จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินผ่านห้องคุณนายอายากะจะออกไปเดินเล่น เห็นปิก้ายังนอนอ้าซ่ากรนครอกอยู่หน้าประตูห้องนั้นเอง
ผมออกทางประตูหลังและพอจะเดินมุ่งไปทางภูเขา คนที่กำลังเดินกลับมาจากทางนั้นโบกไม้เท้าพลางส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล “วู้”
เจ้าของเสียงเรียกคือนายคามิยามะอดีตทนายความของท่านอุตางาวะกับพ่อเฒ่าคิซากุบริวารของท่านประมุข
“ตื่นเช้ามากเลยนะคุณทนาย ใส่กางเกงสมัยใหม่มาเดินเล่นซะด้วย ดูเท่ไม่เบา”
“ผมตื่นเช้าอย่างนี้ทุกวันแหละคุณ จะให้นอนหลับอุตุอยู่ได้ยังไง คนที่นอนอยู่ได้ทั้งวันทั้ง ๆ ที่พระอาทิตย์ส่องตาก็เห็นจะมีนักประพันธ์อย่างพวกคุณกับหัวขโมยเท่านั้นละมัง แล้วก็...อ้อ นี่ผมไม่ได้ออกมาเดินเล่นหรอกนะแต่กำลังหาตัวคุณชิงุซะ เธอออกไปจากบ้านตั้งแต่เย็นวานป่านนี้ยังไม่กลับ คุณยาชิโระอาจคิดว่าผมคิดอะไรไม่เป็นมงคลกับลูกหลานเจ้านาย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า...เอาอีกแล้วหรือนี่ เห็นผมดูแข็งแรงบึกบึนแต่ที่แท้ใจอ่อนเป็นปลาซิว ขืนให้เข้าไปในป่าทึบราวกับดงดิบอย่างนั้นผมคงหวาดผวาจนหัวใจแทบวายแน่”
“คุณทนายตรวจดูทั่วแล้วรึ”
“ก็คิดว่าในระดับหนึ่งละครับ แต่ก็ตรวจทั่วทางเดินที่คนจะเดินผ่านได้เท่านั้น ผมเดินดูจากศาลเจ้ามิวะไปจนถึงสระ มิวะ”
เราสามคนพากันเดินไปบนทางที่ตัดอ้อมด้านหลังศาลเจ้าแล้วชวนกันมองขึ้นไปที่ป่าทึบบนภูเขา ต้นไผ่พันธุ์เตี้ย หญ้าที่ขึ้นสูงท่วมตัว และเถาวัลย์ที่พันเกี่ยวตามต้นไม้ใหญ่ ยิ่งเพิ่มความรกชัฏและหลืบเงามืดทึมอยู่ในความเงียบสงัด
“ป่าดงดิบอย่างนั้น คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะพบศพใครซักคนถูกฆ่าหมกอยู่ในนั้น คุณยาชิโระครับ ถ้าจะเข้าไปในป่านั่นละก็ ผมไม่เอาด้วยนะ”
กำลังพูดอยู่ดี ๆ อยู่ ๆ คามิยามะก็หยุดเดินเขม้นมองไปที่อะไรอย่างหนึ่งบนพื้นดิน
“เอ๊ะ นั่นอะไร” เขาอุทานพร้อมกับหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู “เฮ้ย นี่มันลิปสติก หมายความว่าคุณชิงุซะมาที่นี่หรือยังไง ตายละหญ้าตรงนั้นมีรอยถูกเดินเหยียบเข้าไปชัด ๆ แล้ว...แล้วมันจะยังไงกันเนี่ย”
เราพากันเดินตามรอยบนพงหญ้าเข้าไปสองสามก้าวก็พบกระเป๋าถือใบหนึ่งอยู่ในสภาพเหมือนถูกเขวี้ยงทิ้ง สิ่งของที่อยู่ภายในกระจายเกลื่อน และพอบุกต่อไปอีกราวสิบก้าวก็พบศพคุณชิงุซะนอนคว่ำอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ พิจารณาคร่าว ๆ ได้ว่าฆาตกรใช้ผืนผ้าสำหรับห่อของคลุมศีรษะของนางลงมาจนถึงคอ แล้วจึงรัดคอจนขาดใจตายด้วยเชือกคาดโอบิ
บริเวณรอบที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน
“แทบไม่มีการขัดขืนเลยนะครับ รอยบนพงหญ้าที่เราเห็นทีแรกนั่นน่าจะเป็นพื้นที่เกิดเหตุ และรอยหญ้าลู่เป็นทางนั่นเกิดจากการที่ฆาตกรลากศพมาทิ้งตรงนี้ รู้สึกจะไม่ถูกข่มขืนคร่าพรหมจรรย์ ไอ้ฆาตกรคนนี้ช่างเป็นสุภาพบุรุษดีแท้”
เสื้อนอกและกางเกงเหมือนชุดสากลของผู้ชายที่คุณชิงุซะสวมอยู่ในสภาพปกติทุกอย่างไม่มีร่องรอยว่าถูกทึ้งถอดตรงไหนสักแห่ง
ผมกับทนายคามิยามะรีบรุดไปแจ้งตำรวจแล้วนำทีมตำรวจสายสืบพร้อมด้วยดอกเตอร์โคเซไปยังพื้นที่เกิดเหตุฆาตกรรมคุณชิงุซะ เสร็จธุระตรงนั้นแล้วผมขอตัวกลับไปรับประทานอาหารเช้าที่บ้าน พอไปถึงก็พบว่าคนที่บ้านกำลังแตกตื่นโกลาหลกับเหตุการณ์นายอุสึมิกวีหลังค่อมถูกแทงตายในห้องนอน
คนพบศพคือคุณนายอายากะ นางลงมาที่โต๊ะอาหารไม่เห็นนายอุสึมิจึงขึ้นไปตามและเห็นกวีหลังค่อมในชุดนอนนอนคว่ำจมกองเลือดอยู่กลางห้อง นายอุสึมิถูกแทงเป็นแผลฉกรรจ์ทั่วตัว ที่สีข้างสามแผลแห่ง ที่หน้าอกสองแผล และที่คอสองแผล มีดสั้นที่ใช้สังหารถูกล้างและวางไว้ที่ม้าเครื่องแป้ง แสดงว่าฆาตกรล้างมือหลังฆ่า ส่วนมีดสั้นเล่มนั้นเป็นหนึ่งในชุดมีดที่อยู่บนชั้นเครื่องประดับในห้องนั่งเล่น
