นายกอนซาโล ลิร่า นักวิเคราะห์ชาวชิลี เขียนทวิทเตอร์ว่า จะเริ่มในปี 2025 โดยที่การแซงชั่นจีนจะเริ่มในปีนี้ ก่อนที่ความตึงเครียดจะทวีความร้อนแรงขึ้นในปี 2024 ในขณะที่การแซงชั่นจะสร้างความเสียหายต่อสหรัฐฯ มากกว่าจีน จะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายสารพัดที่หนักหน่วงตามมามากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเกิดสงครามรบพุ่งกัน
นายกอนซาโล ลิร่าเขียนทวิทเตอร์หลังจากได้อ่านบันทึกฉบับใหม่กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ที่ตั้งเป้าจะเผชิญหน้ากับจีนทุกรูปแบบ รวมท้ังทางทหาร รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม Lloyd Austin เขียนบันทึกฉบับใหม่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กองทัพสหรัฐฯ ต้องเตรียมเผชิญหน้ากับจีนและป้องกันไม่ให้ระบอบคอมมิวนิสต์ของ จีนเปลี่ยนรูปแบบระเบียบระหว่างประเทศในภาพลักษณ์ของตน
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม Lloyd Austin เขียนว่าจีนคอมมิวนิสต์พยายามบีบให้ประชาคมระหว่างประเทศยอมรับข้อเรียกร้องของเผด็จการ และเราต้องหยุดการกระทำเช่นนี้ “จีนที่ก้าวร้าวมากขึ้นกำลังพยายามกำหนดรูปแบบระบบตามกฎระหว่างประเทศเพื่อให้เหมาะกับความชอบของเผด็จการ” ออสตินเขียนในข้อความเมื่อวันที่ 2 มีนาคมถึงกองทัพสหรัฐฯ “นี่คือความท้าทายจากรุ่นสู่รุ่น และกระทรวงกลาโหมจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ ในการทำเช่นนั้น เราต้องดำเนินการป้องกันแบบบูรณาการ ซึ่งกำหนดให้เราต้องประสานความพยายามของเราในทุกพื้นที่การต่อสู้ในเวทีต่างๆ และขอบเขตของความขัดแย้ง เพื่อสร้างประเด็นสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และความซับซ้อนมากขึ้นสำหรับศัตรูของเรา” นายออสติน กล่าว
ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของสหรัฐฯ ระบุว่าระบอบคอมมิวนิสต์ของจีนเป็น “ความท้าทายที่ไล่ตามกัน” ต่อสหรัฐฯ และต้องมีการออกตัวว่า ระบอบการปกครองของสหรัฐฯ เป็นอำนาจเดียวในโลกที่มีทั้งเจตจำนง และความสามารถในการปรับเปลี่ยนระเบียบระหว่างประเทศที่มีกฎเกณฑ์ควบคุม
ด้วยเหตุนี้ นายออสตินกล่าวต่อไปว่า กองทัพสหรัฐฯ จะสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และจะทำงานร่วมกับพันธมิตรในการป้องกันการรุกรานของคอมมิวนิสต์จีนในทะเลจีนใค้ ทะเลจีนตะวันออก และไต้หวัน
เห็นได้ชัดเจนว่า สหรัฐฯ กำลังอยู่ในอาการพะว้าพะวงในการปกป้องความเป็นมหาอำนาจโลกแต่ผู้เดียวว่า จะทุ่มงบประมาณ หรือทรัพยากรทางทหารเพื่อเล่นงานรัสเซีย หรือเล่นงานจีนดี ในขณะที่สงครามยูเครนกำลังระอุ และไม่เป็นไปตามที่สหรัฐฯ คาดการณ์ เพราะว่ารัสเซียไม่ได้ติดหล่มในสงคราม หรืออ่อนแอลง ในทางตรงกันข้าม มีแนวโน้มสูงที่กองทัพยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรนาโตอีก 40 ประเทศจะไม่สามารถต้านทานแสนยานุภาพของกองทัพรัสเซียได้
