จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
ท่าทางของนักสืบจมูกมดดูเอาจริงเอาจังมาก
“คงไม่เหมาะละมังครับ” ผมค้าน “เราก็ทำท่านักสืบกันไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็เหลวทั้งเพ ถกกันไปถกกันมาแค่สนุกปากว่าคนนั้นคนนี้มีพฤติกรรมน่าสงสัยอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมรู้ว่าสุดท้ายก็สรุปไม่ได้หรอกครับว่าใครคือฆาตกรตัวจริง ผมเองก็คนหนึ่งละ ถ้าไม่มีหลักฐานอะไรที่มั่นคงพอก็ไม่อยากพูดออกไปลอย ๆ หรอกครับคุณตำรวจ”
“ผมต้องการแค่นั้นแหละครับ ใครไม่รู้ไม่อยากเดาก็ตอบมาอย่างนั้น อาจมีบางคนที่สงสัยใครหรือได้กลิ่นอะไรไม่ดีถึงจะไม่ชัดเจนก็ขอให้พูดออกมา แค่ได้ฟังความคิดเห็นของทุกท่านผมก็พอใจแล้ว”
“ยังไงก็ตามที แต่จะให้ผมเป็นคนจัดการเห็นคงไม่ได้ คุณตำรวจเองก็มีบารมีมากมายอยู่แล้วเชิญตามสบายเถิด จะให้ผมมารยาททรามลุกขึ้นมาวางก้ามทำอะไรอย่างนั้นได้ยังไง พวกคุณต้องรับผิดชอบสืบสวนคดีกันอยู่แล้วตามกฎหมาย จะมาเที่ยวชี้นิ้วให้ใคร ๆ ทำอะไรแบบนี้มันจะไม่สับสนกันไปใหญ่หรือครับ ถ้าจะเล่นเกมแบบนี้กันละก็ผมว่าให้ท่านอาตาพินเป็นพิธีกรดีกว่าไหม คงจะสนุกถึงใจพระเดชพระคุณเป็นแน่”
ผมยังไม่ทันพูดจบดีแม่นักสืบอาตาพินก็แหวขึ้นมาทันที
“แหมปากดีจริงนะคุณนักประพันธ์เอก หมายความว่าคนมารยาททรามเท่านั้นรึจึงจะทำตามคำขอของเราได้ แล้วตัวเองล่ะยังมารยาททรามไม่พอรึยังไง เชิดเอาเมียนายไปแล้วยังมีหน้าพากลับมาให้ท่านเห็นตำตา หัวใจคงจะมีขนหนาขึ้นเต็มขนาดขนหมีควายละมัง คิดว่าตัวเองเป็นคนดีเสียเต็มประดาหรือไง ถึงได้อวดดีมาบอกให้ตำรวจอย่างนั้นอย่างนี้ ระวังตัวให้ดีแล้วกัน”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอะไรให้นางไม่ถูกชะตาถึงกับเกรี้ยวกราดขนาดนั้น
แต่วิธีการสืบสวนแบบให้เล่นเกมอย่างที่นายตำรวจสายสืบแนะนำนั้นส่งผลเลวร้ายอย่างที่คาดไม่ถึง
ขณะที่ทุกคนยังไม่เข้าไปนั่งประจำที่ในห้องรับประทานอาหาร และพวกนักดื่มกำลังจิบวิสกี้กันอยู่ในห้องใหญ่ หมอเอบิสึกะก็นำชายร่างสูงชะลูดวัยราว 30 ปี แก้มตอบขาวซีดเหมือนคนขาดอาหาร โกนหัวเกลี้ยงเหมือนพระเข้ามาในห้อง เมื่อนาฬิกานกพิราบในห้องตีบอกเวลาเจ็ดนาฬิกา
หมอเอบิสึกะวางท่าหยิ่งผยอง
“ผมขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับโอกุดะ โทเนคิจิโรเซ็นเซ นักวิจัยปรัชญาขงจื๊อ หรือจะเรียกว่านักบุญผู้ปฏิบัติธรรมตามลัทธิขงจื๊ออย่างเคร่งครัดและเข้มงวดด้วยความเลื่อมใสศรัทธาด้วยจิตวิญญาณ ก็คงไม่ผิด”
นักบุญทำหน้าเครียดหรี่ตามองทุกคนในห้อง
“กล่าวกันว่าคนเรามีชีวิตอยู่เพื่อขนมปังเท่านั้น”