รองเท้าแตะของผู้ตายกระเด็นไปตกห่างจากศพราวสองฟุต แต่ตรงข้างประตูมีรองเท้าแตะที่ฆาตกรคงถอดทิ้งเอา ซึ่งเมื่อตรวจดูแล้วปรากฏว่าเป็นรองเท้าแตะสำหรับใช้ในห้องสุขาที่อยู่ข้างห้องนอนนายอุสึมิ นอกจากนั้นแล้วฆาตกรไม่ได้ทิ้งหลักฐานพยานอะไรไว้อีกและไม่มีลายนิ้วมือบนทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องด้วย
ทีมพิสูจน์หลักฐานเสร็จงานการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ พอดีกับที่ศพของคุณชิงุซะถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องผ่าชัณสูตรศพที่จัดขึ้นในโบสถ์วัดโซรินจิซึ่งแพทย์นิติเวชจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดมาคอยอยู่แล้ว และเมื่อศพของนายอุสึมิไปถึงการผ่าตัดชัณสูตรศพรายใหม่ทั้งสองก็เริ่มขึ้น
เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าคุณชิงุซะถูกฆ่าระหว่างหกโมงเย็นถึงทุ่มวันที่ 18 ส่วนกวีหลังค่อมถูกฆ่าในคืนวันเดียวกันนั้นระหว่างห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน อุสึมิกวีหลังค่อมดูเหมือนจะนอนอ่านนวนิยายเรื่องพิศวาทอันตรายของลาคลอสนักประพันธ์ชื่อดังของฝรั่งเศสเรื่องรักกันอันตราย คว่ำหนังสือที่อ่านค้างอยู่ลงบนที่นอนแล้วลงจากเตียง อาจถูกฆ่าตอนนั้นหรือไม่ก็หลังจากกลับจากห้องสุขาแล้วถูกฆาตกรที่ซุ่มคอยอยู่ในห้องแทงตาย คนร้ายน่าจะเป็นคนที่นายอุสึมิผู้นี้รู้จักดี กวีหลังค่อมถูกทำร้ายอย่างฉับพลันโดยไม่รู้ตัว ฆาตกรที่ถือมีดสั้นคอยจังหวะอยู่จ้วงแทงเข้าที่สีข้างเขาหลายครั้ง และพอเขาซวนเซเสียหลักก็ถูกคนร้ายจ้วงแทงซ้ำแล้วซ้ำอีกเข้าที่ลำตัวไม่เลือกที่ นายอุสึมิขาดใจตายไปก่อนที่ฆาตกรจะเสือกปลายมีดเข้าที่หน้าอกจนมิดด้ามหมายให้ตัดขั้วหัวใจ และพอร่างไร้วิญญาณของเขาทรุดลงไปคว่ำหน้าจมกองเลือดกับพื้น มันก็แทงซ้ำเข้าที่ต้นคอเหมือนกับเป็นการลงดาบประหารชีวิต ตำรวจลงความเห็นว่าฆาตกรต้องเป็นคนที่ผู้ตายรู้จักดีแน่ ๆ เพราะการแทงเข้าที่สำคัญถึงชีวิตแล้วยังแทงซ้ำไม่เลือกที่เพื่อให้แน่ใจว่าสิ้นใจตายทันทีนั้น ก็เพราะกลัวว่าเหยื่อจะจำหน้าได้
หลังอาหารเย็นราวสองทุ่มครึ่ง สารวัตรตาเหยี่ยวขอให้เราทุกคนที่พักอยู่ในเรือนฝรั่งมารวมตัวกันที่ห้องใหญ่แล้วบอกว่า
“เอาละครับท่านทั้งหลาย เมื่อเหตุการณ์ลุกลามมาถึงขั้นนี้แล้วผมคิดว่าเราไม่ต้องมารักษามารยาททางสังคมกันให้ยุ่งยากอีกต่อไป ณ ขณะนี้ทุกท่านเป็นผู้ต้องสงสัยแต่ผมจะพยายามหาพยานหลักฐานเพื่อที่จะคัดแต่ละคนออกจากไปจากรายชื่อผู้ต้องสงสัย เข้าใจนะครับ...จึงขอให้ทุกท่านร่วมมือในการสืบสวนคดีครั้งนี้โดยเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดแก่เจ้าหน้าที่ ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องให้ทุกท่านแสดงหลักฐานพยานยืนยันว่าท่านอยู่ที่ไหนในช่วงระหว่างที่พระสวดจบแล้วจุดไฟเผาศพคุณโมจิสึกิ วานิจนกระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเย็น ผมขอถามเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปเป็นอย่างแรกนะครับ คุณโคเซ...คุณกลับออกมาจากบริเวณทำพิธีเผาศพกี่โมงครับ”
“ตามปกติผมเป็นคนไม่เอาใจใส่เรื่องเวลา ไม่ค่อยดูนาฬิกาเลยครับ จะดูก็...เวลามีนัดกับแฟน”
พอเห็นดอกเตอร์หน้าแดงเรื่อแถมยิ้มเจื่อน ๆ ทนายคามิยามะก็สอดขึ้นว่า
