หนังสือเล่มใหม่ที่กำลังจะวางแผงสัปดาห์หน้าเผย ด้วยความกังวลกับพฤติกรรมของทรัมป์ในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ก่อนพ้นทำเนียบขาว นายทหารใหญ่ของอเมริกาต้องยกหูโทรศัพท์หาผู้บัญชาการทหารจีนถึง 2 ครั้ง เพื่อยืนยันว่าอเมริกาจะไม่โจมตีจีนโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทางด้านทรัมป์ฉุนจัดระบุถ้าข่าวนี้เป็นจริง ต้องถือว่านายทหารคนดังกล่าวทรยศขายชาติ
พลเอกมาร์ก มิลลีย์ น.ย. ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐฯ บอกกับพลเอกหลี่ จั้วเฉิง ผู้บัญชาการสำนักงานเสนาธิการทหารร่วมของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของจีน ว่า อเมริกาจะไม่เปิดศึกกับจีน โดยการโทรศัพท์ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2020 หรือ 4 วันก่อนวันเลือกตั้งประธานาธิบดาสหรัฐฯ 3 พ.ย. ที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 8 ม.ค. ปีนี้ หรือ 2 วันหลังจากพวกผู้สนับสนุนทรัมป์ก่อเหตุบุกโจมตีอาคารรัฐสภา และหลังจากที่ทรัมป์ปลด มาร์ก เอสเปอร์ จากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม แถมแต่งตั้งลิ่วล้อของตัวเองหลายคนในตำแหน่งระดับสูง
ในหนังสือเรื่อง “เพอริล” ที่เขียนโดย บ็อบ วูดเวิร์ด นักหนังสือพิมพ์มากประสบการณ์ กับโรเบิร์ต คอสตา ผู้สื่อข่าวของวอชิงตัน โพสต์ และมีกำหนดวางแผงสัปดาห์หน้านั้น มิลลีย์ ซึ่งทรัมป์เป็นคนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ตั้งแต่ปี 2018 ให้สัญญาว่า จะเตือนหลี่ก่อน ถ้าอเมริกาจะโจมตีจีน พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีเสถียรภาพและทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย
มิลลีย์ยังคุยกับผู้บัญชาการทหารของหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงสหราชอาณาจักร รัสเซีย และปากีสถาน หลังจากเหตุม็อบบุกสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม เพื่อยืนยันว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเข้มแข็งและควบคุมสถานการณ์ได้
หลังมีการรายงานข่าวนี้ ทรัมป์ออกคำแถลงอย่างเผ็ดร้อนโดยวิจารณ์ว่า มิลลีย์ “โง่เง่า” และยืนยันว่า เขาไม่เคยคิดโจมตีจีน ก่อนสำทับว่า ถ้าข่าวนี้เป็นจริงเท่ากับมิลลีย์พยายามขายชาติด้วยการแอบตกลงกับจีนลับหลังประธานาธิบดี ซ้ำยังสัญญาว่าจะเตือนก่อนถ้าจะมีการโจมตีจีนจริงๆ พร้อมกันนั้นทรัมป์ยังเรียกร้องให้มีการดำเนินการกับมิลลีย์ทันที
ทั้งนี้ ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่หลายคนนั้น มิลลีย์เชื่อว่า ความสามารถด้านสติปัญญาของทรัมป์เสื่อมถอยหลังการเลือกตั้ง สอดคล้องกับความเห็นของแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต ระหว่างที่ทั้งคู่โทรศัพท์คุยกันเมื่อวันที่ 8 ม.ค.
ก่อนหน้านี้ เปโลซีเผยว่า ได้คุยกับมิลลีย์ในวันดังกล่าวเกี่ยวกับ “ข้อควรระวังที่มีอยู่” เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัมป์เริ่มปฏิบัติการทางทหารหรือสั่งปล่อยอาวุธนิวเคลียร์
หนังสือเล่มนี้ยังระบุว่า มิลลีย์โทรศัพท์หาพลเรือเอกที่เป็นผู้บัญชาการของกองบัญชาการทหารสหรัฐฯภาคอินโด-แปซิฟิก และแนะนำให้เลื่อนการซ้อมรบที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะนั้นออกไปก่อน เขายังขอให้เจ้าหน้าที่อาวุโสหลายคนให้สัตย์สาบานว่า หากทรัมป์สั่งปล่อยอาวุธนิวเคลียร์ เขาจะต้องรับรู้ด้วย
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (14) หลังจากสำนักข่าวหลายแห่งคัดลอกเนื้อหาบางส่วนของหนังสือเล่มนี้มารายงานว่า การพูดคุยของมิลลีย์กับเจ้าหน้าที่และผู้บัญชาการทหารไม่มีเจตนาล้มล้างอำนาจทรัมป์ แต่ต้องการยืนยันกระบวนการต่างๆ และตรวจสอบว่า ทุกคนเข้าใจตรงกัน
ขณะเดียวกัน แม้ไม่มีข้อมูลว่า การซ้อมรบรายการไหนที่เลื่อนออกไป ถ้าหากมีการเลื่อนจริง แต่เจ้าหน้าที่กลาโหมหลายคนเผยว่า มีแนวโน้มสูงว่า มีการเลื่อนปฏิบัติการหนึ่งที่ได้วางแผนกันไว้ นั่นคือ การส่งเรือของกองทัพเรือสหรัฐฯ แล่นเข้าสู่แปซิฟิกเพื่อย้ำเสรีภาพในการเดินเรือ
ด้าน มาร์โก รูบิโอ วุฒิสมาชิกรีพับลิกัน ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกร้องให้ปลดมิลลีย์ เนื่องจากการกระทำตามที่เป็นข่าวบ่อนทำลายตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของประธานาธิบดี
ส่วน เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกรีพับลิกันเช่นเดียวกัน กล่าวว่า รายงานข่าวนี้น่ากังวลอย่างยิ่ง และสิ่งแรกที่มิลลีย์ควรทำคือตอบว่า เขาพูดอะไรกับผู้บัญชาการทหารจีน
ทว่า ดิ๊ก เดอร์บิน วุฒิสมาชิกเดโมแครต บอกว่า เขาไม่กังวลว่ามิลลีย์อาจดำเนินการเกินอำนาจหน้าที่ และเสริมว่า สมาชิกเดโมแครตหลายคนแสดงออกชัดเจนว่า ยังคงไว้วางใจว่า มิลลีย์สามารถทำให้ประเทศหลีกเลี่ยงหายนะที่รู้กันดีว่า อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
(ที่มา: เอพี)