xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ใช่แค่แบงก์เจ๊ง...แต่อเมริกากำลังจะเจ๊ง!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



เห็นข่าวแวบๆ...ว่าผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านอาจมีกำหนดการเดินทางเยือนกรุงมอสโก ไปเจอะหน้า-เจอะตาไปจับมือ-ถือแขนกับประธานาธิบดี “ปูติน” ของรัสเซีย ในช่วงสัปดาห์หน้า โดยจะจริง-ไม่จริง...ก็ยังไม่เป็นที่ยืนยัน แต่การพบปะระหว่าง 2 หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ที่พร้อมร่วมไม้ ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ โดย “ไม่มีขีดจำกัด” ใดๆ อาจนำไปสู่ “จุดเริ่มต้น” ของการหาจุดจบอันจะนำไปสู่ “สันติภาพ” ต่อกรณีความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย อย่างที่ใครต่อใครคาดคะเนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!!

เพราะอย่างน้อย...คุณพี่จีนเขาก็ได้ “โชว์พาว” ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ และเรียกเสียงฮือๆ ฮาๆ มิใช่น้อยต่อการรับบทเป็น “ตัวกลาง” ในการจูง 2 พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลาง อย่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านให้หันมา “จูบปาก” เลิกอาฆาตมาดร้ายต่อกันและกันได้อย่างแฮปปี้ เอนดิ้ง-แฮปปี้ วาเลนไทน์ ดังที่พอทราบๆ กันไปแล้วการหันมาคืนดีเลิกโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ริษยา และชิงชัง ตามแรงยุ แรงเชียร์ ของผู้ที่อยากเห็นโลกทั้งโลกเต็มไปด้วยความตึงเครียด การเผชิญหน้าและสงครามเช่น คุณพ่ออเมริกาหรือพันธมิตรอิสราเอลก็แล้วแต่ มันก็อาจเป็นไปดังที่ “พลตรีYahya Bahim” ที่ปรึกษาทางทหารของผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณอิหร่าน ท่านได้สรุปไว้แบบสั้นๆ ตรงไป-ตรงมานั่นแหละว่า... “อาจถือเป็นเครื่องชี้วัดถึงจุดสิ้นสุดแห่งความเจ้าโลก หรือการส่งสัญญาณให้เห็นถึง...ความเสื่อมถอย...ของจักรวรรดินิยมอเมริกา” อะไรประมาณนั้น...

คือถึงแม้จะออกแรงยุ แรงเชียร์ ให้ “ตัวตลก-ตัวแทน” แห่งยูเครน มุ่งเข่นฆ่า พร่าผลาญชาวรัสเซีย หรือชาวสลาฟด้วยกันเอง จนอาจถึงขั้นไม่เหลือ “ชาวยูเครนคนสุดท้าย” หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที แต่โดยลักษณะอาการของคุณพ่ออเมริกาทุกวันนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ออกจะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก เป็นเต้าหู้ตกโต๊ะยิ่งเข้าไปทุกที ดังที่กลายเป็นข่าวใหญ่ ข่าวโต พูดกันสนั่นเมือง สนั่นโลก ไม่ว่าจะในบ้านเรา-บ้านเขา ชนิดแทบไม่รู้จบเอาเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือการ “เจ๊งกะบ๊ง” ของธนาคาร 3 แห่งในสหรัฐฯ ที่แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันเอง อย่างเช่น “นายStephen Moore” แห่งสถาบัน “Freedom Works” ถึงกับอุปมา-อุปไมยเอาไว้ประมาณว่า เป็นแค่ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่เริ่มโผล่ๆ ให้เห็นเท่านั้น หรือคุณ “Stephanie Pomboy” ผู้ก่อตั้งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ “Macro Mavens” ผู้ซึ่งเคยทำนายทายทัก เรื่องฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกในปี ค.ศ. 2000 และวิกฤตการเงินปี ค.ศ. 2008 ชนิดแม่นยำราวตาเห็นยังต้องสรุปเอาไว้ถึงขั้นว่า “อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่...ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเก่า” เอาเลยก็เป็นได้...