“ผมดูนาฬิกาครับ พอพระสวดจบแล้วเขาจุดไฟเผาศพ ครับก็ตอนที่เราจะกลับกันนั่นแหละ ผมได้ยินคุณยาชิโระถามคุณหนู...เอ่อ คุณคาซุมะน่ะครับว่ากี่โมงแล้ว ผมก็เลยดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง หกโมงหกนาทีครับ แต่คุณคาซุมะตอบว่าหกโมงเก้านาที นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโมวาโด้ของผมถึงราคาจะถูกแต่ก็คุณภาพดีใช้ได้ครับ บอกเวลาเที่ยงตรงไม่คลาดเคลื่อนระดับหนึ่งในสิบของวินาทีแน่นอน ว่ายังไงครับถ้าอยากได้จริง ๆ ให้ผมหนึ่งแสนเยนแล้วเอาไปเลย ฮะ ฮะ ฮะ”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงหัวเราะตำรวจสาวผู้ห้าวหาญที่มีสมญานามว่า “อาตาพิน” ก็จ้องเขม็งมาที่ผม ถามเสียงดังลั่นห้องว่า
“อ้าว คุณยาชิโระ คุณก็ใส่นาฬิกาไม่ใช่รึ ทำไมถึงต้องไปถามคนอื่นเขาคะ”
“อ๋อ เมื่อวานนี้ผมลืมเอาไว้บนโต๊ะทำงานในห้อง คุณอาตาพินครับ ผมขอถามหน่อยว่าคุณเป็นคนประเภทที่ต้องเอาของส่วนตัวทุกอย่างติดตัวไปไหนมาไหนทั้งเดือนทั้งปีเลยหรือครับ”
“อะไรนะ คุณมาเรียกฉันว่าอาตาพินได้ยังไง ไม่มีมารยาท”
“หยุด”
สารวัตรตาเหยี่ยวปรามลูกน้อง พร้อมสำทับด้วยสายตาคมวาวเหมือนเหยี่ยวตัวจริง ก่อนถามต่อไปว่า
“ทุกท่านกลับมาพร้อมกันหรือเปล่าครับ”
พอเห็นไม่มีใครตอบ ทนายคามิยามะก็เลยชิงเล่าให้นายตำรวจฟังว่า
“แรกทีเดียวคุณโดอิจิตรกรเอกที่เราเรียกท่านว่าปิก้าช่วยเขาเข็นรถลากที่คุณอุสึมินั่งนำขบวนครับ หนุ่มชาวบ้านสองคนเป็นคนลากรถและมีปิก้าช่วยเข็นอีกแรงหนึ่งรวมเป็นสามแรง รถก็เลยวิ่งขึ้นจากหุบเขาไปเร็วมาก”
“ทำไมถึงได้มีรถลากครับ”
“รถลากคันนั้นเป็นรถบรรทุกศพครับ”
“ถ้าเป็นรถบรรทุกศพ ทำไมถึงไม่กลับไปทันทีหลังนำศพมาถึงเชิงตะกอนแล้ว”
“สารวัตรครับ นี่มันไม่เหมือนรถลากหรือรถแท็กซี่อย่างที่ใช้กันในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ๆ หรอกครับที่เสร็จงานแล้วไปเลย หนุ่มลากรถเป็นชาวบ้านที่ไปช่วยงานที่คฤหาสน์ของคุณท่านจะให้กลับไปทันทีได้ยังไง ที่เชิงตะกอนมีงานที่ต้องช่วยกันทำมากมาย ไหนจะต้องไปหาฟืนมาก่อกองไฟแล้วก็อีกจิปาถะ”
สารวัตรหันไปถามตำรวจสายสืบที่มีสมญาว่านักสืบคิดลึก
“หนุ่มชาวบ้านสองคนนั่นอยู่หรือเปล่า”
“ครับ ผมให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานศพเมื่อวานนี้มารวมตัวกันที่ห้องด้านโน้น”
ว่าแล้วก็เดินไปเรียกสองหนุ่มคือวาซาบุโรกับคิโยชิเข้ามาให้สารวัตรสอบถาม
“คุณอุสึมินั่งรถลากมาถึงไหนรึ”
“มาลงบนทางเดินด้านหลังคฤหาสน์ขอรับ”
“ตรงทางแยกไปภูเขามิวะใช่ไหม”
“ขอรับ ท่านลงบนเนินก่อนถึงทางแยกราวหกสิบเมตร จากตรงนั้นลงเนินไปสักหกสิบเมตรก็ถึงทางแยกไปภูเขา”
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่พามาส่งถึงประตูหลังคฤหาสน์ล่ะ”
“จากตรงนั้นเป็นทางลงเนินขอรับ ท่านขอลงบอกว่าไม่ไหวแล้ว ไม่อยากนั่งรถลากลงเนิน”
“ว่ายังไงครับคุณโดอิ จริงอย่างที่เจ้าหนุ่มบอกหรือเปล่า”
“ผมไม่รู้หรอกครับสารวัตร” ปิก้าตอบ “เพราะผมเลิกช่วยเขาเข็นรถลากหลังจากตั้งหน้าตั้งตาเข็นจากเชิงตะกอนในหุบเขาขึ้นเนินไปห้าหกร้อยเมตรจนพ้นแล้ว เพราะทางจากตรงนั้นถึงจะคดเคี้ยวแต่ก็ไม่ต้องขึ้นลงเนิน จะให้เข็นรถที่คนหนุ่มร่างล่ำสันสองคนลากไปบนทางราบมันไร้ประโยชน์ ไม่ผิดอะไรกับให้ไปเข็นรถดัทสันวิ่งไปบนถนนเลยละครับ”
“แล้วคุณไม่ได้นั่งรถลากไปด้วยรึ”
“เปล่าครับ รถวิ่งเร็วมากแล้วก็กระเทือนด้วย รถเลี้ยวโคล่งเคล้งไปมาเดี๋ยวๆ ก็มองไม่เห็นแล้ว ตอนที่เดินมาถึงทางแยกไปภูเขามิวะ ผมไม่เห็นนายอุสึมิอยู่ตรงนั้นครับ”
“มีใครเห็นคุณอุสึมิที่ภูเขาบ้างไหมครับ”
ทุกคนเงียบ สารวัตรจึงถามต่อ
“ตอนที่คุณโดอิกลับมาถึงคฤหาสน์ คุณอุสึมิกลับมาหรือยังครับ”
“ยังครับ ผมมาถึงเป็นคนแรกและคนต่อมาคือนายอุสึมิ หลังจากนั้นใครจะมาก่อนมาหลังผมไม่รู้ เพราะไม่ได้มีหน้าที่มานั่งเฝ้า”
“คุณรู้ไหมครับว่าตัวเองกลับถึงคฤหาสน์กี่โมง”
“คำถามนี้ตอบยากครับ ตอนผมมาถึงคนที่ผมพบและทักทายกันเป็นคนแรกคือคุณนายอากิโกะ คุณนายดูเหมือนจะเป็นคนละเอียดเรื่องเวลา”
“ราวทุ่มหนึ่งหรือไม่ก็ทุ่มสิบนาทีละมังคะ ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนละเอียดเรื่องเวลาเหมือนกัน”
