ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จับอาการพรรคภูมิใจไทย กับปมยึกยักก่อนวันลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสอง ที่ผ่านมา หลายคนให้น้ำหนักว่า เป็นอาการแขยงบัตรเลือกตั้งสองใบ ที่ไม่น่าจะเป็นคุณกับพรรค ดูแล้วมีแต่โทษ เลยไม่อยากจะให้รื้อระบบเลือกตั้งนี้กลับมาใช้อีก
เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา ระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่หลายคนขนานนามว่า เป็น “ระบบบัตรเขย่ง” ทำพรรคขนาดกลางอย่างพรรคภูมิใจไทย สยายปีก ก้าวขึ้นมาเป็นพรรคที่มีส.ส.มากเป็นอันดับสองในพรรคร่วมรัฐบาล รองจากพรรคพลังประชารัฐ
จากที่เคยเป็นพรรคลูกไล่พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ขยับก้าวขึ้นมาอยู่ด้านหน้า พลังอำนาจต่อรองล้นหลาม กว้านกระทรวงเกรดเอ เข้าไปอยู่ในโควตาเพียบ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เป็นตัวแปรสำคัญ ที่ขนาด “3 ป.” ยังต้องเกรงใจ ไม่กล้าเขี่ยทิ้ง แม้จะเป็นพรรคที่ชอบเขย่ากันเองบ่อยๆ ปล่อยลูกน้องมาตามราวี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม อยู่เนืองๆ
ต่อรองกันแทบจะทุกเรื่อง โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศสำคัญๆที่เจรจากันไม่ลงตัว พยายามใช้กำลังภายใน ยื้อยุดฉุดกระชาก ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการบริหารจัดการโควิด-19 ที่พยายามแยกเขี้ยวใส่กันเป็นระยะๆ
แต่ทุกรอบก็ยังอยู่ด้วยกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า คนหนึ่งไม่กล้าเขี่ยทิ้ง อีกคนไม่กล้ากระโดดหนี เพราะอยู่ในโหมดต้องร่วมหัวจมท้ายกันไปก่อนในรัฐบาลชุดนี้
ในคิวที่พรรคภูมิใจไทยก็อ่านออกว่า จุดมุ่งหมายที่พรรคพลังประชารัฐ ผนึกกำลังกับพรรคเพื่อไทย หมายมั่นปั้นมือจะขุดบัตรเลือกตั้งสองใบกลับมา ก็เพื่อต้องการจะลดปัญหาพรรคปัดเศษ และอำนาจต่อรองของพรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็กที่มากเกินตัว
บัตรเลือกตั้งสองใบจะเอื้อพรรคขนาดใหญ่ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทย ที่มีกระสุนดินดำ และความนิยมจะกอบโกยคะแนนได้เยอะกว่าพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็ก
พรรคขนาดกลางจะได้รับผลกระทบเต็มๆ เพราะมีฐานเสียงกระจุกอยู่แค่บางจังหวัด ไม่ได้มหาชนกระจายทั่วประเทศเหมือนกับพรรคใหญ่ๆ
ซึ่งพรรคภูมิใจไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะหากมองฐานเสียงที่ว่าแน่นๆ แบบรับประกันได้ มี ส.ส.ประเภทดาวฤกษ์ มีแสงในตัวอยู่ มีอยู่แค่ไม่กี่จังหวัด โดยเฉพาะอีสานใต้ที่บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ผสมปนเปกับบางพื้นที่ในภาคใต้ ที่มีตระกูลรัชกิจประการ เป็นนายทุนใหญ่ พร้อมเปิดหัวจ่ายไม่อั้น
ลำพังตัวผู้สมัครแข็งๆ ยังพอยัดกระสุนดินดำแข่งได้ แต่บัตรที่ให้เลือกพรรค คนมักจะปันใจเทให้กับพรรคใหญ่ๆ ตามสไตล์การเมืองมีแค่สองขั้ว ชอบกับไม่ชอบ
