xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

โลกตะวันตก...กำลัง “ล่มสลาย”!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


พลเอกLloyd Austin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องขออนุญาตชวนให้ลองไปสำรวจ-ตรวจสอบ อากัปกิริยา-ความเป็นไปของบรรดาพวก “โลกตะวันตก” ที่มีคุณพ่ออเมริการวมทั้งบรรดาชาติยุโรปทั้งหลายเป็นแกนหลัก หรือบรรดาพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว”เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ นั่นแหละทั่น!!! ว่าเอาไป-เอามาแล้ว จะถึงขั้น “ล่มสลาย-ไม่ล่มสลาย”ภายในอนาคตอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ หรือไม่? อย่างไร? เพราะเท่าที่ฟังๆ จากบรรดา “ข่าวล่า-มาเรือ”ทั้งหลาย โดยลักษณะอาการน่าจะหนักเสียยิ่งกว่า “หายใจทางปาก”หรือคงต้องหันมา “หายใจทางเหงือก” กันไปเป็นชาติๆ เป็นประเทศๆ ไปแล้วก็ว่าได้...

แถมลักษณะอาการในแบบที่ว่า...ก็คงไม่ได้เป็นเพราะต้องเจอกับ “มหาอำนาจคู่แข่ง”เจอกับพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย กระทำ ย่ำยี เอาเลยแม้แต่น้อย แต่น่าจะเป็นเพราะ “ตัวของตัวเอง”นั่นแหละเป็นสำคัญ หรือเป็นดังที่บรรดานักวิเคราะห์ นักคาดการณ์ทางการเมือง-เศรษฐกิจ ระดับเฉียบขาด-เฉียบคมทั้งหลาย ไม่ว่าประเภท “Marc Faber” นักวิเคราะห์การลงทุนชาวสวิส นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซูริค ผู้ได้รับปริญญาด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่อายุแค่ 24 ปี เจ้าของจดหมายข่าว “Gloom Bloom & Doom Report”ที่ได้รับการยอมรับถึงความแม่นยำในการคาดคำนวณแนวโน้มต่างๆ ทางเศรษฐกิจ หรือ “Gerald Celente” เจ้าของนิตยสาร “Trends Journal” และผู้ก่อตั้งสถาบัน “Trend Research Institute” ที่เคยสร้างความฮือฮาให้กับแวดวงเศรษฐกิจ-การเมือง ด้วยคำทำนายถึงวิกฤตตลาดหุ้นปี ค.ศ. 1987 การล่มสลายของอดีตประเทศสหภาพโซเวียตปี ค.ศ. 1991 ไปจนถึงวิกฤตฟองสบู่ทางการเงินปี ค.ศ. 2001 ฯลฯ ที่ได้พูด ได้วิเคราะห์ เอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ว่าด้วยเหตุเพราะ “ศัตรูที่แท้จริง” ของอเมริกาและชาติยุโรปทั้งหลาย ก็คือ “ตัวตนของตัวเอง” นั่นแหละ หรือเพราะระบบการเมือง-เศรษฐกิจแบบ “จักรวรรดินิยม” และแบบ “ทุนนิยมเสรี” นั่นเอง ที่นอกจากจะเป็นภัยคุกคามต่อประเทศชาติและประชาชนของตัวเอง แต่ยังอาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด “อภิมหาสงครามโลกครั้งที่ 3”ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!!

