ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ท่ามกลางสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน คนตายจากโควิด-19 เป็นใบไม้ร่วง พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคภูมิใจไทย กลับไม่ลดละ เปิดสงครามภายในกันอีกรอบ ด้วยวิธีการเดิมๆ อย่าง สงครามตัวแทน
มิหนำซ้ำ หนังหน้าไฟ-กันชน ยังเป็นตัวละครๆ เดิม พรรคภูมิใจไทย นำแสดงโดย “ศุภชัย ใจสมุทร” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย รับบทเป็นองครักษ์พิทักษ์ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข สมทบด้วยรองโฆษกพรรค ที่หนนี้ใช้ “ณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ” ส.ส.สงขลา มาเสริมอีกแรง
ขณะที่ฟากฝั่งพรรคพลังประชารัฐ รอบนี้ชักเล่นแรงมากขึ้น นอกจาก “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ขาประจำ ออกมานอนโลงศพ ประชดกระทรวงสาธารณสุขของ พร้อมกับหันไปขับไล่ฝ่ายประจำผู้ใต้บังคับบัญชา หมอหนู อย่าง “นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์” อธิบดีกรมควบคุมโรค ยังมี “หนูส้ม” พัชรินทร์ ซำศิริพงศ์ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกไฟต์บังคับโดยหน้าที่โฆษกพรรค ออกมาปะดาบกับฝั่งพรรคภูมิใจไทย ทั้งที่ไม่ได้เป็นพวกสายบู๊
คิวนี้ของสองพรรคพลังประชารัฐ ชัดว่า ระเบิดศึกปมการบริหารโควิด-19 ล้มเหลว ทั้งการรักษาและหาวัคซีน ว่าสุดท้ายมันพังด้วยน้ำมือใคร ระหว่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับ “หมอหนู” อนุทิน
ดูฟอร์มลูกพรรคภูมิใจไทย กับเนื้อหาสาระที่ออกมายังคล้ายๆ ของเดิม คือ พยายามจะสื่อถึงคนที่พากันด่า “หมอหนู” ว่ากำลังเข้าใจผิด และทัวร์ลงผิดที่
พรรคภูมิใจไทย โดยศุภชัย และ ณัฏฐ์ชนน พยายามผลิตคอนเทนต์เน้นๆ ว่า หมอหนู ไม่ได้มีอำนาจ โดยยกหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างเรื่องคำสั่งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาอ้าง
ไม่ว่าจะเป็นประกาศนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 3 ที่ “พล.อ.ประยุทธ์” รวบอำนาจกฎหมาย 31 ฉบับไว้กับตัวเอง เป็นเหตุให้ “หมอหนู” ไร้ซึ่งอำนาจเรื่องวัคซีน จากเดิมที่เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ตามมาตรา 10 (2) แห่งพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ที่มี รมว.สาธารณสุข นั่งหัวโต๊ะ
หรือเรื่องการหาวัคซีนทางเลือก ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 5/2564 แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มี “นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร” อดีต รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน โดยไม่มีรายชื่อของ “หมอหนู” หรือแม้แต่ “หมอตี๋” สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข เป็นกรรมการ
เช่นเดียวกับเรื่องเตียงขนาดแคลนในพื้นที่ กทม. ที่ประเด็นนี้ลูกพรรคภูมิใจไทย ชี้ให้เห็นว่า หมอหนู ไม่มีอำนาจอีกเช่นกัน โดยเปิดคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 6/2564 ที่ตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ปรากฏว่า ศูนย์นี้มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผอ.ศูนย์ มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นรองผอ. ไม่มีรัฐมนตรีสักคนเป็นกรรมการ แม้แต่ รมว.สาธารณสุข หรือ รมช.สาธารณสุขที่เกี่ยวข้องโดยตรง
นอกจากนี้ ดูเหมือนพรรคภูมิใจไทยจะมีตัวช่วยเข้ามาเขย่าซ้ำ เพราะในจังหวะที่กำลังเปิดศึกใส่ประเด็น ปรากฏว่า “เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ออกมาโจมตีรัฐบาล ที่อ่านไปอ่านมา เหมือนมีเจตนาเอนเอียงมาทาง “หมอหนู” กลายๆ เหมือนกัน
โดย เสี่ยไก่ พูดคล้ายๆ กับคนของพรรคภูมิใจไทย แต่พูดชัดกว่า “บิ๊กตู่” ยึดอำนาจรัฐมนตรีไปไว้ที่ตัวเองหมด โดยเฉพาะเรื่องเตียงในกทม. ที่ “เสี่ยไก่” แจกแจงให้ฟังว่า โรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่เมืองหลวงมีแค่ 2 แห่งเท่านั้นคือ โรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลนพรัตน์ธานี นอกนั้นส่วนใหญ่สังกัด กทม.