“แล้วท่านอื่น ๆ กลับมาพร้อมกันหรือครับ”
“ผมกับคุณคาซุมะและเจ้าอาวาสเดินมาด้วยกัน ส่วนคนอื่น ๆ ดูเหมือนจะตามมาช้าอยู่” ทนายคามิยามะบอก ผมจึงเสริมขึ้นว่า
“ใช่ครับ ผมกับ ทังโงะ โมคุเบ โคโรกุและดอกเตอร์โคเซเดินเกาะกลุ่มเดินคุยเรื่องสงครามกันมาตามสบายไม่ได้รีบร้อน พอขึ้นมาสุดเนินหุบเขาทังโงะก็ขอแยกทางไปหมู่บ้านอนเซ็น คิดว่าคงอยากเดินเล่นผ่อนอารมณ์จากที่คุยกันเครียดเรื่องสงคราม ผมตามไปด้วยเพราะตั้งใจจะไปซื้อยาที่หมู่บ้านเดียวกันนั้น แต่พอเดินไปได้ราวสองร้อยเมตรก็สวนกับทังโงะที่เดินย้อนกลับมา ผมซื้อยาจากที่พักแรมของอนเซ็นกลับมาถึงบ้านเมื่อค่ำมากแล้วและพบกับคุณคาซุมะที่ประตูหลัง พอดีกับตอนนั้นหมอเอบิสึกะเดินเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไร ถือไฟฉายส่องแวงวิบวับเข้ามาตรงที่เรายืนอยู่”
“กลุ่มของคุณทนายคามิยามะมาถึงคฤหาสน์พร้อมกันใช่ไหม”
“ใช่ครับ ระหว่างที่เดินมาด้วยกันไม่มีใครแยกทางไปไหน มีแต่เจ้าอาวาสที่พอมาถึงประตูหลังก็ขอกลับวัดก่อน”
คุณคาซุมะเล่าต่อว่า
“จริงครับผมถึงได้คิดว่าเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดไง ผมเข้าบ้านก่อนแล้วจึงออกไปที่วัดเพราะมีเรื่องที่จะต้องปรึกษากับเจ้าอาวาส แต่พอไปถึงกลับไม่พบใคร เรียกแล้วเรียกอีกก็ไม่มีเสียงตอบผมก็เลยนั่งคอยอยู่หน้าโบสถ์ราวครึ่งชั่วโมงก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะคอยต่อไป แล้วก็เดินกลับมาพบกับคุณยาชิโระที่หน้าประตูหลัง เราเดินเข้าไปด้วยกันและพอผ่านเรือนญี่ปุ่นก็พบเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่นครับ”
“ตอนที่อยู่ที่วัดโซรินจิ คุณพบกับใครบ้างหรือเปล่า”
“สารวัตรครับ วัดโซรินจิอยู่ลึกเข้าไปจากทางเดิน ผมไม่ได้พบกับใครสักคนและก็ไม่ใครสักคนเห็นผมด้วย คือผมไม่มีหลักฐานยืนยันที่อยู่ตอนเกิดเหตุฆาตกรรมหรอกครับ”
“คุณทังโงะและคุณยาชิโระแยกกันกลับมาทีละคน ส่วนคุณโคโรกุ คุณโมคุเบ และคุณโคเซกลับมาด้วยกัน ผมเข้าใจถูกไหมครับ”
“ไม่ใช่ครับ ผมกลับมาคนเดียว” โมคุเบเชิดหน้าบอกด้วยท่าทีเย็นชา
“โคโรกุกับดอกเตอร์เขาเดินเลี้ยวไปทางผ่านป่าต้นบุนะ ส่วนผมเดินมาตามทางด้านหลังบ้าน คือทางเดียวกับรถที่ลากนายอุสึมิมานั่นแหละครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องพบกับคุณอุสึมิน่ะซี”
“ไม่ได้พบกันครับ และก็ไม่พบสักคนเดียวเลยด้วย ทางนั้นเป็นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดผ่านป่าทึบไม่มีไร่นา ปกติไม่มีชาวบ้านเดินผ่านไปมาหรอกครับ”
“ขอโทษครับที่มาสาย” หมอเอบิสึกะส่งเสียงทักทายก่อนที่จะเดินเขยกเข้ามาในห้อง
[ตัวละครในเรื่องและความสัมพันธ์ระหว่างกัน]
ปิก้า (โดอิ โคอิชิ) จิตรกรอดีตสามีของอายากะ
อายากะ ภรรยาคนปัจจุบันของคาซุมะ อดีตภรรยาของปิก้า
โมคุเบ ผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีฝรั่งเศส อยู่กับอากิโกะนักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซุมะ
โคโรกุ ฮิโตมิ นักเขียนบทละคร สามีของอาคาชิ โคโจ ดาราชื่อดัง
วานิ โมชิซึกิ, ยุมิฮิโกะทังโงะ, อากิระ อุสึมิ แขกรับเชิญของทามาโอะ:
ผม ยาชิโระ ซุนเป คนเล่าเรื่อง ภรรยาชื่อเคียวโกะ เคยเป็นเมียน้อยนายอุตางาวะ ทามอน บิดาของคาซุมะ
เอบิสึกะหมอขาเป๋ ลูกญาติห่าง ๆ ที่นายอุตางาวะผู้อุปถัมภ์ให้เรียนหอมและมาประจำอยู่ที่หมู่บ้าน
ชิงุซะ หญิงขี้ริ้วลูกพี่ลูกน้องของคาซุมะ
ปรมาจารย์แห่งความลึกลับของฆาตกรรมปริศนา
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
สงครามเพิ่งสงบ สังคมนครหลวงสมัยโชวะพยายามดิ้นรนกลับสู่ยุคทองในอดีตที่ไม่ใช่ว่าไกลโพ้น
ไม่เคยมีเสียดีกว่า ต้องสูญเสียไปแล้วอยากได้คืน...