คือแค่ดูจากเฉพาะเรื่อง “แบงก์ล้ม-แบงก์รัน” ในอเมริกาและยุโรป อันกำลังเป็นที่ “พูดกันสนั่นเมือง-สนั่นโลก”ไปแล้วทุกวันนี้ก็น่าจะพอมองเห็นภาพรางๆ ขึ้นมามั่งแล้ว ว่ามันออกจะหนักหนา-สาหัส ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน เพราะคงไม่ใช่แค่เฉพาะ 3 แบงก์ระดับเล็กๆ ในอเมริกาเท่านั้น ที่ออกอาการไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ดังที่เป็นข่าวคราวอยู่ในช่วงระหว่างนี้ หรือไม่ใช่แค่ธนาคารอันดับสองในสวิส ที่ต้องขายทอดตลาดให้กับธนาคารอันดับหนึ่ง จนทำให้ความเชื่อมั่น-ศรัทธาต่อระบบการเงิน-การธนาคาร ของประเทศที่เคยได้ชื่อว่ามั่นคง-แข็งแรงอย่างมิอาจโยกคลอนใดๆ ได้เลย กลับต้องแปรสภาพไปเป็น “สาธารณรัฐกล้วยทางการเงิน” หรือ “Financial banana Republic” อย่างที่ผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนระดับโลกได้ให้คำนิยามเอาไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้ ด้วยเหตุเพราะความผิดพลาดในการบริหาร-จัดการ มันดูจะไม่ได้อยู่ที่ตัวของธนาคารต่างๆ ไม่ได้เป็นเพราะความไม่มีธรรมาภิบาล ไม่มีความโปร่งใส เหมือนอย่างกรณี “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว แต่มันน่าจะเป็นเรื่องของระบบ ของโครงสร้าง แบบจักรวรรดินิยมและแบบทุนนิยมเสรีนั่นเอง ที่ทำให้ธนาคารแต่ละธนาคาร ต้อง “หายใจทางเหงือก” ต้อง “ขาดสภาพคล่อง”ต้อง “ขาดทุนกำไร” ไปจนแทบไม่เหลือต้นทุนใดๆ อีกต่อไป หลังจากที่รัฐบาลและธนาคารกลางของอเมริกาและยุโรปในแต่ละประเทศ ต้องหันมาขึ้น “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” เพื่อสู้กับ “ภาวะเงินเฟ้อ”นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัส “Covid-19” ไปจนถึงเกิด “สงครามยูเครน-รัสเซีย” จนตราบเท่าทุกวันนี้....

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ความพังพินาศ ความล้มละลายของธนาคารแต่ละธนาคาร สืบเนื่องมาจาก “รัฐบาล” และ “ธนาคารกลาง” ของแต่ละประเทศนั่นแหละเป็นสำคัญ ไม่ได้เป็นความผิดพลาดในการบริหาร-จัดการของตัวธนาคารเองเอาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งความพยายาม “แก้ปัญหา” ด้วยการใส่เงิน-ใส่ทองเข้าไปในธนาคารแต่ละธนาคาร ด้วยการประกันเงินฝาก หรือด้วยอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ไปๆ-มาๆ แล้ว...อาจกลายเป็นการ “เพิ่มปัญหา” หรือ “สร้างปัญหาใหม่ๆ” อย่างมิรู้จบ-รู้สิ้นเอาเลยก็ไม่แน่หรือกลายเป็นกรรมวิธีแบบที่เรียกๆ กันว่า “Moral Hazard”คือแม้ไม่ผิดกฎหมาย กฎระเบียบ แต่ออกจะผิดหลักศีลธรรมผิดหลักความถูกต้อง-ชอบธรรม แถมยังอาจผิดไปจากหลักการพื้นฐานของ “ทุนนิยมเสรี”อีกด้วย ที่ “รัฐ” ต้องเข้าไป “เสือก” เข้าไปแทรกแซง ไปอุ้ม ไปประคับประคองการดำเนินการของเอกชน หรือทำให้ความพยายามแก้ปัญหาไม่ว่าของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือยุโรป ชักจะกระเดียดออกไปทาง “ทุนนิยมเผด็จการ” แบบเดียวคุณพี่จีนเอาเลยถึงขั้นนั้น...