“เฮ้ย ๆ นั่นมันไม่ใช่ขงจื๊อ บ้าหรือเปล่า อยู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาอย่างไม่เกรงใจใครแล้วยังจะเทศน์อะไรมั่ว ๆ ไม่รู้ว่าของฝรั่งของญี่ปุ่นแบบนี้ พวกเราเป็นศิลปินในสายเลือดถึงจะเหี่ยวแห้งกระแดนแด๋ยังไงก็ยังเป็นศิลปิน ไม่ใช่พวกสำเร็จรูป เจ้าลิงบ้าไร้สาระ แค่จะช่วยชูรสกับแกล้มของเราก็ยังไม่ได้ ไปให้พ้น”
ปิก้าโมโหเดือด ถลึงตาจ้องหน้าบุคคลผู้ไม่พึงประสงค์ด้วยความชิงชัง โคโรกุนักเขียนบทละครสำทับด้วยเสียงกราดเกรี้ยวไม่แพ้กัน
“บ้ามาก หมอเอบิสึกะ...แค่นายคนเดียวสะเออะเข้ามาในที่ชุมนุมของเราก็แทบจะทนไม่ได้กันอยู่แล้ว นี่ดันพาเอาใครก็ไม่รู้ไม่มีใครรู้จักหัวนอนปลายเท้าเข้ามาตามอำเภอใจ ไม่บอกไม่กล่าว ที่นี่ไม่ใช่บ้านของนายและเราก็ไม่ได้เป็นแขกของนายนะจะบอกให้ อาจารย์ปรัชญาขงจื๊องั้นรึ แค่เห็นสารรูปก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ แอบอ้างให้ท่านศาสดาเสียหน้าเปล่า ๆ”
คาซุมะก็โกรธ
“หมอเอบิสึกะ ฉันเป็นเจ้าของบ้านและทุกคนในที่นี่เป็นแขกของฉัน และฉันไม่อนุญาตให้นายคนนี้เข้ามาในที่ชุมนุมแห่งนี้ หมอพาเขาออกไปเดี๋ยวนี้เลย และหมอเองก็เหมือนกัน ฉันคิดว่าอย่าเข้ามาร่วมชุมนุมกับพวกเราดีกว่า”
น้ำเสียงที่สะท้อนความรู้สึกจากใจจริงของคาซุมะทำเอาหมอเอบิสึกะพูดไม่ออกไปอึดใจหนึ่ง ผมคิดไม่ผิดเลยว่าจะต้องเข้าจังหวะกับทังโงะผู้ถนัดกับการพูดเสียดสี เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเนิบ ๆ
“คำเทศนาปรัชญาของขงจื้อหาฟังไม่ได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะที่โตเกียว ผมว่าเราน่าจะมองข้ามเรื่องควรไม่ควรตามมารยาทกันสักนิด นักบุญคนนี้อาจมีอะไรที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ก็ได้ การไล่เขาออกไปโดยไม่ทันได้เห็นคุณค่าของเขาอย่างนี้ ผมว่ามันออกจะขัดกับอุปนิสัยของศิลปินอยู่สักหน่อยไหม”
“หุบปากได้แล้วทังโงะ พูดอะไรออกมาแต่ละทีไม่เคยออกนอกกรอบที่ใคร ๆ เขาเชื่อกันอย่างนั้น ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร เพราะฉะนั้นงานประพันธ์ของนายจึงเป็นของปลอมไม่มีความจริงใจอยู่อย่างนั้น เขียนออกมาเท่าไร ๆ ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นายกับวานิ เทียบกันแล้วห่างกันไกลยิ่งกว่าพระจันทร์กับตะพาบน้ำ”
ปิก้าผลุดลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ ตรงเข้าไปจับไหล่นักบุญดันให้หมุนตัวกลับ
“เดินหน้ากลับไปเลย นายทำผิดกฎหมายโทษฐานบุกรุกแต่คราวนี้ยกให้ครั้งหนึ่งไม่แจ้งความ รีบไปให้พ้นหน้าเสียเร็ว ๆ ก่อนที่เราจะกลับใจ เอ้า...ออกเดิน หนึ่งสอง หนึ่งสอง...”