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินผ่านห้องคุณนายอายากะจะออกไปเดินเล่น เห็นปิก้ายังนอนอ้าซ่ากรนครอกอยู่หน้าประตูห้องนั้นเอง
ผมออกทางประตูหลังและพอจะเดินมุ่งไปทางภูเขา คนที่กำลังเดินกลับมาจากทางนั้นโบกไม้เท้าพลางส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล “วู้”
เจ้าของเสียงเรียกคือนายคามิยามะอดีตทนายความของท่านอุตางาวะกับพ่อเฒ่าคิซากุบริวารของท่านประมุข
“ตื่นเช้ามากเลยนะคุณทนาย ใส่กางเกงสมัยใหม่มาเดินเล่นซะด้วย ดูเท่ไม่เบา”
“ผมตื่นเช้าอย่างนี้ทุกวันแหละคุณ จะให้นอนหลับอุตุอยู่ได้ยังไง คนที่นอนอยู่ได้ทั้งวันทั้ง ๆ ที่พระอาทิตย์ส่องตาก็เห็นจะมีนักประพันธ์อย่างพวกคุณกับหัวขโมยเท่านั้นละมัง แล้วก็...อ้อ นี่ผมไม่ได้ออกมาเดินเล่นหรอกนะแต่กำลังหาตัวคุณชิงุซะ เธอออกไปจากบ้านตั้งแต่เย็นวานป่านนี้ยังไม่กลับ คุณยาชิโระอาจคิดว่าผมคิดอะไรไม่เป็นมงคลกับลูกหลานเจ้านาย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า...เอาอีกแล้วหรือนี่ เห็นผมดูแข็งแรงบึกบึนแต่ที่แท้ใจอ่อนเป็นปลาซิว ขืนให้เข้าไปในป่าทึบราวกับดงดิบอย่างนั้นผมคงหวาดผวาจนหัวใจแทบวายแน่”
“คุณทนายตรวจดูทั่วแล้วรึ”
“ก็คิดว่าในระดับหนึ่งละครับ แต่ก็ตรวจทั่วทางเดินที่คนจะเดินผ่านได้เท่านั้น ผมเดินดูจากศาลเจ้ามิวะไปจนถึงสระ มิวะ”
เราสามคนพากันเดินไปบนทางที่ตัดอ้อมด้านหลังศาลเจ้าแล้วชวนกันมองขึ้นไปที่ป่าทึบบนภูเขา ต้นไผ่พันธุ์เตี้ย หญ้าที่ขึ้นสูงท่วมตัว และเถาวัลย์ที่พันเกี่ยวตามต้นไม้ใหญ่ ยิ่งเพิ่มความรกชัฏและหลืบเงามืดทึมอยู่ในความเงียบสงัด
“ป่าดงดิบอย่างนั้น คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะพบศพใครซักคนถูกฆ่าหมกอยู่ในนั้น คุณยาชิโระครับ ถ้าจะเข้าไปในป่านั่นละก็ ผมไม่เอาด้วยนะ”
กำลังพูดอยู่ดี ๆ อยู่ ๆ คามิยามะก็หยุดเดินเขม้นมองไปที่อะไรอย่างหนึ่งบนพื้นดิน
“เอ๊ะ นั่นอะไร” เขาอุทานพร้อมกับหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู “เฮ้ย นี่มันลิปสติก หมายความว่าคุณชิงุซะมาที่นี่หรือยังไง ตายละหญ้าตรงนั้นมีรอยถูกเดินเหยียบเข้าไปชัด ๆ แล้ว...แล้วมันจะยังไงกันเนี่ย”
เราพากันเดินตามรอยบนพงหญ้าเข้าไปสองสามก้าวก็พบกระเป๋าถือใบหนึ่งอยู่ในสภาพเหมือนถูกเขวี้ยงทิ้ง สิ่งของที่อยู่ภายในกระจายเกลื่อน และพอบุกต่อไปอีกราวสิบก้าวก็พบศพคุณชิงุซะนอนคว่ำอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ พิจารณาคร่าว ๆ ได้ว่าฆาตกรใช้ผืนผ้าสำหรับห่อของคลุมศีรษะของนางลงมาจนถึงคอ แล้วจึงรัดคอจนขาดใจตายด้วยเชือกคาดโอบิ
บริเวณรอบที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน
“แทบไม่มีการขัดขืนเลยนะครับ รอยบนพงหญ้าที่เราเห็นทีแรกนั่นน่าจะเป็นพื้นที่เกิดเหตุ และรอยหญ้าลู่เป็นทางนั่นเกิดจากการที่ฆาตกรลากศพมาทิ้งตรงนี้ รู้สึกจะไม่ถูกข่มขืนคร่าพรหมจรรย์ ไอ้ฆาตกรคนนี้ช่างเป็นสุภาพบุรุษดีแท้”
เสื้อนอกและกางเกงเหมือนชุดสากลของผู้ชายที่คุณชิงุซะสวมอยู่ในสภาพปกติทุกอย่างไม่มีร่องรอยว่าถูกทึ้งถอดตรงไหนสักแห่ง
ผมกับทนายคามิยามะรีบรุดไปแจ้งตำรวจแล้วนำทีมตำรวจสายสืบพร้อมด้วยดอกเตอร์โคเซไปยังพื้นที่เกิดเหตุฆาตกรรมคุณชิงุซะ เสร็จธุระตรงนั้นแล้วผมขอตัวกลับไปรับประทานอาหารเช้าที่บ้าน พอไปถึงก็พบว่าคนที่บ้านกำลังแตกตื่นโกลาหลกับเหตุการณ์นายอุสึมิกวีหลังค่อมถูกแทงตายในห้องนอน
คนพบศพคือคุณนายอายากะ นางลงมาที่โต๊ะอาหารไม่เห็นนายอุสึมิจึงขึ้นไปตามและเห็นกวีหลังค่อมในชุดนอนนอนคว่ำจมกองเลือดอยู่กลางห้อง นายอุสึมิถูกแทงเป็นแผลฉกรรจ์ทั่วตัว ที่สีข้างสามแผลแห่ง ที่หน้าอกสองแผล และที่คอสองแผล มีดสั้นที่ใช้สังหารถูกล้างและวางไว้ที่ม้าเครื่องแป้ง แสดงว่าฆาตกรล้างมือหลังฆ่า ส่วนมีดสั้นเล่มนั้นเป็นหนึ่งในชุดมีดที่อยู่บนชั้นเครื่องประดับในห้องนั่งเล่น