คือตราบใดที่การแก้ปัญหาที่ “เหตุปัจจัย” นั่นคือ “ภาวะเงินเฟ้อ” ของแต่ละประเทศ มันยังไม่แล้วเสร็จ ยังไม่ได้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้ลดระดับลงมาอยู่ที่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ประมาณนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันย่อมต้องกลายเป็น “ปัญหา”คาราคาซังอีกต่อไป เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิด “ความขัดแย้ง” ภายในตัวเอง เพราะขณะที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้ภาวะเงินเฟ้อก็กลับส่งผลให้มูลค่าของพันธบัตรหรือตราสารอนุพันธ์ทั้งหลาย ที่ธนาคารแต่ละธนาคารถือครองเอาไว้แบบเต็มไม้-เต็มมือ มีแต่จะต้องสาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลงไปตามลำดับ หรือทำให้แนวโน้มที่แต่ละธนาคารอาจต้องไปแล้ว-ไปลับกันไปเป็นรายๆ ย่อมต้องมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ไม่ใช่แค่เฉพาะ 186 ธนาคารในสหรัฐฯ หรือที่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง “นายRichard D. Wolff” ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเสตต์ ท่านประเมินไว้ว่าประมาณ 20-200 ธนาคารเอาเลยถึงขั้นนั้น ที่อาจต้องล้มหาย-ตายจากไปในอีกไม่นาน-ไม่ช้า แต่กระทั่งบรรดา 5 บิ๊กธนาคารยักษ์ๆ ไม่ว่าตั้งแต่ระดับ “Bank of America”, “Citi Group”, “JPMorgan Chase”, “Wells Fargo” ไปจนถึง “Goldman Sachs”ฯลฯ ที่ว่ากันว่าถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เอาไว้ไม่น้อยกว่า 188 ล้านล้านดอลลาร์ ย่อมมีแต่ต้อง “หายใจทางเหงือก” ไปด้วยกันทั้งสิ้น!!!

“ภาวะเงินเฟ้อ” ทั้งอเมริกา-ยุโรป...ที่ถ้าว่ากันโดยเฉลี่ยไม่น้อยไปกว่า 7-10 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างต่ำ จึงเป็นอะไรที่ก่อให้เกิด “ปัญหา” ต่อระบบและโครงสร้างเศรษฐกิจของ “โลกตะวันตก” หรือบรรดาพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว”ทั่วทั้งแผงเอาเลยก็ว่าได้ ต่างไปจากบรรดา “โลกตะวันออก”หรือพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” ทั้งหลาย ที่แทบไม่ได้เจออะไรที่หนักหนา-สาหัสถึงขั้นนั้นไม่ว่าจะจีน อินเดีย ไปจนถึงแม้คุณน้ารัสเซียก็แล้วแต่ ที่สามารถลดระดับเงินเฟ้อ เหลือเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ดังนั้น...การรวมหัว รวมตัว คิดจะ “เปลี่ยนระเบียบโลก” เปลี่ยนระบบการเงิน-การทอง คิดหันมาค้า-ขายกันเองโดยไม่ต้องพึ่งพา “เผด็จการดอลลาร์” พึ่งพาระบบ-ระเบียบที่โลกตะวันตกเป็นผู้กำหนดมาโดยตลอด จึงย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ยิ่งเมื่อผู้นำของโลกตะวันตก อย่างคุณพ่ออเมริกา มุ่งที่จะเผชิญหน้า มุ่งเล่นงาน “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซียอย่างเป็นระบบและกิจการ ก็ยิ่งทำให้โอกาสที่พวก “โลกขั้วอำนาจเดียว”ย่อมมีสิทธิ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ยิ่งสูงเอามากๆ ยิ่งขึ้นไปอีก...

