แทบไม่ต้องมีข้อสงสัยใดๆ เลย ว่าพรรครีพับลิกันแตกยับหรือไม่ หลังจากการพิจารณาการถอดถอนอดีตปธน.ทรัมป์ในวุฒิสภา Senate นั่นคือ แถลงการณ์เปิดผนึกจากอดีตปธน.ทรัมป์ที่เผยแพร่มาจากซูเปอร์คฤหาสน์มาร์-อา-ลาโก ที่ฟลอริดา ในบ่ายวันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ มีใจความโจมตีผู้ใหญ่อันดับหนึ่งของพรรครีพับลิกัน คือ ส.ว.อาวุโสรัฐเคนทักกีที่ครองเก้าอี้มาถึง 6 สมัย และได้ดำรงตำแหน่งอันทรงอิทธิพลที่สุดของวุฒิสภาถึง 15 ปีคือ ประธานเสียงข้างมากของวุฒิสภาที่สามารถจะชี้เป็นชี้ตายกฎหมายต่างๆ จะให้ผ่านสภาได้หรือไม่ผ่าน (รวมทั้งการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ และการแต่งตั้งรมต.หรือเทียบเท่า และเหล่าบรรดาทูตานุทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศต่างๆ ทั่วโลก)
เป็นการประกาศสงครามที่ทรัมป์ชิงโจมตี ส.ว.อาวุโสมิตช์ แมคคอนเนลล์ อย่างชนิดที่ไทยเราจะเรียกว่า ไม่ขอเผาผีกันต่อไป เพราะในข้อความที่ประกาศสงครามนั้น ทั้งดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท และ Bully สุดๆ เต็มไปด้วยถ้อยคำที่เกลียดชังนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ อย่างที่ไม่น่าจะเคยเห็น ส.ว.คนใดทำกับ ส.ว.อาวุโสที่ยังเป็นที่เคารพยำเกรงของพรรคได้ถึงขนาดนี้
ทรัมป์โจมตีสาดใส่มิตช์ แมคคอนเนลล์ ว่า เป็นนักการเมืองหน้าเครียดเลือดเย็น ซึ่งถ้าเหล่า ส.ว.รีพับลิกันยังจะสวามิภักดิ์ต่อมิตช์แล้ว พวกเขาจะไม่มีทางได้กลับมาเป็น ส.ว.อีกแน่นอน-เป็นการ Bully สบประมาทอย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป
ทรัมป์ประกาศเหยียบย่ำมิตช์ต่อไปว่า “นายมิตช์ไม่มีทางจะทำอะไรได้สำเร็จตามที่ ส.ว.คาดหวังไว้ หรือไม่สามารถทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประเทศของเรา!!”
เขากล่าวโอ้อวดต่อไปว่า เพื่อความจำเป็นและเหมาะสม...ผมจะคัดสรรให้การสนับสนุนผู้ที่จะมาเป็นตัวแทนของพรรค ที่เห็นด้วยกับหลักการ “ทำอเมริกาให้กลับมายิ่งใหญ่อีก (Make America Great Again)” ด้วยนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน (America First)” นั่นเอง โดยผู้มาเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันที่ผมจะคัดสรรนี้ จะต้องชาญฉลาดเข้มแข็ง ความคิดอ่านลุ่มลึก และจะเป็นผู้นำที่มีหัวใจ
เขากล่าวโจมตีมิตช์ แมคคอนเนลล์ ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้รีพับลิกันเสียเสียงข้างมากในวุฒิสภา! เพราะยอมจำนนให้อีกฝ่ายหนึ่ง (หมายถึงเดโมแครต) ฉ้อโกงการเลือกตั้ง
เขากล่าวเหยียดหยามมิตช์ว่า ขณะนี้เป็นช่วงสำคัญใหญ่ยิ่งของชาติเรา ซึ่งเราไม่สามารถปล่อยให้โอกาสทองนี้ผ่านไปง่ายๆ ด้วยการใช้ “ผู้นำชั้น 3...(แถวสาม)...เข้ามาสร้างอนาคตให้แก่พวกเรา!!
นับเป็นการประกาศชัดว่า ทรัมป์จะนำทัพสำหรับการเลือกตั้งในอีก 2 ปีข้างหน้า และในอีก 4 ปีที่จะมีการเลือกตั้ง ปธน.ด้วย
ความจริงในวันที่ 20 มกราคมที่ปธน.ไบเดน สาบานตน และทรัมป์กล่าวอำลาก่อนขึ้นเครื่องบิน Air Force 1 เที่ยวสุดท้ายของเขา ทรัมป์ได้กล่าวคำพูดที่น่ากลัวยิ่งว่า เขาจะกลับมาในรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง ซึ่งหมายถึงการข่มขู่ ว่า เขาจะยังไม่อำลาการเมืองอย่างแน่นอน แต่ขบวนการให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง!