นักบุญคนนี้เคยถูกวานิเล่นงานมาก่อนจนต้องไปหาหมอเอบิสึกะ พอมาเจอคนเอาจริงไม่แพ้กันก็ยิ่งหน้าซีดพูดไม่ออก ยอมตัวให้ถูกผลักโซเซไปทางห้องอาหาร หมอเอบิสึกะเดินตามหลังออกจากประตูห้องอาหารหายไปทั้งคู่
คนรับใช้จัดโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว
“แย่จริง หมอเถื่อนนั่นก็ว่ากวนประสาทแล้ว นายทังโงะนักประพันธ์จอมปลอมนั่นยังพูดอะไรไม่เข้าท่าอีก เหลือทนจริง ๆ นะครับคุณคาโยโกะ” ปิก้าพูดพลางเลื่อนเก้าอี้ให้คุณคาโยโกะ “คุณหนูชื่อเพราะมากและรู้สึกได้เลยว่าเป็นคนจริงใจ มีความคิดลึกซึ้งกว่านายทังโงะนักประพันธ์จอมปลอมหลายเท่านัก ขอผมนั่งข้าง ๆ นะครับ รับรองว่าผมจะไม่เย้าแหย่หรือพูดอะไรให้คนจิตใจดีมีความคิดที่ถูกต้องและลึกซึ้งอย่างคุณรำคาญใจแน่นอน อยากฟังคุณเล่าเรื่องอะไร ๆ ที่สะท้อนความมีจิตใจดีและสงบลึกซึ้งมากเลยครับ”
ปิก้าว่าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างคุณคาโยโกะ ทำให้เธอต้องนั่งแยกกันกับเคียวโกะไปโดยปริยาย คุณคาโยกะดูเหมือนจะถูกใจนายปิก้า เห็นสนทนากันเป็นอันดี ผมกับเคียวโกะสบตาเพราะรู้สึกแปลก ๆ แต่มาคิดดูอีกที สาว ๆ วัยนี้เมื่อได้ฟังคำหวานของผู้ชายอย่างปิก้าก็อาจเคลิบเคลิ้มได้เหมือนกัน
นางคิโซโนะภรรยานายคามิยามะทนายความกับสาวใช้ชื่อยาเอะทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารตามเคย เรารับประทานอาหารกันไปได้ราวครึ่งชุด หมอเอบิสึกะก็เดินอ้อมเรือนใหญ่ ผ่านห้องรับแขกเข้ามาที่ห้องอาหาร แต่ที่โต๊ะไม่มีที่สำหรับเขา นางคิชิโนะจึงบอกว่า
“เราจัดอาหารไว้เผื่อคุณหมอด้วย เดี๋ยวดิฉันจะจัดที่นั่งให้”
พอนางจะเดินไปเลื่อนเก้าอี้จากมุมห้อง คาซุมะก็เงยหน้าที่เคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนขึ้นมาบอกว่า
“หมอเอบิสึกะ ผมว่าหมอมีนิสัยใจคอและความคิดอ่านที่แตกต่างอย่างมากจากพวกเราที่มาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ หมออาจจะรู้สึกดีที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มพวกเรา แต่คนอื่น ๆ ดูเหมือนจะไม่ชอบใจกับการที่มีหมออยู่ด้วย ดังนั้นผมจึงอยากให้หมอถอนตัวออกจากที่ชุมนุมของเราเสียตั้งแต่วันนี้ แล้วไปรับประทานอาหารที่เรือนใหญ่”
“ใช่แล้ว มันต้องอย่างนั้น ผมเองก็นิสัยไม่เหมือนใครแต่ไปไหนไม่ได้ตามคำสั่งของตำรวจ ถึงไม่อยากอยู่ก็ต้องทนเพราะตกเป็นเหยื่อผู้รับเคราะห์คนหนึ่งกับเขาด้วย” ปิก้าตบอก
