูซาชิที่ไปโรงฝึกวิชาดาบวันนี้ อายุสักเท่าไรรู้ไหม”
“ข้าจะไปรู้ได้ไง”
“อายุพอ ๆ กับเจ้าได้ไหม”
“คงจะราวนั้น”
“บอกหรือเปล่าว่าเกิดที่หมู่บ้านมิยาโมโตะ ในแคว้นซากุ”
“ใช่”
“ชื่อมูซาชินั่น ใช้อักษรตัวเดียวกับที่อ่านว่าทาเกโซใช่หรือเปล่า”
“เจ้าจะถามไปทำไม รู้จักกันรึ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“ข้าว่าถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่ามาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ดีกว่า เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวอย่างวันนี้อีกหรอก”
ว่าแล้วก็วิ่งตามเพื่อน ๆ หายไปในความมืด มาตาฮาจิเดินช้า ๆ ตามตามคันคูในความมืด และหยุดยืนแหงนดูดาวบนฟากฟ้าเป็นครั้งคราว เหมือนคนพเนจรที่ไร้จุดหมาย
“ใช่จริง ๆ ด้วย ทาเกโซเปลี่ยนชื่อเป็นมูซาชิ ออกเดินทางแสวงหาความรู้และฝึกวิชาดาบ คงจะเปลี่ยนไปมากจากแต่ก่อน”
มาตาฮาจิซุกมือทั้งสองลงในผ้าคาดเอว เดินเตะก้อนหินไปเรื่อย ๆ และทุกครั้งก็จะนึกเห็นหน้าเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก
“ทาเกโซอยู่ในเกียวโตนี้เอง แต่จะให้เพื่อนพบข้าในสภาพเช่นนี้ไม่ได้ ข้าก็หยิ่งพอตัวคงจะทนให้เพื่อนดูถูกดูแคลนไม่ได้...แต่ทาเกโซกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าพวกศิษย์สำนักโยชิโอกะรู้เข้าอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ข้าอยากรู้ว่าเจ้าอยู่ไหน... ทาเกโซ อยากเตือนให้เจ้าระวังตัวเอาไว้”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ความเดิม
ทว่า มูซาชิกลับเป็นฝ่ายยุติการนองเลือด บอกว่า
สู้กันไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อจากนี้ขอให้เป็นเรื่องของข้ากับท่านอาจารย์เซอิจูโรเถิด
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องจัดที่ทางให้มูซาชินั่งรอแล้วส่งคนอีกหลาย ๆ คนรีบไปตามตัวเซอิจูโรมาให้ได้ และให้คนหนึ่งวิ่งไปตามหมอมาทำแผลคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสาหัสที่ห้องด้านใน
หมอกลับไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงเรียกชื่อคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสองสามครั้งดังลอดมาจากห้องด้านในซึ่งจุดไฟสว่างอยู่ คนที่เหลืออยู่ในโรงฝึกกรูกันเข้าไปดูก็ปรากฏว่านักดาบสองคนในจำนวนที่นอนเรียงกันอยู่หกคนสิ้นใจตายเสียแล้ว
4
“...หมดหวัง”