เพราะอย่างที่บรรดานักคิด-นักยุทธศาสตร์ของอเมริกาเอง ไม่ว่ากระทรวงกลาโหม หรือภาคเอกชนอย่างมูลนิธิ “Heritage Foundation” เขาได้ย้ำแล้ว ย้ำอีกไว้หลายต่อหลายครั้ง ว่าโดยสถานะของประเทศอเมริกา แม้จะเป็นถึงมหาอำนาจสูงสุดแทบไม่ต่างไปจาก “ประมุขโลก” เอาเลยก็แล้วแต่ แต่โอกาสที่จะ “เปิดศึก 2 ด้าน”กับทั้งจีนและรัสเซียนั้น เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้!!! หรืออย่างที่อดีตเจ้าหน้าที่ “CIA” ผู้ก่อตั้งองค์กร “Veteran Intelligence Professionals for Sanity”อย่าง “นายRay McGovern”ถึงกับต้องใช้คำว่า “บ้า...ไปแล้ว” ถึงขั้นนั้น ถ้ายังคิดจะกระทำการดังกล่าว เพราะไม่ว่าจะเปรียบเทียบตั้งแต่จำนวนเรือรบ รถถัง จรวดแต่ละระดับ ไปจนอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ ฯลฯ ทั้งอเมริกาและพันธมิตรยุโรป ไม่ได้อยู่ในฐานะพอที่จะเผชิญหน้ากับมหาอำนาจคู่แข่งทั้งสองได้เลย แม้กระทั่งแค่ “แนวรบยุโรปตะวันออก”หรือแค่ “สงครามตัวแทน” ระหว่างรัสเซีย-ยูเครนก็แล้วแต่ บรรดาประเทศพันธมิตรอเมริกาหรือประเทศ “นาโต” ถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของเลขาธิการนาโต “พลเอกJens Stoltenberg” เอง มีเพียงแค่ 7 ประเทศในจำนวนเกือบ 30 ประเทศเท่านั้น ที่ยังพอหลงเหลือขีดความสามารถในการเจียดเม็ดเงินจำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีให้กับการบริหาร-จัดการของนาโต นอกเหนือไปจากนั้น...ต่างแห้งเหี่ยว หัวโต ไม่ต่างไปจากกัน...

ยิ่งเมื่อต้องเจอกับภาวะเงินเฟ้อระดับเฉลี่ย 7-10 เปอร์เซ็นต์ไปทั่วทั้งยุโรป ชนิดสุนัขพูเดิลอังกฤษถึงกับอดอยาก-ปากแห้งไปแทบทั้งประเทศ ฝรั่งเศสจลาจลชนิดรัฐบาลเริ่ม “เอาไม่อยู่”ต่อความไม่พอใจของผู้คนนับล้าน ที่ออกมาเผาโน่น-เผานี่ในแต่ละเมือง ขณะที่ระบบอุตสาหกรรมในเยอรมนีทั้งแผง พังพินาศเสียหาย จนยากจะฟื้นกลับได้ง่ายๆ ตราบใดที่ยังคงต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนพลังงานไปโดยตลอด ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่กำลังส่งสัญญาณถึง “ความล่มสลาย”ของโลกตะวันตก หรือของพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว”อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ยิ่งเมื่อเกิดการจับมือถือแขน เกิดการยกระดับความร่วมมือของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย จากระดับ “ไร้ขีดจำกัด” ไปสู่ระดับที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป แนวโน้มของฉากสถานการณ์จึงอาจเป็นไปดังที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ “พลเอกLloyd Austin” ได้ไปให้การกับอนุกรรมการป้องกันประเทศของสภาผู้แทนสหรัฐฯ เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า การเดินทางไปเยือนรัสเซียของผู้นำจีนเมื่อไม่กี่วันมานี้ ถือเป็นการ “ส่งสัญญาณแห่งความยุ่งยากเอามากๆ”...ต่อสถานะของสหรัฐฯ ในอันที่จะดำรง รักษา ความเป็นประมุขโลก หรือความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว”ได้อีกต่อไป ดังนั้น...ใคร? ที่ยังคง “Ping Yom”ยังคิดจะถือหาง คิดจะเชียร์คุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตก อย่างชนิดไม่ลดรา-วาศอก ก็น่าจะลองเปลี่ยนบรรยากาศหันไปเปิด “แห้วกระป๋อง” มารับประทานกันได้แล้ว!!!




กำลังโหลดความคิดเห็น