ที่ทรัมป์ออกมาประกาศกร้าวท้าชิงการนำพรรครีพับลิกันจากมิตช์ แมคคอนเนลล์ ครั้งนี้ก็เพราะในวันพุธที่ 6 มกราคม อันเป็นวันที่มีพิธีกรรมนับคะแนนอย่างเป็นทางการของ Electoral College ซึ่งเป็นการประชุมร่วมสองสภา, ที่อาคาร Capitol (อาคารรัฐสภา) และเป็นวันที่นายทรัมป์ได้ประกาศนัดหมายพร้อมยุยงปลุกปั่นให้เหล่าชาว White Supremacist ซึ่งส่วนใหญ่เป็น White Working Class ได้มาเดินขบวนโดยใช้ความรุนแรง เพื่อกดดันให้มีการไม่ยอมรับผลการนับคะแนนของ Electoral College
และเมื่อมีการกบฏจลาจลบุกยึดสภา ตามไล่ล่าจะแขวนคอรองปธน.ไมค์ เพนซ์ และเอากระสุนยิงเจาะหัวประธานสภาล่างแนนซี เพโลซี จนเมื่อสภาร่วมต้องวิ่งหนีผู้ก่อการร้ายกลุ่ม White Supremacist สมุนของทรัมป์ไปหลบอยู่ในอุโมงค์ลับ และเมื่อกองกำลังรักษาดินแดนได้เข้ามาปราบเหล่ากบฏจับตัวไปควบคุมสอบสวน เหตุการณ์ระทึกยึดสภาจึงจบลง...และสภาร่วมก็ได้ประชุมนับคะแนนจนจบ...ได้ไบเดนมาเป็นปธน.คนที่ 46
หลังจากนั้นสภาล่างก็ได้พิจารณามีมติถอดถอนทรัมป์ในข้อหา ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการกบฏจลาจล
จนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ฝ่ายวุฒิสภาได้นำมติถอดถอนทรัมป์จากสภาผู้แทนเข้ามาพิจารณา
คะแนนในวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนทรัมป์ได้แค่ 57 เสียง ฝ่ายไม่ถอดถอนอยู่ที่ 43 โดยมี ส.ว.รีพับลิกันถึง 7 คนยกมือให้ถอดถอน ซึ่งถือเป็นคะแนนเสียงในวุฒิสภา (ที่ให้ถอดถอนปธน.) สูงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ในวันนั้นเอง ประธานเสียงข้างน้อยมิตช์ แมคคอนเนลล์ ได้อภิปรายเสียยืดยาว เขาบอกว่า การกระทำของปธน.ทรัมป์นั้น “Disgraceful” มาก ในการยุยงปลุกปั่นให้เหล่าฝูงชนบ้าคลั่งได้รับแต่คำพูดข้อมูลที่โกหกเรื่อง ทรัมป์ถูกโกงคะแนน และทรัมป์จะต้องรับผิดชอบต่อการยุยงปลุกปั่นที่บุกเข้ายึดสภาครั้งนี้ และมิตช์ยังเสริมอีกว่า ทรัมป์น่าจะถูกดำเนินคดีอาญาต่อไปสำหรับเหตุการณ์บุกยึดสภาด้วย
แม้ในที่สุดมิตช์ แมคคอนเนลล์ จะลงคะแนนไม่ถอดถอนทรัมป์จากตำแหน่ง แต่คำพูดของมิตช์ก็สร้างความเสียหายให้แก่ทรัมป์อย่างยิ่ง และเป็นการประกาศของมิตช์เพื่อเตือนเหล่า ส.ว.รีพับลิกันที่สนับสนุนมิตช์เป็นส่วนใหญ่ ได้ตระหนักว่าแนวทางหลักของพรรครีพับลิกันจะไม่เอาแนวทางของทรัมป์ ที่มีฐานความคิดแบบ Q-Anon (ย่อมาจาก Q-Anonymous ที่เชื่อว่า พรรคเดโมแครตเป็นพวกปิศาจที่กินเลือดเด็กๆ!! และทรัมป์เป็นเทวดาที่สวรรค์ส่งมาปราบเดโมแครต!!) หรือกลุ่มขาวตกขอบบูชาขาวเป็นส่วนใหญ่ ตลอดจนพวก Neo-Nazi เป็นต้น
และถ้าหลายคนจะสงสัยว่า ทำไม ส.ว.อาวุโสมิตช์ แมคคอนเนลล์ กล่าวชี้ผิดให้กับทรัมป์ แต่ยังลงคะแนนไม่ถอดถอน...คำตอบก็คือ เขาแสดงว่า แนวทางของรีพับลิกันควรจะเป็นแนวทางแบบอนุรักษนิยมที่ยังมีเหตุมีผล แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่กล้าทิ้งเสียงส่วนน้อยของพรรค ที่ได้แก่ฐานเสียง White Working Class ที่เพิ่งมาเป็นฐานเสียงใหม่ที่ทรัมป์เพิ่งได้ปลุกกระแสขึ้นมา ซึ่งจะเห็นได้จาก ส.ส.หญิง 2 คนของพรรครีพับลิกัน คนแรกคือ Liz Cheney ลูกสาวของอดีตรองปธน.Dick Cheney ซึ่งลงคะแนนในสภาล่างให้ถอดถอนทรัมป์...ขณะที่อีกคนคือ Majorie Taylor Green ส.ส.หน้าใหม่จากรัฐจอร์เจีย ที่เป็นตัวแม่ของกลุ่ม Q Anon ทีเดียว ซึ่งพรรคยังคงให้การสนับสนุนทั้งคู่อย่างเต็มที่ แม้จะอยู่กันละคนขั้วก็ตาม
ต่อไปนี้ จะได้เห็นบทบาทของทรัมป์ในการก่อกวนไบเดนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งประลองยุทธ์กับฝ่ายมิตช์ แมคคอนเนลล์ เพื่อพยายามยึดครองพรรครีพับลิกันให้เปลี่ยนมาเป็นแนวทาง White Supremacist มากยิ่งขึ้นนั่นเอง