ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - โดนขนานนามว่า เป็นรัฐบาลที่ขับเคลื่อนด้วยการด่าของประชาชนไปแล้ว สำหรับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังหลายเรื่องต้องใช้วิธีการกดดันทางสังคม
ตั้งแต่เรื่องการจัดหาวัคซีน mRNA ที่หากประชาชนไม่ช่วยก่นด่า น่าจะไม่ขยับเขยื้อนสั่งซื้อจากไฟเซอร์ หรือไฟเขียวให้องค์การเภสัชกรรม เป็นผู้ลงนามจัดหาวัคซีนโมเดอร์นา แทนเอกชนที่ไม่สามารถสั่งซื้อโดยตรงได้
ล่าสุด เจอประชาชนโวยกรณีสายด่วนยังเสียค่าบริการ ทั้งที่สถานการณ์วิกฤต กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)โดนด่าเปิง
“ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดีอีเอส ต้องขยับประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อขอความอนุเคราะห์ยกเว้นค่าบริการของสายด่วนต่างๆ 8 หมายเลข ได้แก่ 1668, 1669, 1330, 1422, 1323, 1646, 1506 และ 1111
หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ ที่มีข่าวว่า รัฐบาลจะดำเนินคดีกับพวกศิลปิน ดารา ที่ออกมา Call out ด่ารัฐบาล นอกจากไม่ได้ทำให้ศิลปิน ดารา นักแสดง เกรงกลัว แต่ยังเกิดอุปทามานหมู่ Call out กันมากกว่าเดิม กลายเป็นคนที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลมากขึ้นกวาเดิม จนต้องกลับลำว่าไม่คิดดำเนินคดีแล้ว
อาการรัฐบาลตอนนี้ เหมือนคนเตะบอลชนกำแพง บางทีบางหนเหมือนลิงแก้แห เพราะนอกจากไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อหมื่นกว่า ปาเข้าไปใกล้สองหมื่น คนตายเป็นใบไม้ร่วง วันละ 100 กว่าราย ยังไม่มีวี่แววถึงทิศทางการบริหารจัดการที่จะดีขึ้น
และแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีคำสั่งในที่ประชุม ห้ามมีคนตายระหว่างรอการรักษาอยู่ที่บ้าน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา มันหนักกว่าเดิม หนักกว่านั้น ภาพคนตายอยู่ริมถนน บนฟุตบาท มีให้เห็นเป็นภาพสลดใจ สะเทือนอารมณ์คนในประเทศ
มันมีแต่คำสั่ง มันมีแต่คำพูด แต่ในทางปฏิบัติมันยังไม่มีอะไรดีขึ้น ประชาชนในประเทศเลยจุดอยู่ในสภาวะวิตก เข้าสู่โหมดสิ้นหวัง
บางคนรอเตียง รอการรักษามาเป็นสิบวัน อาการจากสีเขียว เป็นสีเหลือง จนกระทั่งเป็นสีแดง อดรนทนไม่ได้ ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองก็เกิดขึ้นให้เห็น
ผู้นำเองเอาแต่นั่งดูสถานการณ์ รอการรายงาน ตรวจเยี่ยมพื้นที่บ้าง แต่ไม่เห็นสถานการณ์จริงว่าสิ่งที่เป็นปัญหามีมากกว่าที่ได้รับรายงาน
ระเบียบราชการนี่แหละอุปสรรคสำคัญ ทำผู้ป่วยหลายคนจากที่ไม่เป็นอะไรมาก ต้องมาเสียชีวิตในภายหลัง ตั้งแต่เรื่องการอนุญาตให้ประชาชนใช้เครื่องตรวจแบบ แรพิด แอนติเจน เทสต์ คิท ได้ แต่สุดท้ายพอประชาชนไปซื้อหามาตรวจ ผลเป็นบวกว่าติดเชื้อ ยังต้องรอไปสวอปกันอีกรอบ
ในเมื่ออนุมัติให้ใช้เครื่องตรวจแบบนี้ได้ ทำไมไม่มีช่องทางที่ให้คนที่มีเชื้อเป็นบวก ได้เข้าตรวจซ้ำได้รวดเร็วกว่านี้ ไม่เช่นนั้นแรพิด แอนติเจน เทสต์ คิท จะมีความหมายอะไร
