xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 2 น้ำ ตอน กงล้อแห่งโชคชะตา (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


ความเดิม
ทว่า มูซาชิกลับเป็นฝ่ายยุติการนองเลือด บอกว่า


สู้กันไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อจากนี้ขอให้เป็นเรื่องของข้ากับท่านอาจารย์เซอิจูโรเถิด


เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องจัดที่ทางให้มูซาชินั่งรอแล้วส่งคนอีกหลาย ๆ คนรีบไปตามตัวเซอิจูโรมาให้ได้ และให้คนหนึ่งวิ่งไปตามหมอมาทำแผลคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสาหัสที่ห้องด้านใน


หมอกลับไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงเรียกชื่อคนที่ถูกฟันบาดเจ็บสองสามครั้งดังลอดมาจากห้องด้านในซึ่งจุดไฟสว่างอยู่ คนที่เหลืออยู่ในโรงฝึกกรูกันเข้าไปดูก็ปรากฏว่านักดาบสองคนในจำนวนที่นอนเรียงกันอยู่หกคนสิ้นใจตายเสียแล้ว


4

“...หมดหวัง”

นักดาบที่นั่งหน้าซีดขาวเรียงกันอยู่ข้างหมอนเพื่อนผู้ชะตาขาด ถอนใจลึกล้ำด้วยความรันทดเกือบพร้อมกัน

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของคนหลายคนดังสับสนอยู่ที่ประตูทางเข้า และอึดใจต่อมาก็ย่ำกึง ๆ ด้วยความเร่งรีบผ่านโรงฝึกตรงมาที่ห้องพยาบาลคนเจ็บ

โยชิโอกะ เซจูโรกับกิองโทจิเดินตามกันเข้ามา สีหน้าของทั้งสองเย็นเยียบราวเพ่งผุดขึ้นมาจากธารน้ำแข็ง

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้ทุเรศทุรังอย่างนี้”

โทจิกราดเกรี้ยววางก้ามเช่นเคย ถือตัวว่าเป็นคนของครอบครัวโยชิโอกะทั้งยังเป็นนักดาบรุ่นพี่อยู่ในโรงฝึกมานานกว่าใคร ทำเอาศิษย์สำนักดาบที่อารมณ์กำลังอ่อนไหวนั่งน้ำตาคลอกันอยู่ข้างหมอนผู้ตายขัดเคืองใจขึ้นมาทันที ต่างทำหน้าถมึงทึงเหลือบตาขึ้นจับจ้องมาที่ผู้พูด คนหนึ่งปากกล้าสวนขึ้นเสียงแข็ง

“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ ท่านเองนั่นแหละที่ต้องเป็นคนชี้แจง พาอาจารย์น้อยไปเที่ยวบ้างไม่มีใครว่า แต่หายไปหามรุ่งหามค่ำ หัวราน้ำแบบนี้มันเกินไป”

“ว่าไงนะ”

“ตอนที่ท่านอาจารย์เค็มโปยังมีชีวิตอยู่ ไม่เคยมีวันที่เลวร้ายอย่างนี้เลยสักวันเดียว”

“ชักจะมากไปแล้ว มีดีอะไรถึงได้มีหน้ามาสั่งสอนต่อหน้าอาจารย์น้อยอย่างนี้ ข้าแค่พาไปเปิดหูเปิดตา ดูละครคาบูกิบ้างอะไรบ้าง มันไม่ดีตรงไหนฮึ”

“แค่ไปดูละครผู้หญิงเล่นถึงกับต้องนอนค้างอ้างแรมทีเดียวรึ อย่างนี้อัฐิของท่านอาจารย์เค็มโปคงต้องร้องไห้อยู่บนแท่นบูชาในห้องพระข้างในนั้นแน่”

“เจ้านี่ ปากคอโอหังนัก เอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว”

กิองโทจิคำรามแล้วถลันเข้าใส่ หลายคนรีบเข้ามาแทรกกลางแยกคู่อริออกจากกันเสียงเอะอะเอ็ดตะโร และขณะที่จะพาไปสงบอารมณ์ในห้องอื่นนั้นเอง ทุกคนก็ได้ยินเสียงครางดังออกมาจากความมืดในห้องติดกันนั้นเอง

