โดย ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม
อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง
8 มีนาคม 2568
จากข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้หลายภาคส่วนเห็นว่า MOU 2544 เป็นบันทึกความเข้าใจที่ทำให้ไทยเสียเปรียบอย่างมากในการเจรจากับกัมพูชาทั้งในเรื่องการปักปันเขตแดนทางทะเลและการใช้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล รวมทั้งอาจมีการดำเนินการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งยากแก่การตรวจสอบ จึงเกิดความเคลื่อนไหวเพื่อให้ยกเลิก MOU 2544 จากหลายภาคส่วน ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายกัมพูชาซึ่งส่วนใหญ่เคลื่อนไหวโดยพรรคฝ่ายค้านของกัมพูชา ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวมักจะมีมากในช่วงที่พรรคการเมืองฝ่ายอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งคงเนื่องมาจากนายทักษิณและสมเด็จฯ ฮุน เซน มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นและลึกซึ้ง ดังจะเห็นได้จากในปี พ.ศ. 2552 สมัยที่สมเด็จฯ ฮุน เซน เป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้แต่งตั้งนายทักษิณเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา รวมทั้งยืนยันไม่ส่งตัวนายทักษิณให้กับไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนหากได้รับการร้องขอจากไทย
ความเคลื่อนไหวเพื่อให้ยกเลิก MOU 2544 จากหลายภาคส่วน มีหลายลักษณะ เช่น การแสดงความเห็นต่อสาธารณะของทั้งบุคคลและพรรคการเมือง การยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล การยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินและศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ตัวอย่างของความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
1) พลเรือเอก ถนอม เจริญลาภ (อดีตเจ้ากรมอุทกศาสตร์ อดีตที่ปรึกษารัฐบาลไทยด้านกฎหมายทะเลและเขตแดนทางทะเล อดีตกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) และอดีตเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของคณะผู้แทนฝ่ายไทยในการเจรจากำหนดเขตทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน) ได้แสดงความเห็นที่สำคัญไว้ในเอกสารประกอบการบรรยายเรื่อง “การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทยของประเทศไทยกับประเทศเพื่อบ้าน” ที่หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อวันที่ 2/8/2554 ว่า “น่าจะไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามให้มีการแสวงประโยชน์ร่วมกัน เพราะดูจากท่าทีของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่ามีจุดยืนที่ห่างกันมาก ถ้าเป็นไปได้ หัวหน้าคณะเจรจาทั้งสองน่าจะหารือกันยกเลิกวิธีการเดิม แล้วเริ่มเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลตลอดแนวไปเลย หากภายในระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 หรือ 10 ปี ยังไม่ประสบผลสำเร็จควรหารือกันอีกครั้งว่าน่าจะเหมาะสมหรือไม่ที่จะตกลงร่วมกันใช้บริการศาลโลก การนำคดีขึ้นสู่ศาลโลกใช่ว่าจะต้องทะเลาะกัน จะเห็นว่าในปัญหาเขตแดนทางทะเลเมื่อฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นว่าการเจรจาถึงทางตัน ก็นำคดีขึ้นสู่ศาลโลกให้ช่วยดำเนินการให้ ดังเช่นคดีไหล่ทวีปทะเลเหนือ 1969 ระหว่างเยอรมัน เดนมาร์ก กับเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น คนไทยอาจจะมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับศาลโลก เนื่องจากคำตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหาร แต่โดยความเป็นจริง เท่าที่ติดตามผลงานของศาลโลกเกี่ยวกับการตัดสินคดีเขตแดนทางทะเลต่าง ๆ เห็นว่าศาลโลกมีความยุติธรรมและเชื่อถือได้ คำชี้แจงของศาลโลกในคดีต่าง ๆ ยังถูกนำมาอ้างอิงเป็นบรรทัดฐานในการเจรจาได้เสมอเมื่อมีประเด็นที่สามารถอ้างอิงได้และฝ่ายตรงข้ามจะยอมรับเป็นส่วนมาก”
2) ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ (อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย อดีตหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเจรจาจัดทำความตกลงแบ่งผลประโยชน์ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และอดีตสมาชิกวุฒิสภา) ได้แสดงความเห็นที่สำคัญไว้ในบทความเรื่อง “ควรบอกเลิกบันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2544 (MOU 2544) เกี่ยวกับเขตทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา หรือไม่ ?” ที่จัดพิมพ์โดยคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา พ.