นี่ยังไม่นับประเด็นราคาเครื่องตรวจ แบบแรพิด แอนติเจน เทสต์ คิท ที่ยังแพงหูฉี่ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการไปแล้วให้หาวิธีการทำให้เป็นราคาที่ประชาชนจับต้องได้ แต่วันนี้นอกจากราคาสูงไม่พอ ยังหายากยิ่งกว่าทองคำ
มีการส่งลงไปตรวจตราหรือไม่ว่า บรรดาห้างร้านที่อนุญาตให้จำหน่ายได้ขายกันเท่าไหร่ ส่อแววจะซ้ำรอยราคาหน้ากากอนามัยช่วงหายาก ที่ปาไปกล่องละเกือบพันยังมี
ขณะที่การหาสถานที่ตรวจสวอปวันนี้หายากพอๆ กับการตรวจรักษา การตรวจในโรงพยาบาลเอกชน ราคาต่ำๆ ไม่ค่อยพบว่า ต่ำกว่า 2,000 บาท แถมแต่ละวันยังมีปริมาณจำกัด ต้องจองคิวกันไว้ล่วงหน้า
ส่วนโรงพยาบาลของรัฐไม่ต้องพูดถึง แพทย์ พยาบาล บุคลากร มีภารกิจหนังอึ้ง บางคนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ติดโควิด-19 เป็นคนไข้เสียเอง บางแห่งตรวจได้แค่วันละร้อยกว่าคน เพราะเจ้าหน้าที่เหลือน้อย ขณะที่คนป่วยอดตาหลับขับตานอน ไปรอตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อหวังได้คิว แต่ที่คิดว่าเร็วแล้วบางรายคอตกกลับบ้านรอมาชิงโชคใหม่อีกวัน
ประเด็นที่มีการร้องเรียนกันมาเรื่องระเบียบราชการปัญหาก้อนโต ของการแก้โควิด-19 คือ โรงพยาบาลบางแห่ง เจ้าหน้าที่เหลือน้อย ใช้วิธีโทรศัพท์แจ้งผลการตรวจสวอปไปยังผู้ติดเชื้อ แต่ผู้ป่วยไม่สามารถเข้ารับการรักษา หรือส่งต่อไปโรงพยาบาลสนามได้ เพราะไม่มีเอกสารรับรอง หรือผลแล็ป เพื่อเป็นหลักฐาน
บางคนรู้ผลว่าเป็นโควิด-19 มาหลายวัน แต่ไปอยู่โรงพยาบาลสนาม หรือศูนย์พักคอยไม่ได้ เพราะติดหล่มอยู่ตรงนี้ ทำได้แค่ภาวนาให้อาการไม่ทรุด
ระบบระเบียบราชการตอนนี้ อะไรผ่อนผัน ผ่อนปรนได้ เพื่อให้ประชาชนเข้ารับการรักษาได้โดยเร็วต้องรีบทำ พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ภายใต้กฎหมาย 31 ฉบับอยู่แล้ว ไหนยังจะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ
เพราะชีวิตคนสำคัญ อย่าติดการทำงานแบบรัฐราชการจนเคยตัว
เหมือนกับที่ “ผู้ว่าฯปู” วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร คนที่เข้าใจหัวอกผู้ป่วยโควิด-19 มากที่สุด เพราะผ่านจุดความเป็น-ความตายมาแล้ว โพสต์เฟซบุ๊กเอาไว้นั่นแหละ
“ถ้าระเบียบ ทำให้ประชาชนต้องตายเพราะไม่มีที่กักตัว โปรดจงก้าวข้ามระเบียบนั้น แล้วบอกว่า ต้องทำ เพราะผมเป็นคนสั่งเอง ให้มันรู้ไปว่า ระเบียบ กับความตาย อะไรสำคัญกว่า”
คนอยู่ในพื้นที่ย่อมเห็นปัญหา บางที “บิ๊กตู่” อาจต้องบู๊มากกว่านี้ ไม่ใช่รอรับรายงาน หรือตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามอย่างเดียว เพราะสุดท้ายจะไม่เห็นปัญหาที่แท้จริง
สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น เจ้าหน้าที่ระดับล่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงภัย อย่าให้เขาโดดเดี่ยว อะไรที่จะเซฟชีวิตคนได้ ต้องทำ อย่าเคร่งครัดกับระเบียบให้มากนัก เพราะชีวิตคนสำคัญสุดในนาทีนี้