xs
xsm
sm
md
lg

ขุนศึกหาญต้าน ทรัมป์ก่อสงคราม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


พลเอกมาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมกองทัพสหรัฐฯ
หนังสือเล่มใหม่ของบ็อบ วูดเวิร์ด ชื่อ Peril (หรืออันตรายยิ่ง) กำลังจะออกวางตลาดในวันอังคารที่ 21 กันยายน ในอาทิตย์หน้านี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงอันตรายยิ่งที่เกือบจะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ และขยายไปทำสงครามทั่วโลกจากการพยายามล้มการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยวิธีการที่แยบยลพอๆ กับการก่อรัฐประหารในประเทศกำลังพัฒนาทีเดียว

วีรกรรมของบ็อบ วูดเวิร์ด ที่เคยสร้างไว้คือ ทำให้ประธานาธิบดีนิกสัน ต้องชิงประกาศลาออก เพื่อไม่ต้องถูกถอดถอนในสภาฯ

บ็อบ วูดเวิร์ด จะเขียนหนังสือสะท้อนการบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาตลอด จนมาถึงสมัยของประธานาธิบดีคนที่ 45 คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ที่ไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน และประกาศจะมาล้างความโสโครกของนักการเมืองที่ทำเนียบขาว

หลังจากทรัมป์ได้เข้าบริหารที่ทำเนียบขาวได้ประมาณ 1 ปีครึ่ง หนังสือเล่มแรกของบ็อบ วูดเวิร์ด ในปี 2018 ชื่อ FEAR (ความกลัว) ก็ออกมาสั่นสะเทือนวงการเมือง ได้สะท้อนถึงการบริหารที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่มีกฎเกณฑ์คาดการณ์ไม่ได้ ผู้ร่วมงานทำงานท่ามกลางความกลัว

เล่มที่สองชื่อ RAGE (โกรธแค้น) ซึ่งคราวนี้ บ็อบได้สัมภาษณ์ตรงกับทรัมป์ถึง 18 ครั้ง และเป็นโอกาสที่ทรัมป์บริหารมาได้ 3 ปีครึ่ง จนมาถึงช่วงโรคโควิดระบาดหนักในสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงความโกรธแค้นของทรัมป์ ที่ถูกสื่อส่วนใหญ่ (นอกจาก Fox) โจมตีอย่างหนัก และเขาถูกดำเนินการถอดถอนในสภาฯ ด้วย ซึ่งทำให้เขาสติแตก อย่างที่บ็อบเขียนว่า อาการของทรัมป์ไม่อยู่กับความเป็นจริง จะมีอาการคล้ายๆ กับนิกสันตอนที่กำลังถูกดำเนินการถอดถอน ขนาดนิกสันไปยืนพูดพล่ามต่อว่าต่อขานขอความเห็นใจจากรูปภาพวาดอดีต ปธน.คนก่อนๆ ของสหรัฐฯ ที่แขวนอยู่ตามห้องต่างๆ ของทำเนียบขาว!

สำหรับเล่มล่าสุดที่กำลังจะวางขายนี้ เป็นช่วงท้ายๆ ของวาระการบริหารของทรัมป์ โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้ง ปธน.เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

บ็อบได้สัมภาษณ์คนรอบๆ ใกล้ชิดทรัมป์ในช่วงที่ทรัมป์สติแตกมากยิ่งขึ้น จนไม่มีใครเข้าหน้าติดแม้แต่ลูกสาวและลูกเขย หลังจากการนับคะแนนแล้ว สื่อใหญ่ออกมาฟันธงว่า ไบเดนชนะ และคนรอบข้างทรัมป์ต้องเออออกับทรัมป์ว่าทรัมป์ชนะ และเขาถูกโกงคะแนน

บ็อบได้บรรยายถึงการกลับมาที่ทำเนียบขาวอีกครั้งของนายสตีฟ แบนนอน (อดีตที่ปรึกษาใหญ่ของทรัมป์ ที่วางกลยุทธ์หาเสียงจนทรัมป์ชนะเลือกตั้งเป็น ปธน.) ซึ่งชักนำว่า เวลาที่ทอดยาวหลังวันลงคะแนน (ต้นพ.ย.) จนถึงการนับคะแนนของเหล่าคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College-ที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของแต่ละมลรัฐ) ในวันที่ 6 มกราคมนี้ เป็นโอกาสทองที่ทรัมป์จะสามารถสร้างเหตุการณ์จนทำให้เกิดการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ซึ่งได้มีการจัดฉากการชุมนุมประท้วงการลงคะแนนที่รัฐสภาในวันที่ 6 มกรา จนถึงบุกทำลายรัฐสภาเพื่อทำลายการขานนับคะแนน

2-3 วันก่อนวันขานนับคะแนน ทรัมป์ได้พบกับรอง ปธน.เพนซ์ และได้กดดันให้เพนซ์ใช้อำนาจในฐานะประธานการขานนับคะแนน เพื่อประกาศไม่ยอมรับคะแนน (ทางการ) จากมลรัฐบางแห่ง ซึ่งก็จะนำสู่การเลือกตั้งใหม่ ยืดเวลาให้แก่ทรัมป์ที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป

บ็อบได้เขียนว่า เพนซ์ได้โต้เถียงกับทรัมป์ว่า เขาทำไม่ได้ จนทรัมป์โกรธอย่างรุนแรง ขู่จะตัดจากความเป็นเพื่อนฝูงกัน

เพนซ์ได้ลงทุนโทร.ไปพูดกับอดีตรอง ปธน.แดน เควล (Dan Quale) ซึ่งเคยเป็นรอง ปธน.ของอดีต ปธน.บุชผู้พ่อ เพื่อปรึกษาว่า เพนซ์จะประกาศไม่ยอมรับคะแนนจากบางมลรัฐได้หรือไม่ ซึ่งเควลได้ตอบอย่างหนักแน่นว่า “ทำไม่ได้เด็ดขาด!” เพราะประธานการขานนับคะแนนเป็นแค่ยอมรับคะแนนเท่านั้น ไม่ใช่ไปท้าทายว่า คะแนนถูกต้องหรือได้มาอย่างไร?