นักดาบที่นั่งหน้าซีดขาวเรียงกันอยู่ข้างหมอนเพื่อนผู้ชะตาขาด ถอนใจลึกล้ำด้วยความรันทดเกือบพร้อมกัน
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของคนหลายคนดังสับสนอยู่ที่ประตูทางเข้า และอึดใจต่อมาก็ย่ำกึง ๆ ด้วยความเร่งรีบผ่านโรงฝึกตรงมาที่ห้องพยาบาลคนเจ็บ
โยชิโอกะ เซจูโรกับกิองโทจิเดินตามกันเข้ามา สีหน้าของทั้งสองเย็นเยียบราวเพ่งผุดขึ้นมาจากธารน้ำแข็ง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้ทุเรศทุรังอย่างนี้”
โทจิกราดเกรี้ยววางก้ามเช่นเคย ถือตัวว่าเป็นคนของครอบครัวโยชิโอกะทั้งยังเป็นนักดาบรุ่นพี่อยู่ในโรงฝึกมานานกว่าใคร ทำเอาศิษย์สำนักดาบที่อารมณ์กำลังอ่อนไหวนั่งน้ำตาคลอกันอยู่ข้างหมอนผู้ตายขัดเคืองใจขึ้นมาทันที ต่างทำหน้าถมึงทึงเหลือบตาขึ้นจับจ้องมาที่ผู้พูด คนหนึ่งปากกล้าสวนขึ้นเสียงแข็ง
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ ท่านเองนั่นแหละที่ต้องเป็นคนชี้แจง พาอาจารย์น้อยไปเที่ยวบ้างไม่มีใครว่า แต่หายไปหามรุ่งหามค่ำ หัวราน้ำแบบนี้มันเกินไป”
“ว่าไงนะ”
“ตอนที่ท่านอาจารย์เค็มโปยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยมีวันที่เลวร้ายอย่างนี้เลยสักวันเดียว”
“ชักจะมากไปแล้ว มีดีอะไรถึงได้มีหน้ามาสั่งสอนต่อหน้าอาจารย์น้อยอย่างนี้ ข้าแค่พาไปเปิดหูเปิดตา ดูละครคาบูกิบ้างอะไรบ้าง มันไม่ดีตรงไหนฮึ”
“แค่ไปดูละครผู้หญิงเล่นถึงกับต้องนอนค้างอ้างแรมทีเดียวรึ อย่างนี้อัฐิของท่านอาจารย์เค็มโปคงต้องร้องไห้อยู่บนแท่นบูชาในห้องพระข้างในนั้นแน่”
“เจ้านี่ ปากคอโอหังนัก เอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว”
กิองโทจิคำรามแล้วถลันเข้าใส่ หลายคนรีบเข้ามาแทรกกลางแยกคู่อริออกจากกันเสียงเอะอะเอ็ดตะโร และขณะที่จะพาไปสงบอารมณ์ในห้องอื่นนั้นเอง ทุกคนก็ได้ยินเสียงครางดังออกมาจากความมืดในห้องติดกันนั้นเอง
“หนวกหู...ไม่รู้รึไงว่ามีคนเจ็บกำลังจะตายอยู่ในนี้ โอย...โอย”
และยังไม่ทันจะเข้าไปดู ใครคนนั้นก็พูดด้วยเสียงของคนใกล้สิ้นแรงต่อไปว่า
“จะทะเลาะกันเองให้มันได้อะไรขึ้นมา อาจารย์น้อยกลับมาแล้ว รีบไปจัดการล้างอายให้พวกเราเดี๋ยวนี้เลย...อย่าปล่อยให้เจ้าซามูไรพเนจรที่นั่งรออยู่ตรงนั้น มีชีวิตกลับออกไปได้เป็นอันขาด เข้าใจนะ...ข้าขอร้อง”
ทุกคนกรูเข้าไปที่ห้องข้าง ๆ ก็พบคนเจ็บอีกหลายคน บางคนส่งเสียงครางพลางทุบพื้นเสื้อทาทามิด้วยความแค้นอยู่ใต้ผ้านวม
ใช่...พวกนี้คือศิษย์สำนักดาบกลุ่มแรกที่ดาหน้าออกไปประดาบไม้กับมูซาชิ ซึ่งแม้ไม่ถึงกับตายแต่มือเท้าก็ถูกฟันจนกระดูกหักไม่มีชิ้นดี