รองเท้าแตะของผู้ตายกระเด็นไปตกห่างจากศพราวสองฟุต แต่ตรงข้างประตูมีรองเท้าแตะที่ฆาตกรคงถอดทิ้งเอา ซึ่งเมื่อตรวจดูแล้วปรากฏว่าเป็นรองเท้าแตะสำหรับใช้ในห้องสุขาที่อยู่ข้างห้องนอนนายอุสึมิ นอกจากนั้นแล้วฆาตกรไม่ได้ทิ้งหลักฐานพยานอะไรไว้อีกและไม่มีลายนิ้วมือบนทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องด้วย
ทีมพิสูจน์หลักฐานเสร็จงานการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ พอดีกับที่ศพของคุณชิงุซะถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องผ่าชัณสูตรศพที่จัดขึ้นในโบสถ์วัดโซรินจิซึ่งแพทย์นิติเวชจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดมาคอยอยู่แล้ว และเมื่อศพของนายอุสึมิไปถึงการผ่าตัดชัณสูตรศพรายใหม่ทั้งสองก็เริ่มขึ้น
เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าคุณชิงุซะถูกฆ่าระหว่างหกโมงเย็นถึงทุ่มวันที่ 18 ส่วนกวีหลังค่อมถูกฆ่าในคืนวันเดียวกันนั้นระหว่างห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน อุสึมิกวีหลังค่อมดูเหมือนจะนอนอ่านนวนิยายเรื่องพิศวาทอันตรายของลาคลอสนักประพันธ์ชื่อดังของฝรั่งเศสเรื่องรักกันอันตราย คว่ำหนังสือที่อ่านค้างอยู่ลงบนที่นอนแล้วลงจากเตียง อาจถูกฆ่าตอนนั้นหรือไม่ก็หลังจากกลับจากห้องสุขาแล้วถูกฆาตกรที่ซุ่มคอยอยู่ในห้องแทงตาย คนร้ายน่าจะเป็นคนที่นายอุสึมิผู้นี้รู้จักดี กวีหลังค่อมถูกทำร้ายอย่างฉับพลันโดยไม่รู้ตัว ฆาตกรที่ถือมีดสั้นคอยจังหวะอยู่จ้วงแทงเข้าที่สีข้างเขาหลายครั้ง และพอเขาซวนเซเสียหลักก็ถูกคนร้ายจ้วงแทงซ้ำแล้วซ้ำอีกเข้าที่ลำตัวไม่เลือกที่ นายอุสึมิขาดใจตายไปก่อนที่ฆาตกรจะเสือกปลายมีดเข้าที่หน้าอกจนมิดด้ามหมายให้ตัดขั้วหัวใจ และพอร่างไร้วิญญาณของเขาทรุดลงไปคว่ำหน้าจมกองเลือดกับพื้น มันก็แทงซ้ำเข้าที่ต้นคอเหมือนกับเป็นการลงดาบประหารชีวิต ตำรวจลงความเห็นว่าฆาตกรต้องเป็นคนที่ผู้ตายรู้จักดีแน่ ๆ เพราะการแทงเข้าที่สำคัญถึงชีวิตแล้วยังแทงซ้ำไม่เลือกที่เพื่อให้แน่ใจว่าสิ้นใจตายทันทีนั้น ก็เพราะกลัวว่าเหยื่อจะจำหน้าได้
หลังอาหารเย็นราวสองทุ่มครึ่ง สารวัตรตาเหยี่ยวขอให้เราทุกคนที่พักอยู่ในเรือนฝรั่งมารวมตัวกันที่ห้องใหญ่แล้วบอกว่า
“เอาละครับท่านทั้งหลาย เมื่อเหตุการณ์ลุกลามมาถึงขั้นนี้แล้วผมคิดว่าเราไม่ต้องมารักษามารยาททางสังคมกันให้ยุ่งยากอีกต่อไป ณ ขณะนี้ทุกท่านเป็นผู้ต้องสงสัยแต่ผมจะพยายามหาพยานหลักฐานเพื่อที่จะคัดแต่ละคนออกจากไปจากรายชื่อผู้ต้องสงสัย เข้าใจนะครับ...จึงขอให้ทุกท่านร่วมมือในการสืบสวนคดีครั้งนี้โดยเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดแก่เจ้าหน้าที่ ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องให้ทุกท่านแสดงหลักฐานพยานยืนยันว่าท่านอยู่ที่ไหนในช่วงระหว่างที่พระสวดจบแล้วจุดไฟเผาศพคุณโมจิสึกิ วานิจนกระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเย็น ผมขอถามเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปเป็นอย่างแรกนะครับ คุณโคเซ...คุณกลับออกมาจากบริเวณทำพิธีเผาศพกี่โมงครับ”
“ตามปกติผมเป็นคนไม่เอาใจใส่เรื่องเวลา ไม่ค่อยดูนาฬิกาเลยครับ จะดูก็...เวลามีนัดกับแฟน”
พอเห็นดอกเตอร์หน้าแดงเรื่อแถมยิ้มเจื่อน ๆ ทนายคามิยามะก็สอดขึ้นว่า