ศ. 2554 ว่า “เห็นว่าก่อนดำเนินการขั้นต่อไปตามบันทึกความเข้าใจฯ จะต้องเสนอกัมพูชาทบทวนแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ นี้ในสาระสำคัญ ขอให้ถามกัมพูชาว่าเส้นประกาศเขตไหล่ทวีปกัมพูชาจากจุด A (หลักเขต 73) จากชายฝั่งประชิดเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา ผ่ายอดสูงสุดของเกาะกูด (จุด S) ตรงไปที่กึ่งกลางของฝั่งตรงข้ามของอ่าวไทยที่จุด P ทั้ง ๆ ที่เกาะกูดเป็นของไทยแน่นอนปราศจากข้อสงสัยนั้น มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายระหว่างประเทศสนับสนุนอย่างไร ? นอกจากนั้น กัมพูชายังประกาศในตอนหลังใช้เส้นเดิมจากจุด A (หลักเขต 73) ไปถึงเกาะกูดเป็นทะเลอาณาเขตกัมพูชาด้วยดังกล่าวข้างต้น ............ หากกัมพูชาไม่ยอมปรับเส้นเขตทางทะเลด้งกล่าวตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศโดยนัยสำคัญแล้ว ฝ่ายไทยจะต้องรีบบอกยกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ นี้โดยเร็ว มิฉะนั้นแล้ว หากเป็นคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล ประเทศไทยย่อมเสียเปรียบในรูปคดีแน่ เพราะศาลก็จะบังคับให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่ศาลเห็นสมควร”
3) นายไพบูลย์ นิติตะวัน (เลขาธิการพรรพลังประชารัฐ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตสมาชิกวุฒิสภา) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 13/6/2567 เพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัยว่า (ก) การกระทำของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ผู้ถูกร้องที่ 1 และกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ถูกร้องที่ 2 ในการนำ MOU 2544 ที่ทำขึ้นโดยขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาใช้เป็นเครื่องมือดำเนินการแบ่งเขตอธิปไตยทางทะเลและแบ่งผลประโยชน์ทรัพยากรพลังงานธรรมชาติทางทะเลของไทยให้แก่กัมพูชา เป็นการกระทำละเมิดสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 25 และมาตรา 43 วรรคหนึ่ง (2) (ข) MOU 2544 เป็นหนังสือสัญญาที่จัดทำโดยไม่ได้ขอความเห็นชอบของรัฐสภา จึงใช้บังคับไม่ได้ (ค) ให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของผู้ร้องโดยให้เลิกการนำ MOU 2544 มาใช้ ต่อมาวันที่ 4/9/2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 มีคำสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าว โดยศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามเอกสารหลักฐานของผู้ถูกร้องที่ 1 ปรากฏว่ากรณีเป็นปัญหาเรื่องหน้าที่ของรัฐตามหมวด 5 ของรัฐธรรมนูญ ยังไม่ปรากฏว่านายไพบูลย์เป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรงจากการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสอง จึงไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ได้
4) พรรคพลังประชารัฐนำคณะโดยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรคฯ แถลงเสนอให้ยกเลิก MOU 2544 เมื่อวันที่ 8/11/2567 เนื่องจาก MOU 2544 มีปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลมีขนาดใหญ่เกินจริงที่ไม่ได้เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6/11/2567 นายไทกร พลสุวรรณ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติ ได้ออกมาเปิดเผยว่าเมื่อปี พ.ศ. 2562 สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธาน JTC (ฝ่ายไทย) เพื่อเจรจาตาม MOU 2544 โดยแหล่งข่าวที่ได้เข้าร่วมการประชุมด้วยได้ให้ข้อมูลว่ากัมพูชาเสนอให้ไทยรับรองเขตแดนทางทะเลของกัมพูชาตามเอกสารประกาศลงวันที่ 12/9/2515 ที่ลากเส้นผ่าเกาะกูด และเสนอให้ทั้งสองฝ่ายใช้พื้นที่เกาะกูดเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน ฝ่ายไทยเมื่อได้รับทราบเจตนารมณ์ของกัมพูชา จึงขอยุติการประชุมโดยให้เหตุผลว่าต้องนำข้อเสนอกลับไปปรึกษากับรัฐบาลเสียก่อน และจนถึงวันนี้ก็ไม่มีการประชุมกันอีกเลย
5) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม (ประธานพรรคไทยภักดี และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) พร้อมแนวร่วมกลุ่มคนคลั่งชาติ นำรายชื่อประชาชน 104,697 รายชื่อ ยื่นถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22/11/2567 เพื่อเรียกร้องให้ (1) ยกเลิก MOU 2544 (2) สนับสนุนการเจรจาแต่ต้องอยู่บนหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศที่เหมือนกัน และ (3) อย่านำไปสู่การแบ่งผลประโยชน์ด้วยการขุดพลังงานทางทะเล เพราะจะทำให้ไทยเสียดินแดนทางทะเล
6) นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ (อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9/12/2567 เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 2544 และหากไม่ดำเนินการ จะนำมวลชนมาประท้วง ทั้งนี้ เห็นว่าการเจรจาตาม MOU 2544 จะทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว