xs
xsm
sm
md
lg

ฆาตกรรม(ไม่)ต่อเนื่อง-ใครฆ่าใคร 9. ทางกลับจากเชิงตะกอน (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์

สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...

พอเดินขึ้นทางลาดเนินมาจนถึงทางถนนของหมู่บ้าน ทังโงะก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมขอตัวก่อนนะ จะเดินเล่นผ่อนอารมณ์แถวนี้ก่อนกลับ” ว่าแล้วก็เดินแยกไปในทางตรงข้ามกับทางกลับหมู่บ้าน ทางสายนั้นมุ่งไปสู่หมู่บ้านที่มีแหล่งน้ำแร่และมีที่พักแรมอยู่หลังหนึ่ง ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นที่พักแรมแช่น้ำแร่ร้อนแต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักจนขนาดมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพัก ส่วนใหญ่จึงเป็นคล้ายสถานที่แช่น้ำแร่ร้อนสาธารณะของชาวบ้าน

ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าแหล่งน้ำแร่ร้อนแห่งนั้นมีสินค้าเบ็ดเตล็ดและยารักษาโรคขายด้วย สินค้าส่วนใหญ่เป็นของเหลือจากที่ซื้อมาตุนเอาไว้ก่อนสงครามและขายไม่ออก ส่วนยานั้นตอนช่วงสงครามเห็นมียานอนหลับพวกคาลโมตินอยู่ด้วย สมัยนั้นผมไม่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ เพราะแค่ดื่มสาเกจอกสองจอกก็หลับปุ๋ยจึงไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ แต่มาระยะนี้รู้สึกแย่เพราะไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หลับยากนัก คิดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากคฤหาสน์มาที่หมู่บ้านแล้วว่า ไหน ๆ ก็มาทางนี้แล้วจะได้แวะไปที่แหล่งน้ำแร่ร้อน ดูว่ายังมียาคาลโมตินขายอยู่ เหมือนช่วงสงครามหรือเปล่า ถ้ามีจะได้ซื้อติดมือกลับมา ดังนั้นพอทังโงะแยกตัวออกไปจากขบวน ผมจึงนึกขึ้นได้และขอตัวออกเดินตามหลังเขาไป แต่เดินไปได้แค่สามร้อยเมตรทังโงะก็วกกลับมา

“อ้าว ทำไมล่ะ คุณจะไปอนเซ็นไม่ใช่รึ”

“อือ แต่คิดว่าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผมกลับก่อนนะ”

จากตรงนั้นผมต้องเดินต่อไปอีกราวห้ากิโลจึงถึงแหล่งน้ำแร่ร้อน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีคนอาศัยอยู่แค่สิบห้าหลังคาเรือน เจ้าของบ้านพักแรมเป็นชายผิวขาวซีดวัยสี่สิบกว่า ๆ หน้าตาท่าทางเป็นคนถี่ถ้วนและมีภูมิปัญญา พอรู้ว่าผมมาด้วยธุระอะไรก็บอกว่า

“ขอผมดูก่อนนะ คนโตเกียวเขาเป็นนักเก็งกำไรกันทั้งนั้น เดี๋ยว ๆ ก็ดั้นด้นเข้ามาหาซื้อถึงที่นี่ ผมไม่รู้ราคาว่าตอนนี้เขาซื้อขายกันยังไงเลยคิดว่าอย่าขายดีกว่า มีบทเรียนมาแล้วคือสมัยก่อนเราเคยขายไปถูก ๆ เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถึงได้ขาดทุนย่อยยับ คิดว่าตอนนี้คงเหลือไม่มากแล้วละครับ”

“เอาเถอะ ช่วยหาให้หน่อยได้ไหม ถ้ามีผมจะซื้อด้วยราคาตลาดมืด”

“ผมไม่รู้ราคาตลาดมืดอะไรนั่นหรอก เห็นเขาว่าอะไร ๆ ก็ร้อยเท่า คุณจะซื้อในราคาร้อยเท่างั้นรึ”