คำพูดของนักดาบผู้บาดเจ็บทำเอาคนอื่นที่รอดพ้นคมดาบไม้ของมูซาชิมาได้ ต่างยืนนิ่งขึงและหน้าชาเหมือนถูกด่า นักรบซามูไรซึ่งเป็นชนชั้นหนึ่งในสังคมนอกเหนือจาก ชาวไร่ชาวนา ช่าง และพ่อค้า ให้ความสำคัญกับ “เกียรติภูมิ” เป็นที่สุดและคราใดที่ถูกย่ำยีเสียเกียรติทำให้ต้องอับอายขายหน้า ก็ถึงกับยอมตายไปพร้อมกับ “ความอับอาย” สมัยนั้นผู้มีอำนาจในแว่นแคว้นต่าง ๆ ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องทำสงครามกันอยู่ตลอด เนื่องจากยังไม่มีระบบการปกครองประเทศที่เป็นปึกแผ่นและสันติสุข แม้แต่เกียวโตก็อยู่ภายใต้การปกครองด้วยกฎหมายที่ยังขาดความสมบูรณ์แบบอยู่มาก ความยึดมั่นในเกียรติภูมิและการยึดถือว่าความอับอายเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้นักรบซามูไรเป็นที่เคารพนับถือของชาวไร่ชาวนา ซึ่งส่งผลให้สังคมมีความสงบสุขตามไปด้วย บ้านเมืองยุคนั้นจึงอยู่มาได้ด้วยการปกครองตนเองของชาวเมืองในลักษณะที่ว่านี้ แม้จะยังไม่มีกฎหมายที่สมบูรณ์แบบก็ตาม
ศิษย์นักดาบสำนักโยชิโอกะก็เช่นกันทุกคนยังเป็นคนหน้าบางที่รู้สึกไวต่อความอับอายผิดกับคนในยุคต่อ ๆ มา หลังสับสนอยู่ชั่วขณะและใบหน้ากลับมามีเลือดฝาดดังเดิม ความอับอายขายหน้าก็พลุ่งพล่านขึ้นมาจนร้อนเร่าไปทั่วร่าง
ศิษย์สำนักดาบกรูสลัดอัตตาของตนไปทางหนึ่ง กรูเข้ามาล้อมรอบเซจูโรด้วยความมุ่งมั่นไปที่จุดหมายเดียวกันคือ
เราต้องล้างอายให้อาจารย์
ทว่า วันนี้เซจูโรไม่เหมือนเคย สีหน้าของอาจารย์น้อยไม่แสดงว่าอยากต่อสู้กับใครเลยแม้แต่คนเดียว ความเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เมื่อคืนคงเริ่มแสดงฤทธิ์เดชแล้วละมัง
“ซามูไรพเนจรคนนั้นอยู่ไหน”
เซจูโรถามพลางคาดแถบหนังที่หน้าผาก เลือกดาบไม้ด้ามหนึ่งจากจำนวนสองด้ามที่ศิษย์เอามาให้เลือก แล้วถือกระชับไว้ด้วยมือขวา
“เจ้านั่นบอกว่าจะรอจนกว่าอาจารย์น้อยจะกลับมา เราก็เลยให้คอยอยู่ในห้องนั้นขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งชี้ไปทางห้องเล็ก ๆ ข้างห้องหนังสือที่หันออกไปทางด้านสวน
5
“ไปเรียกมา”
เซจูโรหลุดคำสั่งออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก ก่อนเดินไปนั่งประจำที่อาจารย์บนยกพื้น ตั้งดาบในมือยันไว้กับพื้น คิดว่าจะพบกับแขกแปลกหน้าแค่ทักทายกัน
“ขอรับ”