“หนวกหู...ไม่รู้รึไงว่ามีคนเจ็บกำลังจะตายอยู่ในนี้ โอย...โอย”

และยังไม่ทันจะเข้าไปดู ใครคนนั้นก็พูดด้วยเสียงของคนใกล้สิ้นแรงต่อไปว่า

“จะทะเลาะกันเองให้มันได้อะไรขึ้นมา อาจารย์น้อยกลับมาแล้ว รีบไปจัดการล้างอายให้พวกเราเดี๋ยวนี้เลย...อย่าปล่อยให้เจ้าซามูไรพเนจรที่นั่งรออยู่ตรงนั้น มีชีวิตกลับออกไปได้เป็นอันขาด เข้าใจนะ...ข้าขอร้อง”

ทุกคนกรูเข้าไปที่ห้องข้าง ๆ ก็พบคนเจ็บอีกหลายคน บางคนส่งเสียงครางพลางทุบพื้นเสื้อทาทามิด้วยความแค้นอยู่ใต้ผ้านวม 

ใช่...พวกนี้คือศิษย์สำนักดาบกลุ่มแรกที่ดาหน้าออกไปประดาบไม้กับมูซาชิ ซึ่งแม้ไม่ถึงกับตายแต่มือเท้าก็ถูกฟันจนกระดูกหักไม่มีชิ้นดี

คำพูดของนักดาบผู้บาดเจ็บทำเอาคนอื่นที่รอดพ้นคมดาบไม้ของมูซาชิมาได้ ต่างยืนนิ่งขึงและหน้าชาเหมือนถูกด่า นักรบซามูไรซึ่งเป็นชนชั้นหนึ่งในสังคมนอกเหนือจาก ชาวไร่ชาวนา ช่าง และพ่อค้า ให้ความสำคัญกับ “เกียรติภูมิ” เป็นที่สุดและคราใดที่ถูกย่ำยีเสียเกียรติทำให้ต้องอับอายขายหน้า ก็ถึงกับยอมตายไปพร้อมกับ “ความอับอาย” สมัยนั้นผู้มีอำนาจในแว่นแคว้นต่าง ๆ ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องทำสงครามกันอยู่ตลอด เนื่องจากยังไม่มีระบบการปกครองประเทศที่เป็นปึกแผ่นและสันติสุข แม้แต่เกียวโตก็อยู่ภายใต้การปกครองด้วยกฎหมายที่ยังขาดความสมบูรณ์แบบอยู่มาก ความยึดมั่นในเกียรติภูมิและการยึดถือว่าความอับอายเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้นักรบซามูไรเป็นที่เคารพนับถือของชาวไร่ชาวนา ซึ่งส่งผลให้สังคมมีความสงบสุขตามไปด้วย บ้านเมืองยุคนั้นจึงอยู่มาได้ด้วยการปกครองตนเองของชาวเมืองในลักษณะที่ว่านี้ แม้จะยังไม่มีกฎหมายที่สมบูรณ์แบบก็ตาม

ศิษย์นักดาบสำนักโยชิโอกะก็เช่นกันทุกคนยังเป็นคนหน้าบางที่รู้สึกไวต่อความอับอายผิดกับคนในยุคต่อ ๆ มา หลังสับสนอยู่ชั่วขณะและใบหน้ากลับมามีเลือดฝาดดังเดิม ความอับอายขายหน้าก็พลุ่งพล่านขึ้นมาจนร้อนเร่าไปทั่วร่าง

ศิษย์สำนักดาบกรูสลัดอัตตาของตนไปทางหนึ่ง กรูเข้ามาล้อมรอบเซจูโรด้วยความมุ่งมั่นไปที่จุดหมายเดียวกันคือ
เราต้องล้างอายให้อาจารย์ 

ทว่า วันนี้เซจูโรไม่เหมือนเคย สีหน้าของอาจารย์น้อยไม่แสดงว่าอยากต่อสู้กับใครเลยแม้แต่คนเดียว ความเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เมื่อคืนคงเริ่มแสดงฤทธิ์เดชแล้วละมัง

“ซามูไรพเนจรคนนั้นอยู่ไหน”

เซจูโรถามพลางคาดแถบหนังที่หน้าผาก เลือกดาบไม้ด้ามหนึ่งจากจำนวนสองด้ามที่ศิษย์เอามาให้เลือก แล้วถือกระชับไว้ด้วยมือขวา

