ขณะที่สถานการณ์บริเวณพรมแดนรอยต่อระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่ 2 จังหวัด ; โดเนตสก์ และลูฮันสก์ กำลังเข้มข้น หลังจาก ปธน.ปูตินเดินเกมหลอกล่อทำทีซ้อมรบด้วยกำลังพลถึงเกือบ 2 แสนคนพร้อมอาวุธทันสมัย ได้โอบล้อมยูเครนไว้หมดทุกด้าน แต่กลับส่งกองกำลังรักษาความสงบเข้าไปช่วย 2 รัฐอิสระใหม่ เพื่อปกป้องชาวรัสเซียจากกองทัพของยูเครน
ตามมาด้วย ปธน.ไบเดนและพันธมิตรนาโตทยอยประกาศคว่ำบาตรทางการเงิน และทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย พร้อมปิดท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม 2 (ที่ยังไม่เปิดใช้)
ดูท่าทีปูตินคงจะขยายกองกำลังรักษาสันติภาพของรัสเซียเข้าเต็มพื้นที่แคว้นดอนบาส เพื่อปกป้องเขตดอนบาสให้ปลอดภัยจากกองทัพยูเครน... แต่ไม่น่าที่ปูตินจะบุกยึดประเทศยูเครนทั้งหมด เพราะจะเป็นปัญหาใหญ่ (แม้กองกำลังเกรียงไกรของรัสเซียจะยึดเมืองหลักเคียฟได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงจากชายแดน แต่การควบคุมทั้งประเทศคงต้องมีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น) และปูตินน่าจะใช้การส่งกำลังเข้าแคว้นดอนบาสเป็นจุดต่อรองในสิ่งที่เขาต้องการ
ซึ่งการเจรจาต่อรองก็จะดำเนินต่อไป ทั้งในที่ลับ (ไม่เปิดเผย) และที่แจ้ง...แม้เพิ่งจะมีการบอกเลิกการประชุมระหว่างรมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ และรัสเซีย และระหว่างไบเดนและปูตินก็ตาม
ขณะเดียวกัน ที่ประเทศสหรัฐฯ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว (ก่อนการโหมกระพือว่ารัสเซียจะบุกยูเครน) มีการเปิดเผยเบื้องหลังที่ทำให้อดีตรองปธน.ไมค์ เพนซ์ ตัดสินใจ (ในวันที่ 6 มกราคม 2020) เดินหน้ารับรองการขานคะแนน Electoral Votes จากรัฐต่างๆ...ประกาศให้ไบเดนชนะได้รับเลือกตั้งเป็น ปธน.ด้วยคะแนนชนะขาดลอย
เป็นพิธีกรรมตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่จะต้องให้ประธานวุฒิสภา (คือรองปธน.) เป็นประธานในการขานนับคะแนนจากรัฐต่างๆ อย่างเป็นทางการ ซึ่งบรรยากาศในวันนั้น มีการเดินขบวนอย่างบ้าคลั่งของกลุ่มสาวกทรัมป์ ที่ไปรวมตัวกันเวลาเที่ยงที่หน้าทำเนียบขาว โดยมีอดีตปธน.ทรัมป์ออกมายุยงปลุกปั่น (พร้อมอดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์กหลายสมัย นายรูดี จูลีอานี และ ส.ส., ส.ว.รีพับลิกันจำนวนหนึ่ง) ที่ให้ข้อมูลเท็จกับเหล่าผู้ชุมนุม โดยบอกว่า รองปธน.เพนซ์จะต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อรักษาชาติ ด้วยการประกาศท่ามกลางการขานนับคะแนน Electoral Votes ว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะมีการโกงเลือกตั้งในช่วงลงคะแนนในหลายรัฐ
ทรัมป์พูดกดดันปลุกปั่นว่า เพนซ์จะต้องทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อชาติและประชาธิปไตย โดยจะต้องไม่ยอมรับคะแนนที่กำลังขานกันอยู่ในสภาฯ
จนทำให้ฝูงชนที่บ้าคลั่งสาวกทรัมป์ ได้เดินทางมาที่หน้าทำเนียบขาว เพื่อไปกดดันรองปธน.เพนซ์ที่กำลังทำพิธีขานนับคะแนนอยู่ในห้องประชุมสภาฯ
ฝูงม็อบที่มีฝ่ายขวาติดอาวุธนิยมนาซี พวก Proud Boys; Qath Keepers ฯลฯ ได้นำตะแลงแกงที่มีเสาผูกเชือกบ่วงแขวนคอ (เพื่อแขวนคอผู้ทรยศต่อชาติ, ต่อทรัมป์) เพื่อแขวนคอรองปธน.เพนซ์...ไปติดตั้งอยู่ที่เชิงบันไดทางเข้ารัฐสภา...และออกตามล่าหาตัวเพนซ์เพื่อนำมาแขวนคอ
ก่อนหน้าการเรียกระดมสาวกทรัมป์ให้มาชุมนุมเริ่มที่หน้าทำเนียบขาว (แล้วเดินขบวนไปกดดันเพนซ์ที่สภาฯ) ทรัมป์ก็ได้ทั้งพูดตัวต่อตัวกับเพนซ์ และที่กดดันผ่านทางการปราศรัยหรือให้สัมภาษณ์ ช่วงก่อนวันขานนับคะแนน (6 มกราคม 2020) ว่าเพนซ์จะต้องใช้อำนาจในฐานะประธานการนับคะแนน เพื่อประกาศว่ามีการโกงการเลือกตั้ง (โดยฝ่ายไบเดน-ใน 6 รัฐ)