ศิษย์สามสี่คนรับคำ ปราดไปที่ทางเข้าด้านข้างโรงฝึก ใส่รองเท้าฟางแล้วตั้งท่าจะวิ่งตัดสวนไปทางห้องหนังสือ กิองโทจิกับอูเอดะและศิษย์รุ่นพี่คนอื่นรีบเข้าไปรั้งเอาไว้
“เดี๋ยว ๆ พวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อน”
แล้วกระซิบอะไรเบา ๆ เซจูโรนั่งอยู่ห่างออกมาจึงไม่ได้ยิน ขณะนั้นคนมากมายส่วนใหญ่เป็นคนของตระกูลโยชิโอกะ ญาติ และศิษย์อาวุโสถูกเรียกมาชุมนุมกันอยู่เต็มห้องฝึก พอมาถึงก็จับกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้างถกเถียงอะไรกันอย่างถึงพริกถึงขิง บ้างออกความคิด บ้างยืนกรานคัดค้าน บ้างเห็นชอบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่า
เมื่อคำนึงถึงตระกูลโยชิโอกะและพิจารณาจากความคิดของคนส่วนใหญ่ที่รู้ดีว่าเซจูโรมีฝีมือระดับใดแล้ว ที่ประชุมเห็นว่าการไปเรียกซามูไรพเนจรผู้อุกอาจคนนั้นมาให้อาจารย์น้อยออกไปประดาบด้วยนั้น ไม่มีประโยชน์อันใดทั้งยังเป็นการเสี่ยงอันตรายอย่างที่สุดสำหรับตระกูลโยชิโอกะ เพราะศิษย์สำนักดาบหลายคนที่ออกไปรับมือล้วนได้รับบาดเจ็บและบางคนถึงตาย หากเซจูโรเกิดพลาดพลั้งพ่ายแพ้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
หลายคนอาจคิดว่าไม่ต้องกังวลอะไรในเมื่อยังมีเด็นชิจิโรน้องชายของเซจูโรอยู่อีกทั้งคน แต่พอดีวันนี้ก็เกิดไม่อยู่เสียอีกตั้งแต่เช้า พูดกันตามจริงลูกชายของปรมาจารย์เค็มโปสองคนนี้ ผู้น้องดูเหมือนจะมีฝีมือดาบเหนือกว่าผู้พี่ แต่เพราะเป็นน้องซึ่งไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเด็นชิจิโรจึงทำตัวเรื่อยเฉื่อยตามสบาย วันนี้ได้ยินว่าออกเดินทางไปเที่ยวอิเซะกับเพื่อน ๆ โดยไม่แจ้งว่าจะกลับเมื่อไร
“เอียงหูมาซิ”
กิองโทจิเข้ามาใกล้เซจูโรแล้วกระซิบอะไรสักอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายหน้าขึง บึ้ง และโกรธเกิดระงับจนต้องเค้นคำพูดออกมา
“...ต้อนมันเข้ามารุมรึ”
“... ... ...”
กิองโทจิถลึงตาห้ามไม่ให้เอะอะแต่ไร้ผล
“...เจ้าพูดเหมือนดูแคลนข้า คิดว่าเซจูโรขี้ขลาดถึงกับยอมเสียชื่อ ด้วยการยกพวกรุมฟันเจ้าซามูไรบ้านนอกคนเดียวนี้เพราะความกลัว ให้ชาวบ้านลือกันไปทั่วหรือยังไง”
“อาจารย์น้อย”
กิองโทจิขึ้นเสียงแข็ง
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นธุระของพวกเราเถิด”