“เจ้านั่นบอกว่าจะรอจนกว่าอาจารย์น้อยจะกลับมา เราก็เลยให้คอยอยู่ในห้องนั้นขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งชี้ไปทางห้องเล็ก ๆ ข้างห้องหนังสือที่หันออกไปทางด้านสวน

5

“ไปเรียกมา”

เซจูโรหลุดคำสั่งออกมาจากริมฝีปากแห้งผาก ก่อนเดินไปนั่งประจำที่อาจารย์บนยกพื้น ตั้งดาบในมือยันไว้กับพื้น คิดว่าจะพบกับแขกแปลกหน้าแค่ทักทายกัน

“ขอรับ”

ศิษย์สามสี่คนรับคำ ปราดไปที่ทางเข้าด้านข้างโรงฝึก ใส่รองเท้าฟางแล้วตั้งท่าจะวิ่งตัดสวนไปทางห้องหนังสือ กิองโทจิกับอูเอดะและศิษย์รุ่นพี่คนอื่นรีบเข้าไปรั้งเอาไว้ 

“เดี๋ยว ๆ พวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อน”

แล้วกระซิบอะไรเบา ๆ เซจูโรนั่งอยู่ห่างออกมาจึงไม่ได้ยิน ขณะนั้นคนมากมายส่วนใหญ่เป็นคนของตระกูลโยชิโอกะ ญาติ และศิษย์อาวุโสถูกเรียกมาชุมนุมกันอยู่เต็มห้องฝึก พอมาถึงก็จับกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้างถกเถียงอะไรกันอย่างถึงพริกถึงขิง บ้างออกความคิด บ้างยืนกรานคัดค้าน บ้างเห็นชอบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่า

เมื่อคำนึงถึงตระกูลโยชิโอกะและพิจารณาจากความคิดของคนส่วนใหญ่ที่รู้ดีว่าเซจูโรมีฝีมือระดับใดแล้ว ที่ประชุมเห็นว่าการไปเรียกซามูไรพเนจรผู้อุกอาจคนนั้นมาให้อาจารย์น้อยออกไปประดาบด้วยนั้น ไม่มีประโยชน์อันใดทั้งยังเป็นการเสี่ยงอันตรายอย่างที่สุดสำหรับตระกูลโยชิโอกะ เพราะศิษย์สำนักดาบหลายคนที่ออกไปรับมือล้วนได้รับบาดเจ็บและบางคนถึงตาย หากเซจูโรเกิดพลาดพลั้งพ่ายแพ้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่

หลายคนอาจคิดว่าไม่ต้องกังวลอะไรในเมื่อยังมีเด็นชิจิโรน้องชายของเซจูโรอยู่อีกทั้งคน แต่พอดีวันนี้ก็เกิดไม่อยู่เสียอีกตั้งแต่เช้า พูดกันตามจริงลูกชายของปรมาจารย์เค็มโปสองคนนี้ ผู้น้องดูเหมือนจะมีฝีมือดาบเหนือกว่าผู้พี่ แต่เพราะเป็นน้องซึ่งไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเด็นชิจิโรจึงทำตัวเรื่อยเฉื่อยตามสบาย วันนี้ได้ยินว่าออกเดินทางไปเที่ยวอิเซะกับเพื่อน ๆ โดยไม่แจ้งว่าจะกลับเมื่อไร

“เอียงหูมาซิ”

กิองโทจิเข้ามาใกล้เซจูโรแล้วกระซิบอะไรสักอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายหน้าขึง บึ้ง และโกรธเกิดระงับจนต้องเค้นคำพูดออกมา

“...ต้อนมันเข้ามารุมรึ”

“... ... ...”