“พวกยานี่พ่อค้าขายเกินราคามากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ช่วงนี้อาหารขาดแคลนมากบางอย่างอาจถูกโก่งราคาถึงร้อยเท่า แต่สำหรับยาไม่มีทางถึงร้อยเท่าแน่ เรื่องราคาเอาไว้ตกลงกันทีหลัง ตอนนี้ช่วยไปดูก่อนได้ไหมว่ามีรึเปล่า”

เจ้าของบ้านพักแรมหยิบกล่องกระดาษแข็งที่เขาใส่ยาต่าง ๆ รวมกันเอาไว้ออกมาจากมุมลึกสุดของชั้นวางของแล้วลงมือหายาที่ผมต้องการและพบว่าหมดแล้ว และยาที่เหลืออยู่ก็ไม่เห็นมีอะไรที่ดูโดดเด่นน่าสนใจ ผมเห็นว่าไหน ๆ เขาก็อุตส่าห์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีก็เลยซื้อพวกยาแก้ปวดท้องและยาถ่ายพยาธิสองสามอย่างติดมือกลับไปเป็นมารยาท เจ้าของบ้านพักแรมสักแต่ว่ามียาไว้ขายแต่ไม่ได้มีความรู้เรื่องเภสัช

“ไอ้คาลโมตินที่ว่านั้น มันยาอะไรกันนะคุณ”

“ก็ยานอนหลับไงล่ะ”

“ถ้างั้น เมื่อสักสามเดือนที่แล้ว คุณนางุโมะที่เป็นแขกของท่านอุตางาวะ ก็คุณยูระน้องสาวของท่านนั่นแหละ คุณป้าเธอมาที่นี่แล้วก็ซื้อยาอะไร ๆ ไปหลายอย่างและดูเหมือนตอนนั้นจะมียานอนหลับด้วยละมัง”

ค่ำมากแล้ว ผมเดินผ่านป่าต้นบุนะอาศัยแสงสลัวที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดพอมองเห็นทางไม่ให้ก้าวสะดุดเป็นอันตราย ออกมาถึงทางเดินหลังคฤหาสน์ที่มีทางแยกไปยังภูเขามิวะ ขณะที่เดินลงเนินมุ่งไปยังประตูด้านหลังของคฤหาสน์นั้นเองผมก็พบกับคาซุมะที่เดินมาทางถนนหน้าวัดเข้าอย่างจังตรงหน้าประตู

“อ้าว คุณเองรึ ไปไหนมาค่ำมืดออกอย่างนี้” คาซุมะร้องทักด้วยความตกใจ

“ไปหาซื้อยาคาลโมตินที่อนเซ็น ตอนสงครามที่ผมอยู่แถวนี้เคยเห็นเขามีขาย แต่โชคไม่ดีโดนคุณป้ายูระกว้านซื้อไปก่อนแล้ว”

“งั้นรึ ระยะนี้รู้สึกว่าใคร ๆ จะรู้กันดีว่าอนเซ็นข้างบนนั้นมีสินค้าค้างสต็อกอยู่ไม่น้อย ถ้าอยากได้น่าจะเขียนจดหมายบอกมาผมจะได้ไปซื้อมาไว้ ผมไปที่วัดโซรินจิเพื่อหารือเรื่องพิธีศพน้องสาวแต่รอเท่าไรก็ไม่มีใครสักคนออกมาพบ ผมก็เลยนั่งลงที่หน้าโบสถ์คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ราวครึ่งชั่วโมง เห็นว่าไม่มีใครอยู่จริง ๆ แล้วก็เลยกลับมานี่แหละ”

ขณะที่ทักทายกันอยู่นั้นผมเห็นแสงไฟฉายวิบวับฝ่าความมืดมาจากเนินด้านประตูหน้า และเมื่อใกล้เข้ามาจึงรู้ว่าเป็นหมอเอบิสึกะ ซึ่งพอเห็นเราก็สะดุ้งหยุดชะงักไปอึดใจหนึ่งก่อนทักตามธรรมเนียมแล้วถามว่า