“นี่พวกเจ้าไม่เชื่อฝีมือเซจูโรคนนี้ คิดว่าจะต้องแพ้เจ้าคนที่ชื่อมูซาชิ ที่บังอาจมาท้าทายเราถึงสำนักอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พวกเราเห็นพ้องกันว่าเจ้าซามูไรบ้านนอกคนนั้นมันต่ำต้อยนัก ไม่ควรกับที่อาจารย์น้อยจะลดตัวลงไปต่อกรด้วย เสียดายทั้งฝีมือทั้งเวลา ชนะไปก็ไม่ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น...ปล่อยให้พวกเราจัดการกันเถิด เพราะยังไงก็ปล่อยให้คนที่เข้ามาเหยียบย่ำเกียรติภูมิของเราให้เป็นที่อับอายเช่นนี้ มีชีวิตกลับไปไม่ได้อยู่แล้ว”
ระหว่างที่ต่อปากต่อคำกันอยู่นั้น โรงฝึกเหลือคนไม่ถึงครึ่งของที่มาชุมนุมกันอยู่เต็มเมื่อครู่ก่อน...ต่างคนต่างแฝงตัวหายเข้าไปในความมืดเงียบ ๆ เหมือนฝูงยุง ไปทางสวนบ้าง เข้าไปในตัวบ้านบ้าง บางคนออกไปทางประตูหน้าของโรงฝึกแล้วเดินอ้อมไปทางประตูหลัง
“อาจารย์น้อย เลิกคิดมากเสียที”
กิองโทจิตัดบทก่อนเป่าไฟดับตะเกียงแล้วจัดดาบตั้งท่าเตรียมพร้อม เซจูโรนั่งนิ่งจะว่าโล่งอกก็ใช่แต่ก็ไม่สบอารมณ์อยู่ในส่วนลึก แม้ศิษย์คนโปรดจะพูดจาหว่านล้อมเพียงไร แต่ก็ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตนว่าคนที่สำนักดาบแห่งนี้ดูถูกฝีมืออาจารย์น้อยคนนี้ เซจูโรหวนคิดแล้วเศร้าใจที่ตนเกียจคร้านไม่ได้ตั้งใจฝึกในวิชาดาบเลยหลังจากที่บิดาถึงแก่กรรม
เมื่อเซจูโรตื่นขึ้นจากความครุ่นคิดก็พบว่าตนนั่งอยู่คนเดียวในโรงฝึกอันว่างเปล่า ไม่รู้ว่าคนในบ้านและบรรดาศิษย์สำนักดาบหายไปไหนกันหมด ความมืดและความเงียบสงัดเย็นเยียบราวกับอยู่ที่ก้นบ่อน้ำที่คลอบคลุมไปทั่วทั้งบ้านทำให้เซจูโรทนนั่งนิ่งอยู่ไม่ได้อีกต่อไป นักดาบหนุ่มลุกขึ้นเดินยังหน้าต่างและมองออกไป เห็นดวงไฟในห้องที่แขกแปลกหน้าชื่อมูซาชินั่งรออยู่ส่องแสงริบหรี่อยู่เพียงจุดเดียวท่ามกลางความมืดมิด
6
เปลวไฟตะเกียงหลังบานเลื่อนกรุกระดาษไหวน้อย ๆ เป็นครั้งคราว ท่ามกลางความมืดมิดโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นที่ระเบียงชายคาบ้าน ทางเดินภายในเรือนและห้องหนังสือที่อยู่ติดกัน สายตาวาวใสราวตากบนับคู่ไม่ถ้วนคืบใกล้เข้าไปช้า ๆ และเงียบกริบ...มือกระชับดาบ
“... ... ...”
ดวงตาของกิองโทจิจับจ้องไปที่แสงตะเกียงเผื่อว่าความเคลื่อนไหวของเปลวไฟจะช่วยให้อ่านความเป็นไปภายในห้องได้บ้าง แต่ก็ เอ๊ะ นักดาบหนุ่มนึกฉงนเพราะมันนิ่งและเงียบสงัดจนผิดสังเกต ศิษย์สำนักดาบคนอื่นต่างก็สบตากันด้วยความสงสัย