ส่อแวว ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จะเหลือประปราย ได้ไม่กี่คน จากพรรคขนาดกลาง จะกลายเป็นพรรคขนาดเล็ก มีผู้แทนหลักสิบ ยี่สิบ หมดสิทธิ์จะไปต่อรองขอกระทรวงเกรดเอ เหมือนในยุคนี้ ยิ่งหากพรรคใหญ่ได้คะแนนขาดลอย ไม่ต้องง้อพรรคร่วมรัฐบาล ดึงไปแค่เป็นไม้ประดับ เขาเกลี่ยกระทรวงอะไรให้ก็ต้องจำใจรับไปก่อน เพราะคนน้อย อำนาจต่อรองน้อยลง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่นเป็นมุมที่คนอื่นมองกับการขยักแขยงบัตรเลือกตั้งสองใบของพรรคภูมิใจไทย แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างลอยมา มันมีอะไรในกอไผ่มากกว่านั้น
ตามคิวที่มีกระแสข่าวว่า คนโตเมืองบุรีรัมย์ เจ้าของพรรค เรียกส.ส.เข้าหารือปมนี้กันเคร่งเครียด หลักใหญ่ใจความที่ออกอาการงึกๆ งักๆ น่าจะมาจากสาเหตุผวาเกมล้มกระดานเป็นสำคัญ
ถกชนิดที่ว่าคิ้วแทบชนกัน ประเมินความเสี่ยง หากส.ส.พรรคภูมิใจไทย ยกมือโหวตให้อาจทำให้เข้าพื้นที่เรดโซน ตกอยู่ในภาวะอันตราย เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกินญัตติ ชนิดเหาะเกินลงกา เหมือนเอาขาแหย่เข้าไปในตะรางทางการเมืองแล้วข้างหนึ่ง
ถ้าตีความกันตามตัวกฎหมาย เป๊ะๆ อย่างไรก็ผิดที่ริอาจไปแก้ไขรัฐธรรมนูญเกินหลักการและญัตติที่ยื่นไว้ หากมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อไหร่ โอกาส 50-50 กันทีเดียว
มีทนายหน้าหอพรรคพลังประชารัฐ อย่าง “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะออกมาให้ความมั่นใจว่า ทำได้ ไม่มีปัญหา แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่า ปลอดภัย
ส.ส.บางคนในค่ายภูมิใจไทย เห็นว่า น่าจะกังวลเกินเหตุ เพราะพรรคพลังประชารัฐ ก็ร่วมโหวตด้วย หากไปก็ต้องไปกันหมด เขาคงไม่หลอกเรา แต่พรรษาการเมืองระดับท็อปอย่างคนโตบุรีรัมย์เจ้าของพรรค สอนลูกพรรคให้เห็นความโหดร้ายทางการเมือง เขาไม่แคร์หรอกพรรคพลังประชารัฐ ยุบไป ปิดไป ก็ตั้งใหม่ได้ ไม่ต้องดูไหนไกล “พรรคสำรองปลัด ฉ.” ตอนนี้ก็แสตนบายด์ไว้แล้ว
แค่ ส.ส.ไม่ต้องแคร์ ชุดเก่าเล่นไม่ได้ ก็หาคนใหม่ลงมาแทน ไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้คีย์แมนหลักๆ อย่าง “3 ป.” ยังอยู่ กับกระสุนดินดำที่มีไม่อั้นพอ
ขนาดสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 200 ชีวิต และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุด “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ที่มาด้วยกัน และตั้งกันมากับมือแท้ๆ ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังปาดทิ้ง ต่อท่ออำนาจให้ตัวเองมาแล้ว นับประสาอะไรกับ ส.ส.ที่เอาแต่สร้างปัญหาให้ จะเขี่ยทิ้งไม่ได้
พรรคภูมิใจไทย จึงไม่อยากจะเสี่ยง เอาคอตัวเองไปขึ้นเขียงแบบที่ไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะปลอดภัย
มันเลยเป็นที่มาของแคมเปญ งดออกเสียง งดใช้เสียง เพราะกลัวจะเสี่ยง ซ้ำรอยการแก้ไขรัฐธรรมนูญยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่คนโหวต คนสลับร่าง ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันทุกวันนี้