เปิดฉากสัปดาห์นี้...ไปว่ากันถึงภาพรวมๆ กระแสความเป็นไปของโลกโดยรวม น่าจะเหมาะกว่า เพราะการเฉพาะเจาะจงลงไปในรายละเอียดของปัญหาใดๆ ก็แล้วแต่ และไม่ว่าพื้นที่ อาณาบริเวณใดๆ ก็ตามที โดยส่วนใหญ่...มักหนีไม่พ้นไปจากกระแสความขัดแย้ง อันเนื่องมาจากการยื้อแย่งแข่งขัน ระหว่าง “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพ่ออเมริกา กับคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย ที่นับวันจะ “แข่ง” กันแบบเอาเป็น-เอาตายกันไปข้าง!!! หรือจนกว่าฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดจะ “ฉิบหาย” จะ “Zero Sum Game” ลงไปชนิดต่อหน้า-ต่อตา อะไรประมาณนั้น...
เพราะด้วยการ “แข่งขัน” กันในลักษณะทำนองนี้นี่เอง...นับวันมันจะก่อให้เกิดความพยายาม “แยกฝ่าย-แบ่งฝ่าย” หรือก่อให้เกิดแรงกดดันต่อบรรดาประเทศเล็ก ประเทศน้อย ไปจนถึงประเทศใหญ่ๆ ทั้งหลาย หนีไม่พ้นต้องหันไป “เลือกข้าง” อย่างแทบมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้หนักยิ่งเข้าไปทุกที แม้แต่ประเทศที่ออกจะ “ลื่นเหลือล้น-ทนเหลือหลาย” อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ซึ่งสามารถประคับประคองตัวเองให้ดำรงความเป็นเอกราชมาได้ ไม่ว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์ “หน้าสิ่ว-หน้าขวาน” เพียงใดก็แล้วแต่ ด้วยกรรมวิธีที่เรียกๆ กันว่า “สยามไมเซชั่น” หรือกรรมวิธีหลีกเลี่ยงความขัดแย้งด้วยการ “คลอไป-คลอมา” เผลอเมื่อไหร่...ค่อยกระโดดเกาะกินดูดหัวสมอง อะไรทำนองนั้น...
แต่ภายใต้ความพยายามแยกพวก-แยกฝ่าย แบ่งกลุ่ม แบ่งก้อน...เช่น ที่ก่อให้เกิดกลุ่มประเทศ “จตุรภาคี” หรือ “QUAD” (Quadrilateral Security Dialogue) เพื่อต่อต้านคุณพี่จีนกันโดยเฉพาะ ไปจนการรวมตัวเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญา “AUXUS” ระหว่างผู้ช่วยนายอำเภอออสเตรเลีย กับคุณพ่ออเมริกาและอังกฤษ ที่กำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวแพร่กระจายเทคโนโลยีนิวเคลียร์และการแข่งขันทางอาวุธ ให้อุบัติขึ้นมาในภูมิภาคและในโลกใบนี้ ไปจนถึงความพยายามแยกกลุ่ม แยกฝ่าย ระหว่าง “ประเทศประชาธิปไตยกับประเทศที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย” ด้วยการคิดริเริ่มจัดการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศประชาธิปไตย หรือ “Democracy Summit” ขึ้นมาในช่วงวันที่ 9-10 ธันวาคมปีนี้ โดยมีคุณพ่ออเมริกาเป็นเจ้าภาพและเป็นผู้คัดเลือกว่าจะเชิญใครต่อใครเข้ามาร่วมประชุมกันดี ก็ถือเป็นความพยายามอีกส่วนหนึ่ง ในการ “แบ่งฝ่าย” หรือ “แบ่งโลก” ออกเป็นสองส่วน แบบเดียวกับโลกยุค “สงครามเย็น” ที่ถูกแยกออกเป็นฝ่าย “ประชาธิปไตยเสรี” กับฝ่าย “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์” จนต้องรบราฆ่าฟันต่อเนื่องกันมาเป็นสิบปีๆ หรือกว่าครึ่งศตวรรษเห็นจะได้...