กิองโทจิถลึงตาห้ามไม่ให้เอะอะแต่ไร้ผล

“...เจ้าพูดเหมือนดูแคลนข้า คิดว่าเซจูโรขี้ขลาดถึงกับยอมเสียชื่อ ด้วยการยกพวกรุมฟันเจ้าซามูไรบ้านนอกคนเดียวนี้เพราะความกลัว ให้ชาวบ้านลือกันไปทั่วหรือยังไง”

“อาจารย์น้อย”

กิองโทจิขึ้นเสียงแข็ง

“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นธุระของพวกเราเถิด”

“นี่พวกเจ้าไม่เชื่อฝีมือเซจูโรคนนี้ คิดว่าจะต้องแพ้เจ้าคนที่ชื่อมูซาชิ ที่บังอาจมาท้าทายเราถึงสำนักอย่างนั้นรึ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น พวกเราเห็นพ้องกันว่าเจ้าซามูไรบ้านนอกคนนั้นมันต่ำต้อยนัก ไม่ควรกับที่อาจารย์น้อยจะลดตัวลงไปต่อกรด้วย เสียดายทั้งฝีมือทั้งเวลา ชนะไปก็ไม่ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น...ปล่อยให้พวกเราจัดการกันเถิด เพราะยังไงก็ปล่อยให้คนที่เข้ามาเหยียบย่ำเกียรติภูมิของเราให้เป็นที่อับอายเช่นนี้ มีชีวิตกลับไปไม่ได้อยู่แล้ว”

ระหว่างที่ต่อปากต่อคำกันอยู่นั้น โรงฝึกเหลือคนไม่ถึงครึ่งของที่มาชุมนุมกันอยู่เต็มเมื่อครู่ก่อน...ต่างคนต่างแฝงตัวหายเข้าไปในความมืดเงียบ ๆ เหมือนฝูงยุง ไปทางสวนบ้าง เข้าไปในตัวบ้านบ้าง บางคนออกไปทางประตูหน้าของโรงฝึกแล้วเดินอ้อมไปทางประตูหลัง

“อาจารย์น้อย เลิกคิดมากเสียที”

กิองโทจิตัดบทก่อนเป่าไฟดับตะเกียงแล้วจัดดาบตั้งท่าเตรียมพร้อม เซจูโรนั่งนิ่งจะว่าโล่งอกก็ใช่แต่ก็ไม่สบอารมณ์อยู่ในส่วนลึก แม้ศิษย์คนโปรดจะพูดจาหว่านล้อมเพียงไร แต่ก็ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตนว่าคนที่สำนักดาบแห่งนี้ดูถูกฝีมืออาจารย์น้อยคนนี้ เซจูโรหวนคิดแล้วเศร้าใจที่ตนเกียจคร้านไม่ได้ตั้งใจฝึกในวิชาดาบเลยหลังจากที่บิดาถึงแก่กรรม

เมื่อเซจูโรตื่นขึ้นจากความครุ่นคิดก็พบว่าตนนั่งอยู่คนเดียวในโรงฝึกอันว่างเปล่า ไม่รู้ว่าคนในบ้านและบรรดาศิษย์สำนักดาบหายไปไหนกันหมด ความมืดและความเงียบสงัดเย็นเยียบราวกับอยู่ที่ก้นบ่อน้ำที่คลอบคลุมไปทั่วทั้งบ้านทำให้เซจูโรทนนั่งนิ่งอยู่ไม่ได้อีกต่อไป นักดาบหนุ่มลุกขึ้นเดินยังหน้าต่างและมองออกไป เห็นดวงไฟในห้องที่แขกแปลกหน้าชื่อมูซาชินั่งรออยู่ส่องแสงริบหรี่อยู่เพียงจุดเดียวท่ามกลางความมืดมิด

6

เปลวไฟตะเกียงหลังบานเลื่อนกรุกระดาษไหวน้อย ๆ เป็นครั้งคราว ท่ามกลางความมืดมิดโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นที่ระเบียงชายคาบ้าน ทางเดินภายในเรือนและห้องหนังสือที่อยู่ติดกัน สายตาวาวใสราวตากบนับคู่ไม่ถ้วนคืบใกล้เข้าไปช้า ๆ และเงียบกริบ...มือกระชับดาบ 

“... ... ...”