มิยาโมโตะ มูซาชิเป็นชื่อที่ไม่มีใครได้ยินมาก่อนในเมืองเกียวโตแห่งนี้ แต่ทุกคนที่โรงฝึกวิชาดาบแห่งนี้ต่างก็ประจักษ์ต่อสายตากันมาแล้วว่าหนุ่มบ้านนอกคนนี้มีฝีมือดาบเก่งฉกาจเพียงใด ต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เป็นไปได้ยังไงที่นักรบระดับนั้นจะไม่รู้สึกตัวเลยเมื่อศัตรูลอบเข้ามาประชิดตัวขนาดนี้ ถึงจะศัตรูลักลอบเข้ามาได้อย่างแนบเนียนเพียงใดก็ต้องผิดสังเกตบ้าง คนที่มุ่งหวังจะได้เป็นใหญ่เป็นโตทางทหาร ขืนประมาทเช่นนี้ไม่ว่าจะมีสักกี่ชีวิตก็ไม่พอใช้จนโต
หรือว่านอนหลับ...ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะถูกปล่อยให้รออยู่นานจนอาจเผลอหลับไปก็ได้
ไม่น่าใช่ เพราะมองจากความเป็นคนจิตใจเหี้ยมหาญโอหังแล้ว ซามูไรบ้านนอกคนนี้จะต้องรู้ตัวว่ากำลังจะถูกคุกคาม แต่ไม่ดับไฟเพื่อพรางตาว่าไม่รู้เท่าทัน แต่ที่แท้ยืนถือดาบจังก้าเตรียมตัวพร้อมห้ำหั่นศัตรูคนแรกที่บุกเข้าไป
ใช่...น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า
พอชักจะแน่ใจทุกคนก็ตัวเกร็งขึ้นมาทันที เมื่อคิดขึ้นมาว่าคนที่เลือดเดือดและถลันเข้าไปก่อนจะถูกฟันกระจุยออกมาเป็นคนแรก จึงมองหน้ากันคล้ายถามว่าใครจะเป็นคนเสี่ยงก่อนแล้วกลืนน้ำลายลงคอไปตาม ๆ กัน
“ท่านมิยาโมโตะ”
กิองโทจิร้องเรียกเมื่อเข้าไปถึงประตูเลื่อน
“ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนาน ช่วยเปิดประตูให้ข้าเข้าไปพบหน่อยจะได้ไหม”
ภายในห้องเงียบกริบดังเดิม กิองโทจิชักแน่ใจว่าศัตรูกำลังเตรียมรับมืออยู่จริง จึงส่งสายตาเป็นสัญญาณไปทางพรรคพวกทั้งซ้ายขวา
อย่าปล่อยให้หลุดมือไปได้
แล้วเหวี่ยงตัวกระแทกบานประตูเลื่อนเต็มแรง นักดาบที่กรูตามกันเข้ามาและทันที่ที่ประตูบานเปิดให้เห็นภายในห้องทุกคนก็ชะงักถอยหลังไปก้าวหนึ่งของไม่รู้ตัว ก่อนที่คนหนึ่งจะตะโกนขึ้นว่า บุก เป็นสัญญาณให้ดาหน้ากันเข้าไปเตะทลายประตูทุกบานเข้าไปยืนคว้างอยู่กลางห้อง
“เฮ้ย ?”
“ไม่อยู่นี่หว่า”
“เออ หายไปไหนวะ”
รู้สึกว่าเสียงของผู้บุกรุกจะฟังดูแกร่งขึ้นมาทันทีแรงพอที่จะเปลวไฟจะไหวตามไปด้วย มีหลักฐานหลายอย่างแสดงให้เห็นว่ามูซาชิอยู่ในห้องนี้จนถึงเมื่อราวครู่ก่อนนี้เอง เบาะรองนั่งยังอุ่นกายตัวแสดงว่านั่งอยู่เมื่อตอนที่มีคนเอาตะเกียงเข้ามาวาง กระถางผิงไฟก็ยังวางอยู่ตามที่ทางของมัน มีแต่น้ำชาเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้เย็นอยู่ทั้งถ้วยโดยไม่ได้แตะต้อง
“แกปล่อยให้มันหนีไปได้ไง”