“ผู้หญิงอย่างอายากะเมื่อเทียบกับคุณคายากะที่ทั้งสวยทั้งสงบเสงี่ยมและลึกซึ้งแล้ว ก็เหมือนตัวอะไรสักอย่างที่เอาขนนกยูงมาเสียบ ๆ ให้ดูงามไปอย่างนั้น ส่วนคุณนายอากิโกะนั้นเล่าถึงจะเป็นนักประพันธ์สตรียอดนิยม มีจิตวิญญาณของศิลปิน ลึกซึ้ง วางตัวได้อย่างสง่างามและถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว แต่ขอโทษเถอะ...จะมีอะไรที่เหนือกว่าคุณคาโยโกะผู้เปรียบดังนักบุญดำรงไว้ซึ่งพรหมจรรย์ละหรือ ผมอยากจะร้อยลำนำคำชมคุณคาโยกะให้กวีเอกได้อาย แต่เท่าที่ชมมาได้แค่นี้ผมเองก็ยังรู้สึกเขินกับความใสซื่อของตัวเองเหลือเกินแล้ว”
[ตัวละครในเรื่องและความสัมพันธ์ระหว่างกัน]
อุสึมิ อากิระ กวีหลังค่อมแขกรับเชิญของทามาโอะ:
ปิก้า (โดอิ โคอิชิ) จิตรกรอดีตสามีของอายากะ
อายากะ ภรรยาคนปัจจุบันของคาซุมะ อดีตภรรยาของปิก้า
โมคุเบ ผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีฝรั่งเศส อยู่กับอากิโกะนักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซุมะ
โคโรกุ ฮิโตมิ นักเขียนบทละคร สามีของอาคาชิ โคโจ ดาราชื่อดัง
ผม ยาชิโระ ซุนเป คนเล่าเรื่อง ภรรยาชื่อเคียวโกะ เคยเป็นเมียน้อยนายอุตางาวะ ทามอน บิดาของคาซุมะ
เอบิสึกะหมอขาเป๋ ลูกญาติห่าง ๆ ที่นายอุตางาวะผู้อุปถัมภ์ให้เรียนหอมและมาประจำอยู่ที่หมู่บ้าน
ชิงุซะ หญิงขี้ริ้วลูกพี่ลูกน้องของคาซุมะ
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
ท่าทางของนักสืบจมูกมดดูเอาจริงเอาจังมาก
“คงไม่เหมาะละมังครับ” ผมค้าน “เราก็ทำท่านักสืบกันไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็เหลวทั้งเพ ถกกันไปถกกันมาแค่สนุกปากว่าคนนั้นคนนี้มีพฤติกรรมน่าสงสัยอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมรู้ว่าสุดท้ายก็สรุปไม่ได้หรอกครับว่าใครคือฆาตกรตัวจริง ผมเองก็คนหนึ่งละ ถ้าไม่มีหลักฐานอะไรที่มั่นคงพอก็ไม่อยากพูดออกไปลอย ๆ หรอกครับคุณตำรวจ”
“ผมต้องการแค่นั้นแหละครับ ใครไม่รู้ไม่อยากเดาก็ตอบมาอย่างนั้น อาจมีบางคนที่สงสัยใครหรือได้กลิ่นอะไรไม่ดีถึงจะไม่ชัดเจนก็ขอให้พูดออกมา แค่ได้ฟังความคิดเห็นของทุกท่านผมก็พอใจแล้ว”
“ยังไงก็ตามที แต่จะให้ผมเป็นคนจัดการเห็นคงไม่ได้ คุณตำรวจเองก็มีบารมีมากมายอยู่แล้วเชิญตามสบายเถิด จะให้ผมมารยาททรามลุกขึ้นมาวางก้ามทำอะไรอย่างนั้นได้ยังไง พวกคุณต้องรับผิดชอบสืบสวนคดีกันอยู่แล้วตามกฎหมาย จะมาเที่ยวชี้นิ้วให้ใคร ๆ ทำอะไรแบบนี้มันจะไม่สับสนกันไปใหญ่หรือครับ ถ้าจะเล่นเกมแบบนี้กันละก็ผมว่าให้ท่านอาตาพินเป็นพิธีกรดีกว่าไหม คงจะสนุกถึงใจพระเดชพระคุณเป็นแน่”
ผมยังไม่ทันพูดจบดีแม่นักสืบอาตาพินก็แหวขึ้นมาทันที