คือความพยายามแบ่งโลก แบ่งฝ่าย กันในลักษณะเช่นนี้...คงไม่ใช่เรื่อง “ล้อเหล้นน์น์น์” หรือเรื่องปกติ-ธรรมดา โดยเฉพาะสำหรับประเทศมหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกา อย่างคุณน้ารัสเซียและคุณพี่จีน เป็นต้น ถึงขั้นที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” (Sergey Lavrov) ต้องออกมากล่าวเตือนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ในที่ประชุมยูเอ็นครั้งที่ 76 เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ว่าความพยายาม “แบ่งโลก” ออกเป็น “ฝ่ายเขา-ฝ่ายเรา” แบบเดียวกับยุคสงครามเย็นเมื่อครั้งอดีต โดยคุณพ่ออเมริกา ด้วยการตั้งตัวเป็นเจ้าภาพจัดประชุม “Democracy Summit” ได้เริ่มต้นขึ้นมาแล้ว เช่นเดียวกับโฆษกหญิงแห่งกระทรวงการต่างประเทศจีน “นางหัว ชุนหยิง” (Hua Chunying) ที่ไม่เพียงแต่ออกมาขานรับต่อคำพูด คำจา ของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเท่านั้น แต่ยังพยายามหันไปเปิดโปง แฉโพย ความน่าเกลียด น่าทุเรศของ “ประชาธิปไตยอเมริกา” แบบชนิดเสียหมา เสียสุนัข กันไปมิใช่น้อย...
เช่น โดยคำพูดที่ว่า... “ประเทศที่เป็นของคน 1 เปอร์เซ็นต์ ปกครองโดยคน 1 เปอร์เซ็นต์ และสนุกสนานอยู่ในหมู่คนแค่ 1 เปอร์เซ็นต์อย่างอเมริกา นี่คือประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงหรือ???” หรือ “การหลอกลวงผู้คน การบิดเบือนความเชื่อถือศรัทธา การให้คำสัญญาที่มีแต่ความว่างเปล่า...สิ่งเหล่านี้คือการแสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตยกระนั้นหรือ??? การสร้างเรื่องโกหกแบบเทียมๆ การสร้างความขัดแย้งและการก่อสงคราม อันทำให้ผู้คนต้องสูญเสียแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตต้องตกต่ำไปสู่ความยากจนในทุกๆ ด้าน ขณะที่บริษัทผลิตอาวุธในโลกทุนนิยม กลับโตเอาๆ นี่คือความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ หรือ??? ความพยายามมองไม่เห็นสิ่งที่คนผิวสีภายในประเทศ อย่างนายGeorge Floyd ส่งเสียงครวญครางว่าผมหายใจไม่ออก การปล่อยให้คนบริสุทธิ์นับล้านๆ ต้องตายไปเพราะความรุนแรงของการค้าอาวุธปืนโดยเสรี นี่คือสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยหรือเปล่า??? รวมทั้งความพยายามปฏิเสธสิทธิโดยชอบธรรมของแต่ละประเทศ ที่จะหาหนทางพัฒนาประเทศตัวเอง ให้ผู้คนมีชีวิตดีขึ้น ด้วยกรรมวิธีต่างๆ ที่สอดคล้อง เหมาะสมกับประเทศนั้นๆ นี่คือการแสดงออกถึงความเป็นประชาธิปไตยด้วยหรือไม่??? ฯลฯ ฯลฯ”....
นี่...ต้องเรียกว่า ด้วยคำพูด คำจา แบบ “ขวานผ่าซาก” ของโฆษกหญิงชาวจีนรายนี้ ทำให้เธอออกจะโดดเด่นเป็นสง่า ซะยิ่งกว่า “เจ้าหญิงแห่งเทคโนโลยี” อย่าง “นางเมิ่ง หว่านโจว” ลูกสาวบริษัทหัวเว่ยเอาเลยก็ว่าได้ เพราะมันคว้านไปถึง “กระดองใจ” ของประเทศที่ได้ชื่อว่า “ประชาธิปไตย” อย่างอเมริกา อย่างชนิดพูดไม่ออก-บอกไม่ถูกเอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่ผู้นำอเมริการายใหม่ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ท่านค่อนข้างเชื่อของท่านจริงๆ นั่นแหละว่า สิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” นั้น มันน่าจะยังคง “ขายได้” สำหรับประเทศต่างๆ ในอนาคตเบื้องหน้า โดยเฉพาะสำหรับพวกเด็กๆ หรือบรรดา “คนรุ่นใหม่” ทั้งหลาย อาทิ บรรดาพวก “เจนเอ็กซ์-เจนวาย” ที่คุณพี่ “โทนี่” แห่ง “คลับเห่า” บ้านเรา พยายามออกมายุ ออกมาเชียร์ ให้ขึ้นมาแทนที่พวก “เบบี้บูมเมอร์” ทั้งหลาย หรือผู้ที่ต่างอยากได้มาซึ่ง “เสรีภาพ-เสมอภาค-และภราดรภาพ” โดยไม่คิดจะสนใจว่าสิ่งนั้นๆ มันเป็นแค่ “มายาภาพ” หรือไม่ เพียงใด แถมไม่คิดจะสนใจ ทางประวัติศาสตร์และสังคม ภายในประเทศตัวเองเอาเลยก็มี เช่น บรรดา “กุมารจีน” แถวๆ ฮ่องกงและไต้หวัน เป็นต้น“ข้อเท็จจริง” ที่เกลียด-กลัว “เผด็จการ” จนแทบไม่สนใจความเป็นชาติ หรือแม้แต่ “ความเป็นจีน” เอาเลยแม้แต่น้อย หันไปให้ความสำคัญกับ “ความเป็นประชาธิปไตยแบบฝรั่ง” ชนิดก่อให้เกิดปัญหากับมหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา อย่างคุณพี่จีน ต้องปวดเศียร เวียนเกล้า อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้...