ยิ่งถ้าเป็นคู่แข่ง-คู่กัดของผู้นำอเมริกาปัจจุบันโดยตรง อย่างเช่นอดีตประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” ด้วยแล้ว ยิ่งต้อง “ใส่” กันชนิดสุดฤทธิ์-สุดหลอด ถึงขั้นนำเอาคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ไปเทียบเคียงกับอดีตประธานาธิบดีอเมริกันช่วงปี ค.ศ. 1929 หรือช่วงเกิดเหตุการณ์ “อภิมหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่” (The Great Depression)อย่าง “นายHerbert Hoover” โน่นเลย ด้วยการระบุไว้ล่วงหน้าว่าภายใต้การบริหาร-จัดการของผู้เฒ่าที่ป้ำๆ-เป๋อๆ รายนี้ กำลังเป็นตัวนำพาจักรวรรดิอเมริกาให้ก้าวเข้าสู่ “A New Great Depression” ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล!!!

นี่...เละ-ไม่เละ คงต้องไปนั่งนึก-นั่งคิดกันเอาเองนั่นแหละทั่น เพราะแม้ว่าการเจ๊งกะบ๊งของธนาคารแค่ 3 แห่ง จากจำนวนธนาคารทั้งหมดในสหรัฐฯ กว่า 4,000 แห่ง มันอาจดูจิ๊บๆ จ้อยๆ ไม่ถึงกับต้องหูแหก ตาแหก มากมายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าฟังจากบรรดาผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญ หรือพวก “กูรู-กูรู้” ทั้งหลาย ไม่ว่าบ้านเขา-บ้านเรา ซึ่งมีอยู่ยั้วเยี้ยเยอะแยะมากมาย แต่ต่างล้วนสรุปไปในแนวเดียวกันนั่นแหละว่า การล้มระเนนระนาดของแต่ละแบงก์ ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้อง พัวพันกับความพยายามของรัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คิดต่อสู้เอาชนะปัญหา “เงินเฟ้อ” ให้จงได้ อันทำให้เกิดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายชนิดครั้งแล้ว-ครั้งเล่า แต่ก็ยังมิอาจกดหัวเงินเฟ้อให้ลดลงสู่เป้าหมายระดับประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ดังที่คาดที่หวัง ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว มันเลยไม่ได้สัดส่วนกับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารอย่าง “SVB” หรือ “Silicon Valley Bank” เคยลงทุนเอาไว้ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับบรรดาผู้ฝากทั้งหลาย รายได้มันเลยต้องน้อยกว่ารายจ่าย และกลายไปเป็น “ปัญหาสภาพคล่อง” จนนำไปสู่ความแตกตื่น ความหูแหก-ตาแหก ชนิดใครต่อใครต้องแห่ไปถอนเงินจนไม่ว่าแบงก์ไหนต่อแบงก์ไหนก็เถอะ หนีไม่พ้นต้อง “เจ๊ง” กันไปเป็นราย...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...มันเป็นปัญหาของ “ระบบ” ของ “โครงสร้าง” อะไรประมาณนั้น ไม่ใช่แค่การคุ้มครอง การรับประกันเงินฝากแล้วจะหมดเรื่อง หมดราว กันได้ง่ายๆ เพราะตราบใดที่รัฐบาลธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่สามารถ “เอาอยู่” ต่อภาวะเงินเฟ้อ เมื่อไหร่? ตอนไหน? และอย่างไร? โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ลุกลาม ลามปาม ชนิดเละกันไปทั้งโลกก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย นี่เห็นว่าเริ่มลามมาถึงเอเชีย ถึงธนาคารญี่ปุ่น-ยุ่นปี่กันมั่งแล้ว ตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ช่วงล่าสุด ไม่ว่า Mitsubishi UF3, Sumitomo Mitsui, Mizuho, SoftBank Group ฯลฯ ราคาหุ้นร่วงระนาวหล่นจากหอคอย่นตั้งแต่ 4 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 8.59 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ด้วยเหตุนี้...ภายใต้การเยิ่นกันไป-เยิ่นกันมา การต่อสู้เอาแพ้-เอาชนะ ระหว่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกที่ต่างก็ “กรอบเป็นข้าวเกรียบ” ไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าอังกฤษที่ผู้คนต้อง “อดมื้อ-กินมื้อ” ไปแล้วทุกวันนี้ นักศึกษาถึง 1 ใน 5 ต้องเลิกเรียน ดรอปเรียน เพราะไม่มีเงินค่าเทอม ถ้าว่ากันตามผลสำรวจของ “Russell Group Student Union” เป็นต้น เยอรมนีที่ “ระบบอุตสาหกรรม” ทั้งระบบ พังพินาศยับเยิน ไปเป็นแถบๆ ไปจนฝรั่งเศส สาธารณรัฐเช็กที่ผู้คนนับหมื่นเพิ่งแห่ออกมาประท้วงรัฐบาลเรื่องสงครามยูเครน ฯลฯ ดังนั้น...เมื่อต้องเจอกับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพี่จีนคุณน้ารัสเซีย ใน “แนวรบ” แต่ละแนวรบ โดยลักษณะอาการแล้ว...มันเลยแทบไม่ต่างไปจาก “ศึกวันแดงเดือด” หรือพอๆ กับการประกบคู่ การโม่แข้ง ระหว่าง “ผีแดง-แมนยู” กับ “เป็ดแดง” หรือ “หงษ์แดง-ลิเวอร์พรุน” คราวล่าสุดนั่นแหละทั่น!!!