พรรคพลังประชารัฐเองก็รู้ อ้าปากเห็นลิ้นไก่ พรรคภูมิใจไทย กำลังจะโบ้ยความรับผิดชอบมาให้ “บิ๊กตู่” โดยหยิบยกคำสั่งต่างๆ มาอุ้ม “หมอหนู” จึงออกมาตอบโต้กันกลางไวรัสมรณะ
ในจังหวะที่คนในพรรคพลังประชารัฐหลายคนก็เริ่มรู้สึกได้ พฤติกรรมแบบนี้ของพรรคภูมิใจไทย ส่อเค้าเอาตัวรอด ไม่เกี่ยวกับโควิด-19 ล้มเหลว เรื่อยไปจนถึงข่าวลือ หมอหนูรอส้มหล่น หาก บิ๊กตู่ ปิ๋วตกเก้าอี้ก่อนกาลอันควร
จึงไม่แปลกที่จะมีข่าวหลุดจากวงประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ “บิ๊กตู่” อารมณ์เสียกับคำถามนักข่าวเรื่องพรรคร่วมรัฐบาลลอยตัว กับเสียงเรียกร้องให้พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ถอนตัว กระโดดลงจากเรือผุ จนบ่นพึมพำให้ที่ประชุมฟังว่า ผมไม่ทิ้งคุณ คุณจะทิ้งผม ก็ตามใจ
แม้จะเข้าใจได้ว่า “บิ๊กตู่” เซ็งคำถามผู้สื่อข่าว แต่การบ่นเสียงดัง กับวลีเด็ดๆ น่าจะมุ่งหวังให้รัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลได้ยินแล้วเอาไปคิดมากกว่า
ขณะที่อีกวันให้หลัง หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ต่างพาเหรดเรียงแถวกันออกมายืนยันว่าไม่ทอดทิ้งแน่
ตอนจบลงเอยแบบปาหี่อีกรอบ!
นั่นเพราะสงครามภายในที่ปะทุรอบนี้ มันก็เข้าอีหรอบแค่ฟาดงวงฟาดงา ยกการ์ดปกป้องตัวเอง และโยนผิดให้อีกฝ่ายเป็นแพะรับบาปรับความพินาศในการบริหารเท่านั้น
มันไม่ได้แตกหัก ร้าวฉาน หนักหนาสาหัสอะไร เพราะถ้าถึงจุดนั้น คงไม่ใช้สงครามตัวแทนออกมาปะ ฉะ ดะ กันให้อับอายประชาชน ขายขี้หน้าประชาชี
อย่างที่รู้กัน พรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่กล้าเขี่ยพรรคภูมิใจไทย ขณะที่พรรคภูมิใจไทยก็ไม่กล้าโดดหนี้พรรคพลังประชารัฐ เพราะไม่มีสัญญาณเปลี่ยนตัวละคร
มันก็แค่เหตุเรือรั่วไม่ใช่เรือแตก สุดท้ายต้องผูกชะตากันไป จนรัฐบาลอยู่ไม่ได้น่ะแหละ