xs
xsm
sm
md
lg

สิบถ้อยคำที่ยิ่งใหญ่ของนักเขียนชื่อก้องโลก หลู่ ซวิ่น

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

หลู่ซวิ่น บิดาการประพันธ์จีนยุคสมัยใหม่  ผู้สร้างผลงานเขียนที่ส่งผลกระทบต่อสังคมจีนอย่างทรงพลังที่สุด
หลู่ ซวิ่น (ค.ศ. 1881-1936) บิดาแห่งการประพันธ์สมัยใหม่ของจีน ผลงานของหลู่ซวิ่นมีอิทธิพลอย่างสูงล้ำไม่เพียงการพัฒนาด้านวรรณกรรมหากยังส่งผลต่อการพัฒนาทั่วทุกด้านของประเทศ ส่งผลกระทบต่อสังคมจีนอย่างทรงพลังที่สุดมากกว่านักเขียนคนใดในยุคเดียวกัน เหมาเจ๋อตงยกย่องหลู่ซวิ่นเป็นนักปรัชญา นักปฏิวัติ และนักประพันธ์ยิ่งใหญ่ของจีน

หลู่ซวิ่น (鲁迅) เกิดเมื่อวันที่ 25 ก.ย. ปีค.ศ.1881 ในอำเภอเส้าซิง มณฑลเจ้อเจียง ชื่อจริงคือ โจว ซู่เหริน (周树人) (หลู่ซวิ่นคือนามปากกกา) เรื่องสั้นเรื่องแรกของเขาที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่คือ บันทึกของคนบ้า ปี 1918  หลู่ซวิ่นเป็นนักประชดประชันเสียดสีตัวยง  ทว่า งานเขียนของเขาอุดมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งต่อความโง่เขลา เฉื่อยชา มืดมนอันธการ

ปณิธานดั้งเดิมของหลู่ซวิ่นคือเป็นแพทย์รักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยของผู้คน ทว่าต่อมาเขากลับพบว่า “ความป่วยไข้” ของผู้คนในสังคมเลวร้ายน่าวิตกยิ่งกว่านัก นั่นคือ ความป่วยไข้ทางจิตวิญญาณ เขาจึงหันมาจับปากกาเป็นเครื่องมือรักษาความป่วยไข้พิกลพิการทางจิตวิญญาณของผู้คนแทน

หนังสือหลายเล่มของหลู่ซวิ่นถูกกำหนดให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาภาคบังคับ

มาอ่านใคร่ครวญสิบถ้อยคำของนักประพันธ์นามอุโฆษ หลู่ ซวิ่น ที่สะท้อนปัญหาสังคมจีนในอดีตจวบจนปัจจุบัน

...“ชาวจีนมีธรรมชาตินิสัยชอบไกล่เกลี่ย ประนีประนอม ยกตัวอย่าง ถ้าคุณบอกว่า ห้องนี้มืดไปนะ เปิดหน้าต่างสักบานหน่อยเถอะ ทุกคนจะไม่ยอม แต่ถ้าคุณเสนอว่า งั้นก็รื้อหลังคาทิ้งไปเลย พวกเขาจะเข้ามาไกล่เกลี่ย จากนั้นทุกคนก็จะเห็นด้วยกับการเปิดหน้าต่าง”

...“ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าคิดว่าคนมีความผิดจึงถูกประหารหรือจำคุก บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าหลายๆคนในกลุ่มผู้ที่กระทำผิดเหล่านั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาถูกตัดสินว่าเป็นคน “เลวร้าย” จึงทำผิดในที่สุด"

...“ในประเทศจีน โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ หากมีใครสักคนป่วยไข้และล้มลงบนถนน หรือประสบอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน ผู้คนที่สัญจรผ่านมา ณ ที่เกิดเหตุนั้น จะเข้ามามุงดู หลายๆคนมองดูคนล้มกลางถนนด้วยอารมณ์สนุกเมามัน แต่ผู้ที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนั้นมีน้อยมากเหลือเกิน”

...“ผู้คนที่ยากไร้ ประสบชีวิตที่บีบคั้น เมื่อร่ำรวยขึ้นมามักจะเปลี่ยนไปในสองทาง หนึ่งคือโลกอุดมคติ พวกเขาจะใส่ใจผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก และกลายเป็นนักมนุษย์ธรรม ในอีกทางหนึ่ง พวกเขาคิดว่าเงินทองทุกบาทสตางค์นั้นพวกเขาหามาด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก ต้องต่อสู้กับโลกที่โหดร้ายเย็นชาโดยลำพัง พวกหลังนี้จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวคุยโวโอ้อวดตน ในประเทศจีนดูเหมือนว่าส่วนใหญ่ได้กลายเป็นพวกหลัง

...“คำโกหกพกลมที่เขียนด้วยน้ำหมึกไม่อาจปกปิดความจริงที่จารึกด้วยเลือด”


...“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ...ทำไมคนจีนถึงได้เฉื่อยชาดูดายสถานการณ์เก่าๆ แต่วิตกกังวลกันนักหนาเมื่อมีโอกาสใหม่ๆเกิดขึ้น ทำไมพวกเขาจึงประนีประนอมกับสภาพการณ์เดิม แต่เรียกร้องความสมบูรณ์แบบในสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น"

...“ถ้าหากคุณสวมหน้ากากอยู่เป็นเวลานานเกินไปละก็ มันจะยึดติดแน่นฝังเข้าไปในเนื้อหนังของคุณ เมื่อต้องการถอดมันออก ก็จะพบว่ามันจะดึงเนื้อหนังติดออกมาด้วยเจ็บปวดเข้าไปถึงกระดูก”

...“เพียงเพราะว่ามันก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร แล้วมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องล่ะหรือ?”

...“สัตว์ใหญ่อย่างพยัคฆ์ราชสีห์ มักเดินไปโดยลำพัง มีเพียงวัวกระบือที่มักเดินไปเป็นฝูง”

...“นักรบที่แท้หาญกล้าเผชิญหน้าสู้โศกนาฏกรรมชีวิต และการหลั่งเลือด


กำลังโหลดความคิดเห็น