ความปรารถนาและความต้องการที่จะได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย” ของบรรดาพวกเด็กๆ และคนรุ่นใหม่ทั้งหลาย ที่หนักไปทางพวก “ลิเบอร่าน” ซะเป็นส่วนใหญ่ จึงยังคง “ขายได้” และ “ขายดี” ไม่เพียงแต่ภายในประเทศจีนเท่านั้น กระทั่งประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เถอะ!!! บรรดาเด็กๆ และคนรุ่นใหม่ที่ถึงกับออกมาเรียกร้อง ต้องการ ที่จะให้เกิด “เสรีภาพ” ในการดู “หนังโป๊” หรือการขาย “อวัยวะเพศเทียม” ฯลฯ จนกลายเป็นพวก “ทะลุแก๊ส-ทะลุฟ้า” อะไรทำนองนั้น ก็ออกจะเป็นเรื่องน่าหนักใจอยู่พอสมควรเหมือนกัน โดยเฉพาะต่อความพยายามแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย อันมิอาจหลีกเลี่ยงต่อไปได้อีกแล้วของบรรดาประเทศต่างๆ ในอนาคตเบื้องหน้า...
อย่างไรก็ตาม...แม้ความพยายามนำเอาสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” มาใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย สำหรับการมาถึงของ “สงครามเย็นยุคใหม่” จะเป็นไปในลักษณะไหนก็ตาม แต่โดยแนวโน้มของ “ข้อมูล-ข้อเท็จจริง” ที่กำลังปรากฏอยู่ในโลกทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...สิ่งเหล่านี้มันออกจะ “ขายยาก-ขายเย็น” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะแม้กระทั่งบรรดา “ประเทศประชาธิปไตย” ในยุโรปทุกวันนี้ ด้วยเหตุเพราะความสับสน ระส่ำระสาย ไม่ว่าในทางสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิดนั่นแหละเป็นหลัก กลับส่งผลให้บรรดาชาวยุโรปจำนวนไม่น้อย เริ่มหันไปหา “ทางเลือก” ใหม่ๆ ที่ออกจะขัดแย้งกับ “ความเป็นประชาธิปไตย” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน เช่น หันไปนิยมพวก “ขวาจัด” ที่ออกจะรังเกียจเหยียดหยาม ผู้ที่ต่างเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ผู้อพยพ ฯลฯ จนบรรดา “พรรคการเมือง” ในแนวนี้ ต่างมาแรงแซงโค้งไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าพรรค “Vox Party” ในคาตาลัน ประเทศสเปน พรรค “Chega Party” ในโปรตุเกส พรรค “Unity Romanians” ในโรมาเนีย หรือพรรคของ “นางMarine Le Pen” ในฝรั่งเศส ที่อาจมีเรี่ยว มีแรง พอที่จะคว่ำประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงช่วงปีหน้าฟ้าใหม่ เอาเลยก็ไม่แน่ ฯลฯ ฯลฯ...
และอะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...ที่จะกลายเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของโลกภายในอนาคตเบื้องหน้า ว่าสุดท้ายแล้วความพยายามแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย ความพยายามสร้างกลุ่ม สร้างก้อน ระหว่างบรรดา “มหาอำนาจคู่แข่ง” ในโลก หรือใน “สงครามเย็นยุคใหม่” มันจะมีแนวโน้มเป็นไปในแบบไหน อย่างไร ใครเสียเปรียบ-ได้เปรียบ ใครแพ้-ใครชนะ คงต้องขึ้นอยู่กับกระแสความเป็นไปของโลกโดยรวม ที่แทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง หรือ “พื้นที่เป็นกลาง” ให้กับใครต่อใครต่อไปอีกแล้ว มีแต่ต้องหันไปตัดสินใจ “เลือก” ว่าฝ่ายใดกันแน่ ที่มี “ความถูกต้อง” และ “เป็นธรรม” มากหรือน้อยไปกว่ากัน...