“ท่านวานิผู้ยิ่งใหญ่ถูกเผาเป็นควันไฟไปแล้วซินะครับ”

ใช่นายวานิถูกเผาเป็นควันไฟไปแล้วและผมก็รู้สึกสะใจอยู่ลึก ๆ แต่พอได้ยินคำพูดเดียวกันนี้ออกมาจากปากเจ้าหมอเถื่อนขาเป๋ ผมก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที เพราะสีหน้าเวลาพูดนั้นมันแฝงแววประชดประชันมาที่พวกเราทั้งหมดอย่างเห็นได้ชัด ผมชังน้ำหน้าเจ้าหมอเถื่อนคนนี้จริง ๆ ทุกครั้งไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา ผมเป็นต้องอยากตะบันหน้าให้หงายไปเสียทุกครั้ง

อึดใจนั้นเองที่ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ มันเลวร้ายเสียจนเย็นวาบไปทั้งตัว หัวหมุนแทบทำอะไรไม่ถูก

ทำไมน่ะหรือ...ก็ตอนที่ผมบอกใคร ๆ ก่อนแยกทางออกจากกลุ่มว่าจะไปหาซื้อยาคาลโมตินที่อนเซ็น รวมทั้งได้บอกคาซุมะด้วยนั้น ผมลืมสนิทไม่ได้คิดถึงเรื่องที่มียานอนหลับผสมอยู่ในเก็นโนะโชโกะที่เขาดื่มเป็นประจำ และวันนี้ก็ยังพบผงขาวลึกลับที่ข้างหมอนคุณทามาโอะตอนตายไม่ใช่หรือ

และเมื่อรู้ว่าผมไปซื้อยานอนหลับที่อนเซ็นอย่างนี้ ทุกคนก็ต้องคิดว่าผมกินยานอนหลับอย่างคาลโมตินนั่นเป็นประจำ และหันมามองผมอย่างสงสัย ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีและสมเพทตนเองที่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่เข้าเรื่อง

หมอเอบิสึกะแยกทางกับเราตรงประตูทางเข้าบ้าน ส่วนเราสองคนเดินอ้อมสวนไปทางเรือนฝรั่ง แต่พอผ่านห้องโถงด้านหน้าของเรือนใหญ่ซึ่งเมื่อตอนกลางวันจัดเป็นห้องทำพิธี ก็เห็นท่านอุตางาวะประมุขของตระกูลกับคุณป้ายูระน้องสาวของท่านนั่งรับประทานอาหารเย็นอยู่กับพระสี่รูป (ประเพณีของพระญี่ปุ่นแตกต่างกับของไทย)

คาซุมะเดินเลียบเข้าไปใกล้ระเบียงข้างห้องโถง ส่งเสียงทักเข้าไปว่า

“โธ่เอ๋ย ท่านเจ้าอาวาสมานั่งฉันอาหารอยู่ที่นี่เอง ผมก็ไม่รู้นั่งอดทนคอยอยู่ที่โบสถ์ตั้งครึ่งชั่วโมง

“พวกกวีนี่ช่างไม่สนใจขนบประเพณีเอาเสียเลย” ท่านผู้เฒ่าทำเสียงไม่พอใจจ้องหน้าลูกชายเป็นเชิงตำหนิ “เจ้าไม่รู้รึว่าพอเสร็จพิธีทางศาสนาแล้ว เจ้าบ้านก็จะต้องนิมนต์พระผู้กรุณามาทำพิธีมาฉันอาหารที่บ้าน นี่เป็นประเพณีที่เราปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ”