“แหมปากดีจริงนะคุณนักประพันธ์เอก หมายความว่าคนมารยาททรามเท่านั้นรึจึงจะทำตามคำขอของเราได้ แล้วตัวเองล่ะยังมารยาททรามไม่พอรึยังไง เชิดเอาเมียนายไปแล้วยังมีหน้าพากลับมาให้ท่านเห็นตำตา หัวใจคงจะมีขนหนาขึ้นเต็มขนาดขนหมีควายละมัง คิดว่าตัวเองเป็นคนดีเสียเต็มประดาหรือไง ถึงได้อวดดีมาบอกให้ตำรวจอย่างนั้นอย่างนี้ ระวังตัวให้ดีแล้วกัน”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอะไรให้นางไม่ถูกชะตาถึงกับเกรี้ยวกราดขนาดนั้น
แต่วิธีการสืบสวนแบบให้เล่นเกมอย่างที่นายตำรวจสายสืบแนะนำนั้นส่งผลเลวร้ายอย่างที่คาดไม่ถึง
ขณะที่ทุกคนยังไม่เข้าไปนั่งประจำที่ในห้องรับประทานอาหาร และพวกนักดื่มกำลังจิบวิสกี้กันอยู่ในห้องใหญ่ หมอเอบิสึกะก็นำชายร่างสูงชะลูดวัยราว 30 ปี แก้มตอบขาวซีดเหมือนคนขาดอาหาร โกนหัวเกลี้ยงเหมือนพระเข้ามาในห้อง เมื่อนาฬิกานกพิราบในห้องตีบอกเวลาเจ็ดนาฬิกา
หมอเอบิสึกะวางท่าหยิ่งผยอง
“ผมขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับโอกุดะ โทเนคิจิโรเซ็นเซ นักวิจัยปรัชญาขงจื๊อ หรือจะเรียกว่านักบุญผู้ปฏิบัติธรรมตามลัทธิขงจื๊ออย่างเคร่งครัดและเข้มงวดด้วยความเลื่อมใสศรัทธาด้วยจิตวิญญาณ ก็คงไม่ผิด”
นักบุญทำหน้าเครียดหรี่ตามองทุกคนในห้อง
“กล่าวกันว่าคนเรามีชีวิตอยู่เพื่อขนมปังเท่านั้น”
“เฮ้ย ๆ นั่นมันไม่ใช่ขงจื๊อ บ้าหรือเปล่า อยู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาอย่างไม่เกรงใจใครแล้วยังจะเทศน์อะไรมั่ว ๆ ไม่รู้ว่าของฝรั่งของญี่ปุ่นแบบนี้ พวกเราเป็นศิลปินในสายเลือดถึงจะเหี่ยวแห้งกระแดนแด๋ยังไงก็ยังเป็นศิลปิน ไม่ใช่พวกสำเร็จรูป เจ้าลิงบ้าไร้สาระ แค่จะช่วยชูรสกับแกล้มของเราก็ยังไม่ได้ ไปให้พ้น”
ปิก้าโมโหเดือด ถลึงตาจ้องหน้าบุคคลผู้ไม่พึงประสงค์ด้วยความชิงชัง โคโรกุนักเขียนบทละครสำทับด้วยเสียงกราดเกรี้ยวไม่แพ้กัน
“บ้ามาก หมอเอบิสึกะ...แค่นายคนเดียวสะเออะเข้ามาในที่ชุมนุมของเราก็แทบจะทนไม่ได้กันอยู่แล้ว นี่ดันพาเอาใครก็ไม่รู้ไม่มีใครรู้จักหัวนอนปลายเท้าเข้ามาตามอำเภอใจ ไม่บอกไม่กล่าว ที่นี่ไม่ใช่บ้านของนายและเราก็ไม่ได้เป็นแขกของนายนะจะบอกให้ อาจารย์ปรัชญาขงจื๊องั้นรึ แค่เห็นสารรูปก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ แอบอ้างให้ท่านศาสดาเสียหน้าเปล่า ๆ”
คาซุมะก็โกรธ
“หมอเอบิสึกะ ฉันเป็นเจ้าของบ้านและทุกคนในที่นี่เป็นแขกของฉัน และฉันไม่อนุญาตให้นายคนนี้เข้ามาในที่ชุมนุมแห่งนี้ หมอพาเขาออกไปเดี๋ยวนี้เลย และหมอเองก็เหมือนกัน ฉันคิดว่าอย่าเข้ามาร่วมชุมนุมกับพวกเราดีกว่า”