ล่าสุดกองทัพรัสเซียปิดล้อมสมรภูมิที่บักห์หมุด ทำให้ทหารยูเครนและนาโตหลายหมื่นนายติดกับดัก มีทางเลือกสองทางคือยอมแพ้ หรือไม่ก็ตาย ถ้าแพ้ในบักห์หมุดจะทำให้รัสเซียยึดดอนบาสได้อย่างเบ็ดเสร็จ และจะเปิดทางให้รัสเซียเดินหน้ายึดโอเดสซ่าเพื่อปิดทางออกทะเลของยูเครน ก่อนที่จะบุกโจมตีเคียฟที่เป็นเมืองหลวงในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ ถ้าเคียฟถูกรัสเซียตีแตก จะทำให้เครดิตความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ และนาโตหมดไป เพราะว่าออกตัวแบบสุดๆ ในการสนับสนุนยูเครน หรือให้ยูเครนยั่วยุรัสเซียให้ก่อสงครามกับรัสเซีย แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถปกป้องยูเครนได้
ปรากฏว่า สหรัฐฯ เริ่มกลับมาให้ความสำคัญในการเล่นงานจีน โดยอาจจะคาดหวังว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง จะบีบให้ยูเครนเจรจาสงบศึกกับรัสเซีย เพื่อแลกกับการยอมเสียดินแดน เพื่อว่าจะได้โฟกัสเป้าศัตรูมาที่จีนได้อย่างเต็มที่ เพราะว่าจีนที่มีเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งเป็นภัยหมายเลขหนึ่งต่อความเป็นมหาอำนาจโลกแต่ผู้เดียวของสหรัฐฯ
แต่รัสเซียคงจะไม่ยอมหยุดแค่ได้พื้นที่บางส่วนของยูเครน เพราะว่าภัยของนาโตจะไม่หมดไป และอาจจะทำสงครามกับโปแลนด์ในอันดับต่อไป เพราะว่าโปแลนด์เป็นทางผ่านการส่งอาวุธให้กับยูเครน และไหนๆ รัสเซียก็กำลังรบกับกองทัพนาโตในยูเครนอยู่แล้ว ถ้าสงครามขยายวงไปยังโปแลนด์ สงครามใหญ่ในยุโรป หรือสงครามโลกคร้ังที่ 3 จะปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
สหรัฐฯ กำลังเบนแข็มมาโฟกัสเล่นงานจีน อันเห็นได้จากในเดือนมกราคมที่ผ่านมา นายพลMike Minihan แห่งกองทัพสหรัฐฯ ที่ดูแลระบบโลจิสติกส์ทางทหาร และประจำการที่ฐานทัพญี่ปุ่น เปิดเผยว่าสหรัฐฯ จะทำสงครามกับจีนในปี 2025 และมีคำสั่งให้ผู้ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาให้เตรียมตัวให้พร้อมระดับสูงสุด
ข่าวนี้ถูกรายงานออกมาอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่มีการปิดบังอำพราง หรือแก้ข่าวทีหลัง แสดงว่ารัฐบาลไบเดนให้การสนับสนุนต่อท่าทีที่พร้อมทำสงครามกับจีนอย่างเต็มที่
สัปดาห์ที่ผ่านมา นายChristopher Wray ผอ.เอฟบีไอออกมาให้ข่าวในสัปดาห์ว่า มีความเป็นไปได้ที่ไวรัสโควิดจะรั่วออกมาจากเมืองอู่ฮั่นที่จีน แสดงว่า สหรัฐฯ เริ่มหมดท่าแล้วต้องหามาคุ้ยเล่นประเด็นเก่า การกล่าวหาว่าจีนทำไวรัสรั่ว ท้ังๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ได้รับคำสั่งจากไบเดนให้ศึกษาต้นตอของโควิด และไม่สามารถสรุปได้ว่าไวรัสเกิดจากสาเหตุอะไรหรือที่ใด และจีนเป็นต้นเหตุหรือไม่ แต่การหาเรื่องจีนเรื่องทำไวรัสรั่วอาจจะนำไปสู่การแซงชั่นจีน หรือยึดทรัพย์จีนก็ได้
โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ รีบออกมารับลูกว่า เขาเป็นคนที่พูดถูกในสมัยเป็นประธานาธิบดีว่า จีนเป็นผู้ที่ปล่อยไวรัสออกมาทำลายโลก ทรัมป์เรียกร้องให้จีนต้องรับผิดชอบความเสียหายเรื่องการทำไวรัสแพร่กระจาย ด้วยการชดใช้ด้วยเงินทอง
ข้อกล่าวหาว่าจีนทำไวรัสรั่วจะนำไปสู่การคว่ำบาตร หรือยึดทรัพย์จีนหรือไม่เป็นประเด็นที่ตั้งติดตามกันต่อไป เพราะว่ามีการวางยาเอาไว้แล้ว ในสมัยทรัมป์ มีนักการเมืองอเมริกันหลายคนออกมาเรียกร้องว่า สหรัฐฯ ไม่ต้องจ่ายหนี้จีน $1 ล้านล้าน ในส่วนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ธนาคารกลางจีนถือครองอยู่ เพื่อเป็นการตอบโต้ที่จีนทำไวรัสรั่ว ทำให้จีนต้องทยอยขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ออกไป เพราะเกรงว่าสหรัฐฯ อาจจะหาเรื่องยึดทรัพย์จีน เหมือนกับที่ยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียไปแล้ว $300,000 ล้าน รวมทั้งอีก $30,000 ล้าน ที่เป็นทรัพย์สินของมหาเศรษฐีรัสเซียนที่มีทรัพย์สินอยู่ต่างประเทศ