“คุณมีธุระอะไรกับอาตมารึ” เจ้าอาวาสยิ้มพลางถามคาซุมะ พระสูงอายุรูปนี้เกิดและเติบโตในหมู่บ้านนี้ ศึกษาวิชาประวัติปรัชญาอินเดียที่มหาวิทยาลัยและเป็นนักวิชาการด้านพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของญี่ปุ่น ระหว่างสงครามจึงอพยพหลบภัยมาอยู่ที่วัดนิกายเซ็นของหมู่บ้านแล้วก็จำวัดอยู่มาจนทุกวันนี้ ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นพระผู้ทรงความรู้เพราะดูภายนอกไม่ผิดอะไรกับพระผู้เฒ่าในวัดเก่า ๆ คนหนึ่ง

“มีครับ แต่ท่านกำลังฉันอาหาร เอาไว้ก่อนดีกว่า เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะไปหาท่านที่วัด”

เรากลับเข้ามาที่ห้องกลางก็พบว่าทุกคนกำลังคอยคาซุมะอยู่และอาหารเย็นเตรียมพร้อมแล้ว

พอทุกคนเข้านั่งประจำที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว อุสึมิกวีหลังค่อมก็เอ่ยขึ้นว่า

“วันนี้ระหว่างนั่งรถศพกลับมา ชาวบ้านคนลากรถพูดอะไรแปลก ๆ ผมเองคิดว่าฆาตกรคือใครคนหนึ่งในบรรดาผู้มีเกียรติที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นี่ แต่จริง ๆ แล้วดูเหมือนจะไม่ใช่ ชาวบ้านคนนั้นพูดเหมือนกับว่าที่หมู่บ้านมีหนุ่มนักประพันธ์หรือนักการเมืองที่ท่าทางเหมือนคนเสียสติคนหนึ่งมาหลบภัยอยู่ และดูเหมือนจะเป็นผู้ก่อการร้ายเพราะได้ยินนายคนนั้นพล่ามว่าถ้าปล่อยให้นักประพันธ์ที่เขียนเรื่องลามกอย่างนายวานิมีชีวิตอยู่ ก็เท่ากับปล่อยให้ญี่ปุ่นเป็นมะเร็ง เลยฆ่าเสียด้วยมีดสั้นให้ชาวบ้านได้เห็นกัน และดูเหมือนว่านายคนนั้นจะเกลียดคุณทามาโอะมาก บอกว่าผู้หญิงคนนี้จะทำให้ญี่ปุ่นล่มจมหรืออะไรประมาณนั้น และตอนนี้ตำรวจก็กำลังเริ่มเพ่งเล็งนายคนนั้นอยู่”

คาซุมะทำหน้ายุ่งยากขณะบอกว่า

“ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านนี้เองไม่ใช้คนอพยพมาจากไหน เป็นอดีตทหารที่ทำงานพวกเขียนแบบหรืออะไรสักอย่างชื่อนายโอคุดะ โทเนคิจิโร ชายคนนี้กลับมาจากสงครามพบว่าบ้านไฟไหม้หมดนางเมียก็หายสาบสูญไป หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าจะเพี้ยน ๆ ไป ความจริงแล้วนายคนนี้ก็เพี้ยนอยู่แล้วตั้งแต่สมัยอยู่ในสนามรบที่ทางเหนือของจีน หมกมุ่นอยู่กับปรัชญาของขงจื้อ จนอพยพหลบภัยมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่เลิก ดูเหมือนจะติดป้ายที่หน้าต่างห้องทำนองว่าว่าสถาบันวิจัยขงจื้อ หรือว่าสถาบันวิจัยการสนทนาของขงจื้อกับศิษย์ ผมได้ยินเขาเล่ากันว่าครั้งหนึ่งเคยเดินสวนกับนายวานิและมีปากมีเสียงกันด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง แล้วโดยนายวานิซัดเข้าให้เลยวิ่งหนีเตลิดไป คนตัวผอมยังกับไม้เสียบผีอย่างนั้นมาเจอกับคนอย่างนายวานิเข้า ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องวิ่งหางจุกตูดร้องเอ๋ง ๆ หนีไปเหมือนลูกหมาตัวหนึ่ง นายคนนั้นประณามว่านายวานิเป็นนักประพันธ์เขียนเรื่องลามก ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่เลวเหมือนกัน เห็นว่าเขียนจดหมายแปลก ๆมาถึงคุณนายอายากะบ่อย ๆ ไม่ใช่รึ”