นักดาบคนหนึ่งเดินออกไปที่ระเบียงใต้ชายคาด้านสวน ร้องด่ายามหลายคนที่สั่งให้เฝ้าแขกผู้ไม่พึงประสงค์คนนี้ไว้ไม่ให้คลาดสายตา พลางกระทืบพื้นเร่า ๆ ด้วยความขัดใจ ศิษย์ที่ถูกสั่งให้เป็นยามยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นหนีไปทางไหน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ขอไปห้องสุขาแต่ก็กลับมาทันทีหลังเสร็จธุระแล้วก็ไม่เห็นออกไปไหนอีก ทุกคนพลอยส่ายหัวอย่างฉงนสนเท่ห์ไปด้วย
“หายตัวไปได้ยังไงราวกับเป็นอากาศธาตุ”
คนหนึ่งบ่นอย่างหัวเสีย ทันใดนั้นเองอีกคนหนึ่งที่ยื่นคอเข้าไปดูตรงชั้นวางของก็ร้องลั่นพลางชี้ไปที่พื้นห้องที่ไม้กระดายถูกเลาะออกเป็นช่อง
“นี่ นี่...ตรงนี้เอง”
“ดูจากตะเกียงที่ยังสว่างอยู่ แสดงว่ายังคงไปได้ไม่ไกลหรอก”
“รีบวิ่งตามไปเร็ว”
เมื่อคิดว่าศัตรูเปิดหนีไปด้วยความขี้ขลาด บรรดาศิษย์สำนักดาบก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง วิ่งหน้าตั้งกระจายตัวกันออกทางประตูเล็ก ประตูใหญ่ ประตูหลังอย่างเอาเป็นเอาตัวหมายจับให้มั่นคั้นให้ตาย
และแทบจะในทันทีนั้นใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นสุดเสียง
“เจอแล้ว”
ยังมาทันขาดคำ ใครคนหนึ่งก็กระโจนออกมาจากเงามืดข้างซุ้มประตูใหญ่ด้านหน้า วิ่งข้ามถนนเลี้ยวหายเข้าไปในซอยด้วยความว่องไวปราดเปรียวราวกระต่ายป่าที่หลุดจากบ่วงแร้วของนายพราน
7
ศิษย์สำนักดาบกลุ่มใหญ่กวดตามไปไม่ลดละ พอสุดซอยชายคนนั้นก็ย่อตัวลงคล้ายค้างคาวแล้วแทรกตัวหายวับไปทางด้านข้าง
เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่วิ่งไปมาทางโน้นทางนี้ดักหน้าดักหลังกันเองสับสนไปหมด จนมาถึงละแวกบ้านที่มืดสลัวมีทางตัดผ่านวิหารคูยาโดกับบริเวณวัดฮนโนจิที่ถูกไฟไหม้ ใครคนหนึ่งก็ตะโกนลั่นไปทั้งบาง
“ไอ้ขี้ขลาด”
“หน้าด้าน ไม่มียางอาย”
“อวดดีนักนะมึง ถึงคราวพวกข้าบ้างละทีนี้”
“ยอมให้จับเสียดี ๆ”
ในที่สุดชายคนนั้นก็ถูกฝ่ายไล่ล่าตะครุบตัวเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่ยอมให้จับดี ๆ ทั้งเตะทั้งถีบสุดกำลังทั้งยังร้องโอดโอยเสียงขรมถมเถ และระหว่างที่ดิ้นรนให้พ้นจากการจับกุมอยู่นั้น ดูเหมือนจะกลับมีแรงขึ้นมาอีก ทีนี้แทนที่จะหนีหัวปักหัวปำกลับหันหน้าเข้าสู้อย่างหมาจนตรอก นักดาบสองสามคนจึงช่วยกันเผด็จศึกโดยจับคอเสื้อกระชากเข้ามาแล้วเหวี่ยงลงนอนสิ้นท่าอยู่กับพื้น
“โอ๊ย”
“แก!”
“เดี๋ยว เดี๋ยว”
คนหนึ่งร้องห้ามขัดจังหวะคมดาบกระหายเลือดเอาไว้ได้ทัน
“ผิดคนแล้วเอ็ง”
“อ้าว เฮ้ย”
“นี่ไม่ใช่มูซาชิสักหน่อย”
กิองโทจิวิ่งตามมาทันพอดีกับที่คณะไล่ล่ากำลังงงและหัวเสียที่ตามจับผิดคน
“จับตัวได้แล้วรึ”
“จะว่าได้ก็ได้ นี่ไง”
“อ้าว นี่มัน...”