“ผมดูนาฬิกาครับ พอพระสวดจบแล้วเขาจุดไฟเผาศพ ครับก็ตอนที่เราจะกลับกันนั่นแหละ ผมได้ยินคุณยาชิโระถามคุณหนู...เอ่อ คุณคาซุมะน่ะครับว่ากี่โมงแล้ว ผมก็เลยดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง หกโมงหกนาทีครับ แต่คุณคาซุมะตอบว่าหกโมงเก้านาที นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโมวาโด้ของผมถึงราคาจะถูกแต่ก็คุณภาพดีใช้ได้ครับ บอกเวลาเที่ยงตรงไม่คลาดเคลื่อนระดับหนึ่งในสิบของวินาทีแน่นอน ว่ายังไงครับถ้าอยากได้จริง ๆ ให้ผมหนึ่งแสนเยนแล้วเอาไปเลย ฮะ ฮะ ฮะ”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงหัวเราะตำรวจสาวผู้ห้าวหาญที่มีสมญานามว่า “อาตาพิน” ก็จ้องเขม็งมาที่ผม ถามเสียงดังลั่นห้องว่า
“อ้าว คุณยาชิโระ คุณก็ใส่นาฬิกาไม่ใช่รึ ทำไมถึงต้องไปถามคนอื่นเขาคะ”
“อ๋อ เมื่อวานนี้ผมลืมเอาไว้บนโต๊ะทำงานในห้อง คุณอาตาพินครับ ผมขอถามหน่อยว่าคุณเป็นคนประเภทที่ต้องเอาของส่วนตัวทุกอย่างติดตัวไปไหนมาไหนทั้งเดือนทั้งปีเลยหรือครับ”
“อะไรนะ คุณมาเรียกฉันว่าอาตาพินได้ยังไง ไม่มีมารยาท”
“หยุด”
สารวัตรตาเหยี่ยวปรามลูกน้อง พร้อมสำทับด้วยสายตาคมวาวเหมือนเหยี่ยวตัวจริง ก่อนถามต่อไปว่า
“ทุกท่านกลับมาพร้อมกันหรือเปล่าครับ”
พอเห็นไม่มีใครตอบ ทนายคามิยามะก็เลยชิงเล่าให้นายตำรวจฟังว่า
“แรกทีเดียวคุณโดอิจิตรกรเอกที่เราเรียกท่านว่าปิก้าช่วยเขาเข็นรถลากที่คุณอุสึมินั่งนำขบวนครับ หนุ่มชาวบ้านสองคนเป็นคนลากรถและมีปิก้าช่วยเข็นอีกแรงหนึ่งรวมเป็นสามแรง รถก็เลยวิ่งขึ้นจากหุบเขาไปเร็วมาก”
“ทำไมถึงได้มีรถลากครับ”
“รถลากคันนั้นเป็นรถบรรทุกศพครับ”
“ถ้าเป็นรถบรรทุกศพ ทำไมถึงไม่กลับไปทันทีหลังนำศพมาถึงเชิงตะกอนแล้ว”
“สารวัตรครับ นี่มันไม่เหมือนรถลากหรือรถแท็กซี่อย่างที่ใช้กันในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ๆ หรอกครับที่เสร็จงานแล้วไปเลย หนุ่มลากรถเป็นชาวบ้านที่ไปช่วยงานที่คฤหาสน์ของคุณท่านจะให้กลับไปทันทีได้ยังไง ที่เชิงตะกอนมีงานที่ต้องช่วยกันทำมากมาย ไหนจะต้องไปหาฟืนมาก่อกองไฟแล้วก็อีกจิปาถะ”
สารวัตรหันไปถามตำรวจสายสืบที่มีสมญาว่านักสืบคิดลึก
“หนุ่มชาวบ้านสองคนนั่นอยู่หรือเปล่า”
“ครับ ผมให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานศพเมื่อวานนี้มารวมตัวกันที่ห้องด้านโน้น”
ว่าแล้วก็เดินไปเรียกสองหนุ่มคือวาซาบุโรกับคิโยชิเข้ามาให้สารวัตรสอบถาม
“คุณอุสึมินั่งรถลากมาถึงไหนรึ”
“มาลงบนทางเดินด้านหลังคฤหาสน์ขอรับ”
“ตรงทางแยกไปภูเขามิวะใช่ไหม”
“ขอรับ ท่านลงบนเนินก่อนถึงทางแยกราวหกสิบเมตร จากตรงนั้นลงเนินไปสักหกสิบเมตรก็ถึงทางแยกไปภูเขา”
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่พามาส่งถึงประตูหลังคฤหาสน์ล่ะ”
“จากตรงนั้นเป็นทางลงเนินขอรับ ท่านขอลงบอกว่าไม่ไหวแล้ว ไม่อยากนั่งรถลากลงเนิน”
“ว่ายังไงครับคุณโดอิ จริงอย่างที่เจ้าหนุ่มบอกหรือเปล่า”
“ผมไม่รู้หรอกครับสารวัตร” ปิก้าตอบ “เพราะผมเลิกช่วยเขาเข็นรถลากหลังจากตั้งหน้าตั้งตาเข็นจากเชิงตะกอนในหุบเขาขึ้นเนินไปห้าหกร้อยเมตรจนพ้นแล้ว เพราะทางจากตรงนั้นถึงจะคดเคี้ยวแต่ก็ไม่ต้องขึ้นลงเนิน จะให้เข็นรถที่คนหนุ่มร่างล่ำสันสองคนลากไปบนทางราบมันไร้ประโยชน์ ไม่ผิดอะไรกับให้ไปเข็นรถดัทสันวิ่งไปบนถนนเลยละครับ”
“แล้วคุณไม่ได้นั่งรถลากไปด้วยรึ”
“เปล่าครับ รถวิ่งเร็วมากแล้วก็กระเทือนด้วย รถเลี้ยวโคล่งเคล้งไปมาเดี๋ยวๆ ก็มองไม่เห็นแล้ว ตอนที่เดินมาถึงทางแยกไปภูเขามิวะ ผมไม่เห็นนายอุสึมิอยู่ตรงนั้นครับ”
“มีใครเห็นคุณอุสึมิที่ภูเขาบ้างไหมครับ”
ทุกคนเงียบ สารวัตรจึงถามต่อ
“ตอนที่คุณโดอิกลับมาถึงคฤหาสน์ คุณอุสึมิกลับมาหรือยังครับ”
“ยังครับ ผมมาถึงเป็นคนแรกและคนต่อมาคือนายอุสึมิ หลังจากนั้นใครจะมาก่อนมาหลังผมไม่รู้ เพราะไม่ได้มีหน้าที่มานั่งเฝ้า”