คุณนายอายากะทำหน้ายุ่งยาก

“แต่ไม่ใช่จดหมายรักหรอกนะคะ แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณวานินั่นแหละ ประมาณว่าอย่าไปหลงคารมนักประพันธ์เรื่องลามกอย่างคุณวานิ ก็แค่นั้น”

“ต้องยอมรับว่าถึงจะสติเฟื่องแต่ก็พูดจาเข้าหลักเข้าเกณฑ์ดีทีเดียวละครับ วันที่ถูกนายวานิต่อยคว่ำลงไปหมอนั่นวิ่งแจ้นมาให้ผมทำแผลที่โรงพยาบาล มันก็แค่แผลถลอกนิดเดียวเองไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่หมอนั่นพล่ามไม่หยุด บอกว่าพวกผู้ดีที่ชอบใช้กำลังรุนแรงที่แท้ก็ไม่ผิดอะไรกับอันธพาล เป็นคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรม ผมฟังแล้วก็เห็นด้วยนะ ถึงจะบ้าบอแต่ก็พูดได้ตรงจุดเลยทีเดียว แล้วก็ยังพล่ามต่อไปอีกนะว่า เขียนจดหมายถึงนางบำเรอของท่านทามอนแต่ไม่ได้รับคำตอบ บอกว่าคงเป็นเพราะไม่ได้จ่าหน้าเจาะจงไปว่าเขียนถึงใคร บางบำเรอของท่านก็มีอยู่มากหน้าหลายตาคงจะเกี่ยงกันไปก็เลยไม่มีใครตอบจดหมาย”

หมอเอบิสึกะพูดทำนองเสียดสีด้วยน้ำเสียงและสีหน้าท่าทียียวนกวนประสาทนัก

“โว้ย ใครช่วยลากไอ้หมอเถื่อนออกไปที” ปิก้าขวางหูขวางตาเต็มทนจนถึงจุดเดือด “พูดท่าโน้นท่านี้ทำเป็นอวดรู้ ยกตนข่มท่าน ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ลืมกำพืดตัวเองแล้วหรือไง ใครเชื้อใครเชิญให้มานั่งเสนอหน้าอยู่ที่นี่” ว่าแล้วก็เดินฉับ ๆ ตรงไปดึงเก้าอี้ออกจากก้นหมอเอบิสึกะรวดเร็วจนคนนั่งแทบตั้งตัวไม่ทัน แล้วยกเอาออกไปวางไว้ที่ห้องใหญ่

แต่ยังไม่ทันที่ปิก้าจะกลับมานั่งที่เก้าอี้ตน หมอขาพิการก็ยกเก้าอี้เดินกะโผลกกะเผลกกลับมากลับมานั่งหน้างออยู่ตรงที่เดิม

ปิก้ายังไม่หายเคือง

“นายหมอเถื่อนขาเป๋ ไม่ต้องทำมาพูดจาเฉไฉกลบเกลื่อน ต่างคนต่างก็รู้ว่าฆาตกรคือใครคนหนึ่งในกลุ่มที่อยู่ในบ้านนี้แน่นอน ไม่เว้นแม้แต่ตัวนายเอง”

“ทำไม ฆาตกรอาจเป็นคนนอกที่ลอบเข้ามาก็ได้” อุสึมิ กวีหลังค่อมขัดขึ้น

“บ้าหรือเปล่า พูดออกมาได้ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานออกโจ่งแจ้งว่าต้องเป็นคนในเท่านั้นจึงจะฆ่าได้ ลืมไปแล้วรึว่าฆาตกรมีกุญแจไขเข้าออกห้องนายวานิได้ตามใจชอบ ฆาตกรมีกุญแจบ้านนี้อยู่ในมือทั้งพวง ใครจะทำอย่างนั้นได้ถ้าไม่ใช่ใครคนหนึ่งในพวกเรานี่”