“ท่านรู้จักรึ”
“อือ ข้าเพิ่งพบวันนี้เอง ที่ร้านน้ำชาโยโมงิ”
“โห ?”
สายตาทุกคู่ของศิษย์สำนักดาบจ้องมองมาที่มาตาฮาจิซึ่งกำลังจัดผมและเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
“เจ้าของร้านน้ำชารึ”
“เจ้าของร้านเป็นผู้หญิง นางบอกว่าอยู่กินกันเฉย ๆ ประเภทแมงดาละมัง”
“แต่เจ้านี่มีพิรุธนะท่าน มาทำอะไรอยู่ที่หน้าประตูใหญ่บ้านเราก็ไม่รู้ หรือว่ามาแอบดูอะไร”
กิองโทจิเลิกสนใจกับมาตาฮาจิ และออกเดินอย่างเร่งด่วน
“พวกเจ้ามัวแต่มายุ่งอยู่กับเจ้านี่ ป่านนี้มูซาชิหนีหายไปไหนแล้วไม่รู้ รีบแยกย้ายกันไปตามหาด่วนเลย ไปสืบหามาให้ได้ว่าเจ้านั่นพักแรมอยู่ที่ไหน”
“จริงด้วยต้องไปหาก่อนเลยว่าพักที่ไหน”
มาตาฮาจิลุกขึ้นยืนคอตกหันไปทางคูของวัดฮนมาจิ จนนักดาบคนสุดท้ายของกลุ่มกำลังจะเดินผ่านไป เจ้าหนุ่มจึงฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงร้องเรียกเอาไว้
“นี่แน่ะ เจ้า”
“อะไรรึ”
มาตาฮาจิเดินเข้าไปหาและถามว่า
“ชายชื่อมูซาชิที่ไปโรงฝึกวิชาดาบวันนี้ อายุสักเท่าไรรู้ไหม”
“ข้าจะไปรู้ได้ไง”
“อายุพอ ๆ กับเจ้าได้ไหม”
“คงจะราวนั้น”
“บอกหรือเปล่าว่าเกิดที่หมู่บ้านมิยาโมโตะ ในแคว้นซากุ”
“ใช่”
“ชื่อมูซาชินั่น ใช้อักษรตัวเดียวกับที่อ่านว่าทาเกโซใช่หรือเปล่า”
“เจ้าจะถามไปทำไม รู้จักกันรึ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“ข้าว่าถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่ามาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ดีกว่า เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวอย่างวันนี้อีกหรอก”
ว่าแล้วก็วิ่งตามเพื่อน ๆ หายไปในความมืด มาตาฮาจิเดินช้า ๆ ตามตามคันคูในความมืด และหยุดยืนแหงนดูดาวบนฟากฟ้าเป็นครั้งคราว เหมือนคนพเนจรที่ไร้จุดหมาย
“ใช่จริง ๆ ด้วย ทาเกโซเปลี่ยนชื่อเป็นมูซาชิ ออกเดินทางแสวงหาความรู้และฝึกวิชาดาบ คงจะเปลี่ยนไปมากจากแต่ก่อน”
มาตาฮาจิซุกมือทั้งสองลงในผ้าคาดเอว เดินเตะก้อนหินไปเรื่อย ๆ และทุกครั้งก็จะนึกเห็นหน้าเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก
“ทาเกโซอยู่ในเกียวโตนี้เอง แต่จะให้เพื่อนพบข้าในสภาพเช่นนี้ไม่ได้ ข้าก็หยิ่งพอตัวคงจะทนให้เพื่อนดูถูกดูแคลนไม่ได้...แต่ทาเกโซกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าพวกศิษย์สำนักโยชิโอกะรู้เข้าอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ข้าอยากรู้ว่าเจ้าอยู่ไหน... ทาเกโซ อยากเตือนให้เจ้าระวังตัวเอาไว้”