“คุณรู้ไหมครับว่าตัวเองกลับถึงคฤหาสน์กี่โมง”
“คำถามนี้ตอบยากครับ ตอนผมมาถึงคนที่ผมพบและทักทายกันเป็นคนแรกคือคุณนายอากิโกะ คุณนายดูเหมือนจะเป็นคนละเอียดเรื่องเวลา”
“ราวทุ่มหนึ่งหรือไม่ก็ทุ่มสิบนาทีละมังคะ ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนละเอียดเรื่องเวลาเหมือนกัน”
“แล้วท่านอื่น ๆ กลับมาพร้อมกันหรือครับ”
“ผมกับคุณคาซุมะและเจ้าอาวาสเดินมาด้วยกัน ส่วนคนอื่น ๆ ดูเหมือนจะตามมาช้าอยู่” ทนายคามิยามะบอก ผมจึงเสริมขึ้นว่า
“ใช่ครับ ผมกับ ทังโงะ โมคุเบ โคโรกุและดอกเตอร์โคเซเดินเกาะกลุ่มเดินคุยเรื่องสงครามกันมาตามสบายไม่ได้รีบร้อน พอขึ้นมาสุดเนินหุบเขาทังโงะก็ขอแยกทางไปหมู่บ้านอนเซ็น คิดว่าคงอยากเดินเล่นผ่อนอารมณ์จากที่คุยกันเครียดเรื่องสงคราม ผมตามไปด้วยเพราะตั้งใจจะไปซื้อยาที่หมู่บ้านเดียวกันนั้น แต่พอเดินไปได้ราวสองร้อยเมตรก็สวนกับทังโงะที่เดินย้อนกลับมา ผมซื้อยาจากที่พักแรมของอนเซ็นกลับมาถึงบ้านเมื่อค่ำมากแล้วและพบกับคุณคาซุมะที่ประตูหลัง พอดีกับตอนนั้นหมอเอบิสึกะเดินเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไร ถือไฟฉายส่องแวงวิบวับเข้ามาตรงที่เรายืนอยู่”
“กลุ่มของคุณทนายคามิยามะมาถึงคฤหาสน์พร้อมกันใช่ไหม”
“ใช่ครับ ระหว่างที่เดินมาด้วยกันไม่มีใครแยกทางไปไหน มีแต่เจ้าอาวาสที่พอมาถึงประตูหลังก็ขอกลับวัดก่อน”
คุณคาซุมะเล่าต่อว่า
“จริงครับผมถึงได้คิดว่าเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดไง ผมเข้าบ้านก่อนแล้วจึงออกไปที่วัดเพราะมีเรื่องที่จะต้องปรึกษากับเจ้าอาวาส แต่พอไปถึงกลับไม่พบใคร เรียกแล้วเรียกอีกก็ไม่มีเสียงตอบผมก็เลยนั่งคอยอยู่หน้าโบสถ์ราวครึ่งชั่วโมงก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะคอยต่อไป แล้วก็เดินกลับมาพบกับคุณยาชิโระที่หน้าประตูหลัง เราเดินเข้าไปด้วยกันและพอผ่านเรือนญี่ปุ่นก็พบเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่นครับ”
“ตอนที่อยู่ที่วัดโซรินจิ คุณพบกับใครบ้างหรือเปล่า”
“สารวัตรครับ วัดโซรินจิอยู่ลึกเข้าไปจากทางเดิน ผมไม่ได้พบกับใครสักคนและก็ไม่ใครสักคนเห็นผมด้วย คือผมไม่มีหลักฐานยืนยันที่อยู่ตอนเกิดเหตุฆาตกรรมหรอกครับ”
“คุณทังโงะและคุณยาชิโระแยกกันกลับมาทีละคน ส่วนคุณโคโรกุ คุณโมคุเบ และคุณโคเซกลับมาด้วยกัน ผมเข้าใจถูกไหมครับ”
“ไม่ใช่ครับ ผมกลับมาคนเดียว” โมคุเบเชิดหน้าบอกด้วยท่าทีเย็นชา
“โคโรกุกับดอกเตอร์เขาเดินเลี้ยวไปทางผ่านป่าต้นบุนะ ส่วนผมเดินมาตามทางด้านหลังบ้าน คือทางเดียวกับรถที่ลากนายอุสึมิมานั่นแหละครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องพบกับคุณอุสึมิน่ะซี”
“ไม่ได้พบกันครับ และก็ไม่พบสักคนเดียวเลยด้วย ทางนั้นเป็นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดผ่านป่าทึบไม่มีไร่นา ปกติไม่มีชาวบ้านเดินผ่านไปมาหรอกครับ”
“ขอโทษครับที่มาสาย” หมอเอบิสึกะส่งเสียงทักทายก่อนที่จะเดินเขยกเข้ามาในห้อง
[ตัวละครในเรื่องและความสัมพันธ์ระหว่างกัน]
ปิก้า (โดอิ โคอิชิ) จิตรกรอดีตสามีของอายากะ
อายากะ ภรรยาคนปัจจุบันของคาซุมะ อดีตภรรยาของปิก้า
โมคุเบ ผู้เชี่ยวชาญวรรณคดีฝรั่งเศส อยู่กับอากิโกะนักประพันธ์สตรีอดีตภรรยาของคาซุมะ
โคโรกุ ฮิโตมิ นักเขียนบทละคร สามีของอาคาชิ โคโจ ดาราชื่อดัง
วานิ โมชิซึกิ, ยุมิฮิโกะทังโงะ, อากิระ อุสึมิ แขกรับเชิญของทามาโอะ:
ผม ยาชิโระ ซุนเป คนเล่าเรื่อง ภรรยาชื่อเคียวโกะ เคยเป็นเมียน้อยนายอุตางาวะ ทามอน บิดาของคาซุมะ
เอบิสึกะหมอขาเป๋ ลูกญาติห่าง ๆ ที่นายอุตางาวะผู้อุปถัมภ์ให้เรียนหอมและมาประจำอยู่ที่หมู่บ้าน
ชิงุซะ หญิงขี้ริ้วลูกพี่ลูกน้องของคาซุมะ