นอกจากนี้ นักการเมืองอเมริกันยังขู่จีนว่า จีนจะถูกแซงชั่นในรูปแบบที่รุนแรงที่สุด ถ้าหากว่าจีนบุกยึดเกาะไต้หวัน
ในปี 2022 จีนได้ขายพันธบัตรสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงออกไปถึง $173,200 ล้าน หรือลดลง 17% เมื่อเทียบกับปี 2021 ทำให้การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ของจีนลดลงมาอยู่ที่ $867,000 ล้าน อีกประการหนึ่ง การที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทำให้ผู้ถือบอนด์ขาดทุน ต้องมีการปรับพอร์ต
นอกเหนือไปจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่รัฐบาลจีนถืออยู่ $867,000 ล้าน คาดว่าคนจีน นักลงทุนจีนและบริษัทจีนมีทรัพย์สินดอลลาร์ในสหรัฐฯ รวมกันประมาณ $2.2 ล้านล้าน เงินจำนวนมหาศาลนี้อาจจะถูกสหรัฐฯ หาเรื่องยึดได้ เหมือนกับที่ได้ยึดทรัพย์สินของรัสเซียไปแล้ว โดยอ้างเหตุว่ารัสเซียทำสงครามยูเครน
นอกจากสหรัฐฯ และอียูจะยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียไปกว่า $300,000 ล้าน ยังยึดทรัพย์สินเงินทองที่อยู่ต่างประเทศของมหาเศรษฐีรัสเซียนอีก $30,000 กว่าล้าน จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินสหรัฐฯ ถ้าทุนจีน $2.2 ล้านล้าน ถูกโยกออกจากสหรัฐฯ และธนาคารกลางจีนขายทิ้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เหลืออยู่อีก $800,000 กว่าล้าน เพราะว่ามีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะยึดทรัพย์สินของจีน ก่อนที่จีนจะมีเวลาผ่องถ่ายเงินกลับประเทศ หรือเอาไปพาร์คที่ฮ่องกง
ไม่กี่วันมานี้ นายมาร์ก โมเบียส นักลงทุนชื่อดัง และผู้ก่อตั้งบริษัท โมเบียส แคปิตอล พาร์ทเนอร์ส ออกมาโวยวายผ่านสื่อ Fox Business ว่า เขาถอนเงินทุนออกจากบัญชีธนาคารในเซี่ยงไฮ้ไม่ได้ และเตือนนักลงทุนระวังรัฐบาลปักกิ่งควบคุมเงินทุนไหลออก
“ผมมีบัญชีกับ HSBC ในเซี่ยงไฮ้ แต่เอาเงินออกมาไม่ได้ รัฐบาลกำลังจำกัดไม่ให้เงินไหลออกนอกประเทศ” นายโมเบียส กล่าว “ผมไม่ได้รับคำอธิบายว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ เขากำลังวางอุปสรรคทุกรูปแบบ รัฐบาลไม่ได้พูดตรงๆ ว่า ‘ไม่ได้ คุณเอาเงินของคุณออกไปไม่ได้’ แต่เขาพูดจะว่า ‘เราขอบันทึกทั้งหมดตลอด 20 ปีว่าคุณได้เงินนี้มายังไง’ นี่มันบ้าไปแล้ว”
ไม่มีใครรู้ว่านายโมเบียสทำความผิดอะไรหรือไม่ถึงถูกทางการจีนเพ็งเล็ง ในขณะเดียวกันการแตะเบรกไม่ให้นายโมเบียสถอนเงินออกจากจีนได้อาจจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนสหรัฐฯ ก็ได้ว่า ถ้าทรัพย์สินของจีนถูกสหรัฐฯ ยึด จีนจะตอบโต้ด้วยการยึดทรัพย์สินของสหรัฐฯ เหมือนกัน
นึกภาพเอาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจของโลก ถ้าหากประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่ง และอันดับสองของโลกคว่ำบาตร และยึดทรัพย์เพื่อตอบโต้ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางความร้อนระอุของสงครามภูมิรัฐศาสตร์