ดวงตาของกิองโทจิจับจ้องไปที่แสงตะเกียงเผื่อว่าความเคลื่อนไหวของเปลวไฟจะช่วยให้อ่านความเป็นไปภายในห้องได้บ้าง แต่ก็ เอ๊ะ นักดาบหนุ่มนึกฉงนเพราะมันนิ่งและเงียบสงัดจนผิดสังเกต ศิษย์สำนักดาบคนอื่นต่างก็สบตากันด้วยความสงสัย

มิยาโมโตะ มูซาชิเป็นชื่อที่ไม่มีใครได้ยินมาก่อนในเมืองเกียวโตแห่งนี้ แต่ทุกคนที่โรงฝึกวิชาดาบแห่งนี้ต่างก็ประจักษ์ต่อสายตากันมาแล้วว่าหนุ่มบ้านนอกคนนี้มีฝีมือดาบเก่งฉกาจเพียงใด ต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เป็นไปได้ยังไงที่นักรบระดับนั้นจะไม่รู้สึกตัวเลยเมื่อศัตรูลอบเข้ามาประชิดตัวขนาดนี้ ถึงจะศัตรูลักลอบเข้ามาได้อย่างแนบเนียนเพียงใดก็ต้องผิดสังเกตบ้าง คนที่มุ่งหวังจะได้เป็นใหญ่เป็นโตทางทหาร ขืนประมาทเช่นนี้ไม่ว่าจะมีสักกี่ชีวิตก็ไม่พอใช้จนโต

หรือว่านอนหลับ...ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะถูกปล่อยให้รออยู่นานจนอาจเผลอหลับไปก็ได้

ไม่น่าใช่ เพราะมองจากความเป็นคนจิตใจเหี้ยมหาญโอหังแล้ว ซามูไรบ้านนอกคนนี้จะต้องรู้ตัวว่ากำลังจะถูกคุกคาม แต่ไม่ดับไฟเพื่อพรางตาว่าไม่รู้เท่าทัน แต่ที่แท้ยืนถือดาบจังก้าเตรียมตัวพร้อมห้ำหั่นศัตรูคนแรกที่บุกเข้าไป

ใช่...น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า

พอชักจะแน่ใจทุกคนก็ตัวเกร็งขึ้นมาทันที เมื่อคิดขึ้นมาว่าคนที่เลือดเดือดและถลันเข้าไปก่อนจะถูกฟันกระจุยออกมาเป็นคนแรก จึงมองหน้ากันคล้ายถามว่าใครจะเป็นคนเสี่ยงก่อนแล้วกลืนน้ำลายลงคอไปตาม ๆ กัน

“ท่านมิยาโมโตะ”

กิองโทจิร้องเรียกเมื่อเข้าไปถึงประตูเลื่อน

“ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนาน ช่วยเปิดประตูให้ข้าเข้าไปพบหน่อยจะได้ไหม”

ภายในห้องเงียบกริบดังเดิม กิองโทจิชักแน่ใจว่าศัตรูกำลังเตรียมรับมืออยู่จริง จึงส่งสายตาเป็นสัญญาณไปทางพรรคพวกทั้งซ้ายขวา

อย่าปล่อยให้หลุดมือไปได้

แล้วเหวี่ยงตัวกระแทกบานประตูเลื่อนเต็มแรง นักดาบที่กรูตามกันเข้ามาและทันที่ที่ประตูบานเปิดให้เห็นภายในห้องทุกคนก็ชะงักถอยหลังไปก้าวหนึ่งของไม่รู้ตัว ก่อนที่คนหนึ่งจะตะโกนขึ้นว่า บุก เป็นสัญญาณให้ดาหน้ากันเข้าไปเตะทลายประตูทุกบานเข้าไปยืนคว้างอยู่กลางห้อง

“เฮ้ย ?”

“ไม่อยู่นี่หว่า”

“เออ หายไปไหนวะ”

รู้สึกว่าเสียงของผู้บุกรุกจะฟังดูแกร่งขึ้นมาทันทีแรงพอที่จะเปลวไฟจะไหวตามไปด้วย มีหลักฐานหลายอย่างแสดงให้เห็นว่ามูซาชิอยู่ในห้องนี้จนถึงเมื่อราวครู่ก่อนนี้เอง เบาะรองนั่งยังอุ่นกายตัวแสดงว่านั่งอยู่เมื่อตอนที่มีคนเอาตะเกียงเข้ามาวาง กระถางผิงไฟก็ยังวางอยู่ตามที่ทางของมัน มีแต่น้ำชาเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้เย็นอยู่ทั้งถ้วยโดยไม่ได้แตะต้อง

“แกปล่อยให้มันหนีไปได้ไง”