คาซุมะทนฟังอยู่ด้วยความหงุดหงิดร้องขึ้นว่า

“พอที หยุดพูดเรื่องฆาตกรได้แล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักสืบเขาดีกว่า”

“ฮึ” ปิก้าฮึดฮัดขัดใจ “ก็ได้ กำลังอยากเลิกพูดอยู่เหมือนกัน แต่จะคุยเรื่องอะไรกันดีล่ะ มานั่งล้อมโต๊ะดื่มสาเกพร้อมหน้ากันทั้งหญิงชายอย่างนี้มันต้องเรื่องในมุ้งอย่างเดียวเลย ผมเห็นเวลาตั้งวงดื่มกันพวกคุณชอบคุยแต่เรื่องวรรณกรรมบ้างศิลปะบ้าง ก็เพราะอย่างนั้นงานเขียนของพวกคุณถึงได้อ่อนหัดอยู่อย่างนั้น ต้องเอาอย่างท่านอาจารย์วานิ นวนิยายของท่านเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เรามาคุยเรื่องในมุ้งกันดีกว่า อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องลามกอนาจาร คืนนี้ผมรู้สึกอยากยั่วคุณนาย อากิโกะ แต่อย่าดีกว่าใจจริงผมชอบผู้หญิงวางท่าเย็นชาอย่างคุณนายโคโจดาราเจ้าบทบาทมากกว่า อาจเพราะเป็นคนญี่ปุ่นผมถึงได้ชอบพระพุทธรูปโดยเฉพาะสมัยอาซุกะ พอพูดถึงสมัยอาซุกะทำให้คิดถึงนางระบำเกาะบาหลีขึ้นมาได้ นางระบำนุ่งน้อยห่มน้อยมีเสน่ห์ยั่วยวนและสีสันของยุคอาซุกะ รูปทรงองค์เอวน่าฟัดมาก”

ปิก้าพร่ำเพ้อยืดยาวโดยที่ไม่มีใครสนใจฟัง พอพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเริ่มเต้นรำส่ายสะโพกแบบชาวเกาะทะเลใต้พร้อมกับร้องเพลงประกอบไปด้วย ท่วงท่าของมือไม้ส่ายตะโพกและเสียงร้องเพลงไม่ใช่การแสดงตลก มันเข้าท่าเข้าทางมากราวกับชาวพื้นเมืองมาร่ายระบำให้ดูจริง ๆ พวกผู้หญิงมองตาค้างอย่างเหลือเชื่อ แววเกลียดชังในดวงตาของหลายคนฉายแววชื่นชมออกมาอย่างปิดไม่มิด

[ตัวละครในเรื่องและความสัมพันธ์ระหว่างกัน]
ปิก้า (โดอิ โคอิชิ) จิตรกรอดีตสามีของอายากะ
เอบิสึกะหมอขาเป๋ ลูกญาติห่าง ๆ ที่นายอุตางาวะผู้อุปถัมภ์ให้เรียนหมอและมาประจำอยู่ที่หมู่บ้าน
อากิโกะ นักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซุมะ
อาคาชิ โคโจ ดาราสาว ภรรยาของ (โคโรกุ) ฮิโตมิ นักเขียนบทละคร
อายากะ ภรรยาคนปัจจุบันของคาซุมะ
ทามาโอะ น้องสาวคาซุมะ
วานิ โมชิซึกิ, ยุมิฮิโกะทังโงะ, อากิระ อุสึมิ แขกรับเชิญของทามาโอะ:
ดอกเตอร์โคเซ นักสืบอัจฉริยะ
ผม ยาชิโระ ซุนเป คนเล่าเรื่อง ภรรยาชื่อเคียวโกะ เคยเป็นเมียน้อยนายอุตางาวะ ทามอน บิดาของคาซุมะ
นางุโมะ ยูระ น้องสาวของนายอุตางาวะ


กำลังโหลดความคิดเห็น