น้ำเสียงที่สะท้อนความรู้สึกจากใจจริงของคาซุมะทำเอาหมอเอบิสึกะพูดไม่ออกไปอึดใจหนึ่ง ผมคิดไม่ผิดเลยว่าจะต้องเข้าจังหวะกับทังโงะผู้ถนัดกับการพูดเสียดสี เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเนิบ ๆ
“คำเทศนาปรัชญาของขงจื้อหาฟังไม่ได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะที่โตเกียว ผมว่าเราน่าจะมองข้ามเรื่องควรไม่ควรตามมารยาทกันสักนิด นักบุญคนนี้อาจมีอะไรที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ก็ได้ การไล่เขาออกไปโดยไม่ทันได้เห็นคุณค่าของเขาอย่างนี้ ผมว่ามันออกจะขัดกับอุปนิสัยของศิลปินอยู่สักหน่อยไหม”
“หุบปากได้แล้วทังโงะ พูดอะไรออกมาแต่ละทีไม่เคยออกนอกกรอบที่ใคร ๆ เขาเชื่อกันอย่างนั้น ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร เพราะฉะนั้นงานประพันธ์ของนายจึงเป็นของปลอมไม่มีความจริงใจอยู่อย่างนั้น เขียนออกมาเท่าไร ๆ ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นายกับวานิ เทียบกันแล้วห่างกันไกลยิ่งกว่าพระจันทร์กับตะพาบน้ำ”
ปิก้าผลุดลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ ตรงเข้าไปจับไหล่นักบุญดันให้หมุนตัวกลับ
“เดินหน้ากลับไปเลย นายทำผิดกฎหมายโทษฐานบุกรุกแต่คราวนี้ยกให้ครั้งหนึ่งไม่แจ้งความ รีบไปให้พ้นหน้าเสียเร็ว ๆ ก่อนที่เราจะกลับใจ เอ้า...ออกเดิน หนึ่งสอง หนึ่งสอง...”
นักบุญคนนี้เคยถูกวานิเล่นงานมาก่อนจนต้องไปหาหมอเอบิสึกะ พอมาเจอคนเอาจริงไม่แพ้กันก็ยิ่งหน้าซีดพูดไม่ออก ยอมตัวให้ถูกผลักโซเซไปทางห้องอาหาร หมอเอบิสึกะเดินตามหลังออกจากประตูห้องอาหารหายไปทั้งคู่
คนรับใช้จัดโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว
“แย่จริง หมอเถื่อนนั่นก็ว่ากวนประสาทแล้ว นายทังโงะนักประพันธ์จอมปลอมนั่นยังพูดอะไรไม่เข้าท่าอีก เหลือทนจริง ๆ นะครับคุณคาโยโกะ” ปิก้าพูดพลางเลื่อนเก้าอี้ให้คุณคาโยโกะ “คุณหนูชื่อเพราะมากและรู้สึกได้เลยว่าเป็นคนจริงใจ มีความคิดลึกซึ้งกว่านายทังโงะนักประพันธ์จอมปลอมหลายเท่านัก ขอผมนั่งข้าง ๆ นะครับ รับรองว่าผมจะไม่เย้าแหย่หรือพูดอะไรให้คนจิตใจดีมีความคิดที่ถูกต้องและลึกซึ้งอย่างคุณรำคาญใจแน่นอน อยากฟังคุณเล่าเรื่องอะไร ๆ ที่สะท้อนความมีจิตใจดีและสงบลึกซึ้งมากเลยครับ”
ปิก้าว่าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างคุณคาโยโกะ ทำให้เธอต้องนั่งแยกกันกับเคียวโกะไปโดยปริยาย คุณคาโยกะดูเหมือนจะถูกใจนายปิก้า เห็นสนทนากันเป็นอันดี ผมกับเคียวโกะสบตาเพราะรู้สึกแปลก ๆ แต่มาคิดดูอีกที สาว ๆ วัยนี้เมื่อได้ฟังคำหวานของผู้ชายอย่างปิก้าก็อาจเคลิบเคลิ้มได้เหมือนกัน