นักดาบคนหนึ่งเดินออกไปที่ระเบียงใต้ชายคาด้านสวน ร้องด่ายามหลายคนที่สั่งให้เฝ้าแขกผู้ไม่พึงประสงค์คนนี้ไว้ไม่ให้คลาดสายตา พลางกระทืบพื้นเร่า ๆ ด้วยความขัดใจ ศิษย์ที่ถูกสั่งให้เป็นยามยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นหนีไปทางไหน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ขอไปห้องสุขาแต่ก็กลับมาทันทีหลังเสร็จธุระแล้วก็ไม่เห็นออกไปไหนอีก ทุกคนพลอยส่ายหัวอย่างฉงนสนเท่ห์ไปด้วย

“หายตัวไปได้ยังไงราวกับเป็นอากาศธาตุ”

คนหนึ่งบ่นอย่างหัวเสีย ทันใดนั้นเองอีกคนหนึ่งที่ยื่นคอเข้าไปดูตรงชั้นวางของก็ร้องลั่นพลางชี้ไปที่พื้นห้องที่ไม้กระดายถูกเลาะออกเป็นช่อง

“นี่ นี่...ตรงนี้เอง”

“ดูจากตะเกียงที่ยังสว่างอยู่ แสดงว่ายังคงไปได้ไม่ไกลหรอก”

“รีบวิ่งตามไปเร็ว”

เมื่อคิดว่าศัตรูเปิดหนีไปด้วยความขี้ขลาด บรรดาศิษย์สำนักดาบก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง วิ่งหน้าตั้งกระจายตัวกันออกทางประตูเล็ก ประตูใหญ่ ประตูหลังอย่างเอาเป็นเอาตัวหมายจับให้มั่นคั้นให้ตาย

และแทบจะในทันทีนั้นใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นสุดเสียง 

“เจอแล้ว”

ยังมาทันขาดคำ ใครคนหนึ่งก็กระโจนออกมาจากเงามืดข้างซุ้มประตูใหญ่ด้านหน้า วิ่งข้ามถนนเลี้ยวหายเข้าไปในซอยด้วยความว่องไวปราดเปรียวราวกระต่ายป่าที่หลุดจากบ่วงแร้วของนายพราน

7

ศิษย์สำนักดาบกลุ่มใหญ่กวดตามไปไม่ลดละ พอสุดซอยชายคนนั้นก็ย่อตัวลงคล้ายค้างคาวแล้วแทรกตัวหายวับไปทางด้านข้าง
เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่วิ่งไปมาทางโน้นทางนี้ดักหน้าดักหลังกันเองสับสนไปหมด จนมาถึงละแวกบ้านที่มืดสลัวมีทางตัดผ่านวิหารคูยาโดกับบริเวณวัดฮนโนจิที่ถูกไฟไหม้ ใครคนหนึ่งก็ตะโกนลั่นไปทั้งบาง

“ไอ้ขี้ขลาด”

“หน้าด้าน ไม่มียางอาย”

“อวดดีนักนะมึง ถึงคราวพวกข้าบ้างละทีนี้”

“ยอมให้จับเสียดี ๆ”

ในที่สุดชายคนนั้นก็ถูกฝ่ายไล่ล่าตะครุบตัวเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่ยอมให้จับดี ๆ ทั้งเตะทั้งถีบสุดกำลังทั้งยังร้องโอดโอยเสียงขรมถมเถ และระหว่างที่ดิ้นรนให้พ้นจากการจับกุมอยู่นั้น ดูเหมือนจะกลับมีแรงขึ้นมาอีก ทีนี้แทนที่จะหนีหัวปักหัวปำกลับหันหน้าเข้าสู้อย่างหมาจนตรอก นักดาบสองสามคนจึงช่วยกันเผด็จศึกโดยจับคอเสื้อกระชากเข้ามาแล้วเหวี่ยงลงนอนสิ้นท่าอยู่กับพื้น

“โอ๊ย”

“แก!”