เรียกว่า...ไม่ว่าลิเวอร์พรุนจะตามหลังแมนยูกี่แต้มต่อกี่แต้ม แต่เมื่อเจอเข้ากับสกอร์แบบ “7-0 พูนสวัสดิ์” บรรดา “แฟนผี” หรือบรรดาผู้ถือหางอเมริกาและชาติตะวันตกทั้งหลาย ย่อมมีแต่ต้องหน้าแหกเป็นปลาริ้วแห้ง ย่อมมิอาจ “สมรักษ์ คำสิงห์” มิอาจคุยโม้ คุยโตใดๆ อีกต่อไปได้เลย แค่ยกกระป๋อง “เซเว่นอัพ” ขึ้นซด หรือเพียงแค่เดินผ่านหน้าร้าน “เซเว่น-อีเลฟเว่น” เท่านั้น...ก็หมดแล้ว!!! สุดจะเจ็บ สุดจะปวดรวดร้าวไปถึงกระดองใจ...

เพราะระหว่างที่อเมริกากำลังเละๆ...คุณน้ารัสเซียที่ถูกคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตร “คว่ำบาตร” ชนิดบาตรแตกไปเป็นใบๆ ไปๆ-มาๆ ท่านกลับ “แข็งโป้ก” ชนิดแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่ออย่างมิอาจปฏิเสธได้ แค่ดูจากตัวเลขดุลการค้าคราวล่าสุดที่เกินดุลสูงสุดโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปี ค.ศ. 2021 หรือเกินดุลไปถึง 332,380 ล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น ขณะที่คุณพี่จีนท่านก็ประกาศเดินหน้าใส่เกียร์ห้า ตั้งเป้าว่าจะผลักดันตัวเลขจีดีพีปีนี้ให้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่แค่ 3 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ แบบปีที่แล้วให้จงได้!!! การโคจรมาพบปะ เจอะหน้า-เจอะตา ระหว่าง 2 ผู้นำ 2 หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่หวังจะ “เปลี่ยนโลก” หรือ “เปลี่ยนระเบียบโลก” ด้วยกันทั้งคู่จึงย่อม “ไม่ธรรมดา” อยู่แล้วแน่ๆ เพียงแต่จะนำไปสู่เป้าหมาย หรือการบรรลุเป้าหมาย ในตอนไหน? เมื่อไหร่? และอย่างไร? จึงเป็นอะไรที่คงต้อง “จับตา” อย่างมิอาจกะพริบตาเป็นอันขาด!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น