นางคิโซโนะภรรยานายคามิยามะทนายความกับสาวใช้ชื่อยาเอะทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารตามเคย เรารับประทานอาหารกันไปได้ราวครึ่งชุด หมอเอบิสึกะก็เดินอ้อมเรือนใหญ่ ผ่านห้องรับแขกเข้ามาที่ห้องอาหาร แต่ที่โต๊ะไม่มีที่สำหรับเขา นางคิชิโนะจึงบอกว่า
“เราจัดอาหารไว้เผื่อคุณหมอด้วย เดี๋ยวดิฉันจะจัดที่นั่งให้”
พอนางจะเดินไปเลื่อนเก้าอี้จากมุมห้อง คาซุมะก็เงยหน้าที่เคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนขึ้นมาบอกว่า
“หมอเอบิสึกะ ผมว่าหมอมีนิสัยใจคอและความคิดอ่านที่แตกต่างอย่างมากจากพวกเราที่มาชุมนุมกันอยู่ที่นี่ หมออาจจะรู้สึกดีที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มพวกเรา แต่คนอื่น ๆ ดูเหมือนจะไม่ชอบใจกับการที่มีหมออยู่ด้วย ดังนั้นผมจึงอยากให้หมอถอนตัวออกจากที่ชุมนุมของเราเสียตั้งแต่วันนี้ แล้วไปรับประทานอาหารที่เรือนใหญ่”
“ใช่แล้ว มันต้องอย่างนั้น ผมเองก็นิสัยไม่เหมือนใครแต่ไปไหนไม่ได้ตามคำสั่งของตำรวจ ถึงไม่อยากอยู่ก็ต้องทนเพราะตกเป็นเหยื่อผู้รับเคราะห์คนหนึ่งกับเขาด้วย” ปิก้าตบอก
“ผู้หญิงอย่างอายากะเมื่อเทียบกับคุณคายากะที่ทั้งสวยทั้งสงบเสงี่ยมและลึกซึ้งแล้ว ก็เหมือนตัวอะไรสักอย่างที่เอาขนนกยูงมาเสียบ ๆ ให้ดูงามไปอย่างนั้น ส่วนคุณนายอากิโกะนั้นเล่าถึงจะเป็นนักประพันธ์สตรียอดนิยม มีจิตวิญญาณของศิลปิน ลึกซึ้ง วางตัวได้อย่างสง่างามและถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว แต่ขอโทษเถอะ...จะมีอะไรที่เหนือกว่าคุณคาโยโกะผู้เปรียบดังนักบุญดำรงไว้ซึ่งพรหมจรรย์ละหรือ ผมอยากจะร้อยลำนำคำชมคุณคาโยกะให้กวีเอกได้อาย แต่เท่าที่ชมมาได้แค่นี้ผมเองก็ยังรู้สึกเขินกับความใสซื่อของตัวเองเหลือเกินแล้ว”
[ตัวละครในเรื่องและความสัมพันธ์ระหว่างกัน]
อุสึมิ อากิระ กวีหลังค่อมแขกรับเชิญของทามาโอะ:
ปิก้า (โดอิ โคอิชิ) จิตรกรอดีตสามีของอายากะ
อายากะ ภรรยาคนปัจจุบันของคาซุมะ อดีตภรรยาของปิก้า
โมคุเบ ผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีฝรั่งเศส อยู่กับอากิโกะนักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซุมะ
โคโรกุ ฮิโตมิ นักเขียนบทละคร สามีของอาคาชิ โคโจ ดาราชื่อดัง
ผม ยาชิโระ ซุนเป คนเล่าเรื่อง ภรรยาชื่อเคียวโกะ เคยเป็นเมียน้อยนายอุตางาวะ ทามอน บิดาของคาซุมะ
เอบิสึกะหมอขาเป๋ ลูกญาติห่าง ๆ ที่นายอุตางาวะผู้อุปถัมภ์ให้เรียนหอมและมาประจำอยู่ที่หมู่บ้าน
ชิงุซะ หญิงขี้ริ้วลูกพี่ลูกน้องของคาซุมะ