“เดี๋ยว เดี๋ยว”

คนหนึ่งร้องห้ามขัดจังหวะคมดาบกระหายเลือดเอาไว้ได้ทัน 

“ผิดคนแล้วเอ็ง”

“อ้าว เฮ้ย”

“นี่ไม่ใช่มูซาชิสักหน่อย”

กิองโทจิวิ่งตามมาทันพอดีกับที่คณะไล่ล่ากำลังงงและหัวเสียที่ตามจับผิดคน

“จับตัวได้แล้วรึ”

“จะว่าได้ก็ได้ นี่ไง”

“อ้าว นี่มัน...”

“ท่านรู้จักรึ”

“อือ ข้าเพิ่งพบวันนี้เอง ที่ร้านน้ำชาโยโมงิ”

“โห ?”

สายตาทุกคู่ของศิษย์สำนักดาบจ้องมองมาที่มาตาฮาจิซึ่งกำลังจัดผมและเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

“เจ้าของร้านน้ำชารึ”

“เจ้าของร้านเป็นผู้หญิง นางบอกว่าอยู่กินกันเฉย ๆ ประเภทแมงดาละมัง”

“แต่เจ้านี่มีพิรุธนะท่าน มาทำอะไรอยู่ที่หน้าประตูใหญ่บ้านเราก็ไม่รู้ หรือว่ามาแอบดูอะไร”

กิองโทจิเลิกสนใจกับมาตาฮาจิ และออกเดินอย่างเร่งด่วน

“พวกเจ้ามัวแต่มายุ่งอยู่กับเจ้านี่ ป่านนี้มูซาชิหนีหายไปไหนแล้วไม่รู้ รีบแยกย้ายกันไปตามหาด่วนเลย ไปสืบหามาให้ได้ว่าเจ้านั่นพักแรมอยู่ที่ไหน”

“จริงด้วยต้องไปหาก่อนเลยว่าพักที่ไหน”

มาตาฮาจิลุกขึ้นยืนคอตกหันไปทางคูของวัดฮนมาจิ จนนักดาบคนสุดท้ายของกลุ่มกำลังจะเดินผ่านไป เจ้าหนุ่มจึงฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงร้องเรียกเอาไว้

“นี่แน่ะ เจ้า”

“อะไรรึ”

มาตาฮาจิเดินเข้าไปหาและถามว่า

“ชายชื่อมูซาชิที่ไปโรงฝึกวิชาดาบวันนี้ อายุสักเท่าไรรู้ไหม”

“ข้าจะไปรู้ได้ไง”

“อายุพอ ๆ กับเจ้าได้ไหม”

“คงจะราวนั้น”

“บอกหรือเปล่าว่าเกิดที่หมู่บ้านมิยาโมโตะ ในแคว้นซากุ”

“ใช่”

“ชื่อมูซาชินั่น ใช้อักษรตัวเดียวกับที่อ่านว่าทาเกโซใช่หรือเปล่า”

“เจ้าจะถามไปทำไม รู้จักกันรึ”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

“ข้าว่าถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่ามาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ดีกว่า เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวอย่างวันนี้อีกหรอก”

ว่าแล้วก็วิ่งตามเพื่อน ๆ หายไปในความมืด มาตาฮาจิเดินช้า ๆ ตามตามคันคูในความมืด และหยุดยืนแหงนดูดาวบนฟากฟ้าเป็นครั้งคราว เหมือนคนพเนจรที่ไร้จุดหมาย

“ใช่จริง ๆ ด้วย ทาเกโซเปลี่ยนชื่อเป็นมูซาชิ ออกเดินทางแสวงหาความรู้และฝึกวิชาดาบ คงจะเปลี่ยนไปมากจากแต่ก่อน”

มาตาฮาจิซุกมือทั้งสองลงในผ้าคาดเอว เดินเตะก้อนหินไปเรื่อย ๆ และทุกครั้งก็จะนึกเห็นหน้าเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก

“ทาเกโซอยู่ในเกียวโตนี้เอง แต่จะให้เพื่อนพบข้าในสภาพเช่นนี้ไม่ได้ ข้าก็หยิ่งพอตัวคงจะทนให้เพื่อนดูถูกดูแคลนไม่ได้...แต่ทาเกโซกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าพวกศิษย์สำนักโยชิโอกะรู้เข้าอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ข้าอยากรู้ว่าเจ้าอยู่ไหน... ทาเกโซ อยากเตือนให้เจ้าระวังตัวเอาไว้”


กำลังโหลดความคิดเห็น