นี่เป็นที่มาที่ฝูงชนบ้าคลั่งวิ่งตามหาเพนซ์ เพื่อแขวนคอเพนซ์ เพราะทรัมป์พูดยุยงปลุกปั่นกับผู้ชุมนุมว่า เพนซ์ทรยศต่อทรัมป์ เป็นการทรยศต่อชาติเพราะทรัมป์ถูกโกงเลือกตั้ง

ด้านพลเอกมาร์ค มิลลีย์ (Mark Milley) เมื่อเห็นการเผาและบุกทำลายรัฐสภา เขาได้เรียกประชุมด่วนคณะเสนาธิการทหารร่วม (เขาเป็นประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม ซึ่งมี ผบ.จากทุกเหล่าทัพนั่งเป็นสมาชิกของคณะนี้) และได้สั่งให้ทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดขั้นตอนการบริหารในยามวิกฤตทันที บ็อบได้บรรยายถึงความกังวลอย่างยิ่งว่า จะเป็นเหตุการณ์ที่อาจคล้ายกับเหตุการณ์ที่ฮิตเลอร์ (เป็น ส.ส.ขณะนั้น และมีกองกำลังนาซีเป็นฐาน) ได้ลอบเผาสภาเยอรมนี แล้วได้อาศัยเหตุการณ์นี้ไปสู่การยึดอำนาจจากรัฐบาล

ในวอร์รูมที่ ผบ.สส.พลเอกมาร์ค มิลลีย์ เป็นประธานประชุมลับ ได้ย้ำให้ ผบ.ทุกคนทำตามระเบียบของกองทัพอย่างเคร่งครัดในยามวิกฤต ไม่ให้ฟังคำสั่งของใครที่จะสั่งมา (หมายถึง รมต.กลาโหมหรือ ปธน.) โดยตัวของพลเอกมาร์ค มิลลีย์ ไม่ได้รับทราบโดยตรง โดยเฉพาะเรื่องการใช้ระเบิดนิวเคลียร์

พลเอกมาร์ค มิลลีย์ เดินไปจ้องตา ผบ.ทีละคนในห้องประชุม และถามอย่างขึงขังว่า “Got it?-เข้าใจมั้ย?”

บ็อบบรรยายว่า สิ่งที่พลเอกมาร์ค มิลลีย์ กังวลคือ การสร้างสถานการณ์ที่ ปธน.จะหันไปใช้ระเบิดปรมาณูหรืออาวุธร้ายแรงอื่นๆ ด้วยการสั่ง ผบ.ให้โจมตีไปยังประเทศศัตรู เช่น จีน หรืออิหร่าน เพื่อเบนความสนใจไปเป็นสงครามระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศศัตรู และทำให้การประกาศผลการเลือกตั้งต้องชะงักงัน...หรือ ปธน.อาจสั่งกองทัพให้ออกมาปราบผู้ชุมนุมที่เผารัฐสภา ก็จะทำให้การเปลี่ยนถ่ายโอนอำนาจต้องชะงัก เปิดทางให้ทรัมป์บริหารต่อไปในยามสงครามหรือวิกฤต

ยังมีบทสนทนารีบร้อนระหว่างประธานสภาล่าง แนนซี เพโลซี กับ ผบ.สส.ที่ ปธน.สภาล่างห่วงเรื่องระเบิดปรมาณูที่ ปธน.มีโค้ดลับ ซึ่ง ผบ.สส.ได้ให้ความมั่นใจกับประธานแนนซีว่า เขาจะทำทุกอย่างไม่ให้กองทัพยอมให้ทรัมป์ใช้ระเบิดปรมาณู

และบ็อบยังบรรยายถึงทรัมป์สั่งให้ผู้ใกล้ชิดทำประกาศถอนทัพสหรัฐฯ อย่างเร่งรีบออกมาจากอัฟกานิสถานภายในวันที่ 15 มกราคม (เพียง 5 วันก่อนวันสาบานตนของ ปธน.ไบเดน) ซึ่งจะสร้างสถานการณ์เกิดความโกลาหลแก่กองทัพสหรัฐฯ อย่างยิ่ง และพลเอกมาร์ค มิลลีย์ ได้บอกกับเหล่า ผบ.ว่า เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม เพราะไม่ได้มีการประชุมร่วมกับ ผบ.เหล่าทัพและ ผบ.สส.หรือที่ปรึกษาความมั่นคงแม้แต่น้อย จนในที่สุดคำสั่งนั้นก็เป็นโมฆะไป

บทบาทของพลเอกมาร์ค มิลลีย์ มีความสำคัญยิ่งในการต้าน (อย่างหวุดหวิด) การทำรัฐประหารของทรัมป์ในครั้งนี้ หรืออาจขยายเป็นสงครามระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ได้


กำลังโหลดความคิดเห็น