ทำให้ฝูงชนที่เป่าหูง่ายคล้อยตามทรัมป์ได้มาชุมนุมกันเหยียบแสนคนในวันที่ 6 มกราคม เพื่อไปกดดันเพนซ์
สื่อ Politico เพิ่งออกมาเผยแพร่ถึงการยอมเปิดเผยตัวตนของผู้ที่ทำให้รองปธน.เพนซ์ ขัดขืนไม่ยอมทำตามคำสั่งของทรัมป์...แม้จนนาทีสุดท้ายที่เขาทำหน้าที่ในการขานนับคะแนน
นั่นคือ อดีตผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ J. Michael Luttig ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่เหล่าฝ่ายนำพรรครีพับลิกันให้การเคารพนับถือ ถึงขนาดเคยติดโผที่อดีตปธน.บุชเสนอเข้ารับการคัดเลือกในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดถึง 2 ครั้ง
ท่านลุตติกปัจจุบันอายุ 67 ปี เพิ่งเกษียณมาพักใหญ่ มีลูกศิษย์ลูกหาที่ฝึกงานกับท่านมากมายที่ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษากฎหมายของอดีตปธน. (ฝ่ายรีพับลิกัน) หรือทำงานด้านกฎหมายทั้งที่ทำเนียบขาวและที่สภาฯ...หนึ่งในนั้นคือ ส.ว.คนดังรัฐเทกซัส ส.ว.เท็ด ครูซ...และอีกคนคือ นักกฎหมายชื่อดัง John Eastman ที่อดีตปธน.ทรัมป์ไปอ้อนวอนให้มาเป็นที่ปรึกษากฎหมายในช่วงที่ทรัมป์ถูกยื่นถอดถอน (Impeachment) จากสภาฯ
นายอีสต์แมนคือ ผู้ที่เจ้ากี้เจ้าการร่วมกับจูลีอานี แนะกับทรัมป์ว่าการพลิกเกมมาเป็นชนะเลือกตั้งปธน.นั้นทำได้ โดยรองปธน.เพนซ์มีอำนาจประกาศว่า การเลือกตั้งเป็นโมฆะในวันที่ 6 มกราคม
รองปธน.เพนซ์ แม้จะถูกมองว่าเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของทรัมป์ แต่เขาก็ฉลาดเฉลียวพอที่จะต้องหาคำตอบว่า เขามีอำนาจนี้จริงหรือไม่?
เพนซ์ได้โทรศัพท์ไปถามนายแดน เควล อดีตรองปธน.ของบุช (ผู้พ่อ) ซึ่งเควลตอบมาว่า ทำไม่ได้อย่างที่ทรัมป์กดดัน เพราะรองปธน.เป็นแค่ประธานในพิธีกรรมการขานนับคะแนน ไม่มีอำนาจค้านคะแนน Electoral Votes
ลุตติกได้รับโทรศัพท์จาก Cullen ที่ปรึกษากฎหมายอีกคนหนึ่งของทรัมป์ในวันที่ 4 มกราคม และอึ้งไปพักใหญ่โดยยังไม่ได้ตั้งตัว หลังจากโดนคำถามเดียวกันกับเควล
คำตอบของลุตติกออกมาในวันที่ 5 มกราคม โดยบอกทางโทรศัพท์กับ Cullen ว่า รองปธน.เป็นแค่ประธานของการขานคะแนน...จะไปค้านคะแนน หรือประกาศการเลือกตั้งเป็นโมฆะไม่ได้เด็ดขาด
Cullen ขอให้ลุตติกเขียนในทวิตเตอร์เพื่อส่งไปให้รองปธน.เพนซ์ เพื่อมีหลักฐานยืนยัน...ลุตติกบอกว่า ใช้ทวิตเตอร์ไม่เป็น...แล้วเลยรีบขอให้ลูกชาย (ซึ่งเป็นนักเทค) ช่วยเขียนให้...ลูกชายบอกว่า ผมงานยุ่ง แล้วส่งแฟ้ม (หน้าจอ) ให้พ่อหาวิธีเขียนทวิตเตอร์เอง
พ่อโมโหหน่อย แล้วบอกกับลูกชายว่า ถ้าลูกไม่ช่วยสอนพ่อให้พิมพ์ทวิตเตอร์ให้ออกมาให้ได้...จะถอดออกจากกองมรดก...เลยได้ผล
เมื่อเพนซ์ได้รับทวิตเตอร์จากลุตติก จึงใช้เป็นอาวุธ (หรือเกราะ) สำคัญ เพื่อไม่ทำตามที่ทรัมป์กดดัน...และต่อมาเพนซ์ออกมาพูดในการปาฐกถาสำคัญถึง 2 ครั้งว่า ทรัมป์เข้าใจผิดที่คิดว่าเพนซ์จะช่วยพลิกการเลือกตั้งให้ทรัมป์ชนะ
ท่านลุตติกไม่เคยรู้จักส่วนตัวหรือไม่เคยพบกับเพนซ์เลย แต่เขาภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสสำคัญสุดในชีวิตที่ช่วยประคับประคองประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ไม่ใช่ให้ทรัมป์โกงการเลือกตั้ง โดยพลิกนาทีนับคะแนนนั่นเอง
แม้สหรัฐฯ กำลังเตี้ยลงๆ จากการแตกแยกอย่างหนัก รวมทั้งระบบที่กินตัวเอง แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ยังเห็นแก่ความถูกต้องของนิติรัฐ และจะทำให้ความตกต่ำของสหรัฐฯ สามารถชะลอไปสู่การแตกสลายให้ช้าลงไปอีกนิด
ต่างกับนักกฎหมายคนสนิทของนายกฯ ไทย ที่เออออตีความกฎหมายปกป้องนายกฯ แม้ชาติจะเสียผลประโยชน์ก็ตาม