ในที่สุด สภาล่างของสหรัฐฯ ก็มีมติด้วยเสียงข้างมากให้ถอดถอนปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ จากตำแหน่ง ในข้อหาฉกาจฉกรรจ์ที่ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการกบฏจลาจลของฝูงชนบ้าคลั่งที่บุกเข้ายึดอาคารรัฐสภา เมื่อวันพุธที่ 6 มกราคม (ซึ่งเป็นวันสำคัญที่นับคะแนนอย่างเป็นทางการของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ที่ให้คะแนนแก่ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ 306 คะแนน ชนะขาดลอยต่อปธน.ทรัมป์ที่ได้แค่ 232 คะแนน) เพื่อทำลายการนับคะแนนของสภาร่วม และกดดัน ทั้งรองปธน.เพนซ์ และ ส.ส., ส.ว.ของพรรครีพับลิกัน ให้ปฏิเสธการให้คะแนนของ Electoral College เพื่อจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่หรือนับคะแนนใหม่ในรัฐสมรภูมิ
การทำลายการประชุมร่วม 2 สภาเกือบเป็นผลสำเร็จ โดยมีความรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างฝูงชนบ้าคลั่ง (Mob) ที่ถูกปลุกปั่นโดยทรัมป์-ซึ่งอยู่ในตำแหน่งปธน. และมีหน้าที่ต้องคอยระงับไม่ให้เกิดการจลาจล แต่กลับเป็นหัวหน้ายุยงให้เกิดการจลาจลเสียเอง
มีการปะทะรุนแรงระหว่างฝูงชนบ้าคลั่ง (ที่ทำตามคำปลุกปั่นของทรัมป์) กับเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภา (ซึ่งวันนั้นก็มีจำนวนตำรวจป้องกันสภาน้อยมาก) จนเกิดการตายถึง 5 คน มีตำรวจ 1 คนถูกยิงตาย และการประชุมสภาร่วมก็ต้องยุติกะทันหัน และทั้ง ส.ส., ส.ว.ต้องวิ่งหนีฝูงชนที่จะมาแขวนคอ ทั้งรองปธน.เพนซ์ และประธานสภาผู้แทน-แนนซี เพโลซี
หลังกองกำลังรักษาดินแดนและตำรวจดี.ซี.บางส่วน ได้เข้ามาระงับเหตุการณ์จลาจลในค่ำวันพุธที่ 6 มกราฯ จึงได้มีการประชุมสภาร่วมต่อจนดึก และรองปธน.เพนซ์ ซึ่งเป็นประธานสภาร่วม จึงได้ประกาศว่า นายไบเดนชนะคะแนนของ Electoral College อย่างเป็นทางการ เพราะมี ส.ส., ส.ว.รับรองคะแนนของ Electoral College อย่างเป็นทางการ
ในดึกวันนั้น ที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้วคือ มี ส.ส., ส.ว.รีพับลิกันบางส่วน นำโดย ส.ว.เท็ด ครูซ แห่งเทกซัส และ ส.ว.จอช ฮอว์ลีย์ แห่งมิสซูรี ได้ลงคะแนนปฏิเสธการยอมรับคะแนนของ Electoral College ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดจลาจลสยดสยองไปหยกๆ ต่อหน้าต่อตา
เพียงแต่เสียงส่วนใหญ่ของสภาร่วม มีมติเสียงข้างมากยอมรับคะแนนของ Electoral College ซึ่งทำให้ไบเดนชนะอย่างขาวสะอาดและเป็นทางการ
ขณะนี้ในวุฒิสภา-ส.ว.อาวุโสแห่งรัฐนิวยอร์กคือ ชัค ชูเมอร์ (เดโมแครต) ได้เป็นประธานเสียงข้างมากของวุฒิสภา (...เปลี่ยนมาจากคนเดิมคือนายมิชต์ แมคคอนเนลล์ (รีพับลิกัน) จากรัฐเคนตั๊กกี) ได้ประกาศว่า วุฒิสภาจะพิจารณาการถอดถอนอดีตปธน.ทรัมป์ โดยจะเริ่มกระบวนการพิจารณาในวันที่ 9 กุมภาพันธ์
มีเสียงเอะอะไม่พอใจมาจาก ส.ว.รีพับลิกันส่วนใหญ่ ที่ยังแสดงตนอยู่ฝ่ายทรัมป์เต็มที่
หนึ่งในนั้นคือ ส.ว.หนุ่มคนดังเชื้อสายคิวบา นายมาร์โก รูบิโอ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อว่า ในเมื่อนายทรัมป์หมดวาระจากการเป็นปธน.แล้ว...จะมีการถอดถอนได้หรือ? ถือว่าผิดรัฐธรรมนูญ...ทั้งๆ ที่เมื่อปี 2016 ตัวนายรูบิโอนี่แหละ ที่สมัครแข่งกับทรัมป์ที่จะเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน เพื่อลงแข่งตำแหน่งปธน.สหรัฐฯ และวันนั้น เขาถูกนายทรัมป์ดูถูกเหยียดหยามว่า เป็น “ไอ้หนูรูบิโอ” ว่าเป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม และ ส.ว.รูบิโอก็ได้เรียกนายทรัมป์ว่า เป็น con-man คือนักต้มตุ๋นตัวยง, เป็นนักหลอกลวงและไม่จริงใจ ไม่น่าเชื่อถือ
ส.ว.อีกคนคือ คุณหมอแรนด์ พอล (Rand Paul) จากรัฐเคนตั๊กกี ออกมาแสดงการดูถูกความพยายามของพรรคเดโมแครตให้วุฒิสภาถอดถอนทรัมป์ โดยเขาพูดข่มทันทีว่า การเสนอถอดถอนเข้าวุฒิสภาครั้งนี้ จะตกตายในทันทีที่เข้าวุฒิสภา (Dead on Arrival) และยังไม่พอ นายแรนด์ พอล ยังเสนอญัตติต่อวุฒิสภาเพื่อขอให้ลงคะแนนว่า วุฒิสภาควรจะรับพิจารณามติของสภาล่างที่ให้เข้าสู่ขบวนการถอดถอนอดีตปธน.ทรัมป์หรือไม่
มติออกมาด้วยคะแนน 55 ต่อ 45 คว่ำญัตติของนายแรนด์ พอล อย่างขาดลอย โดยมี ส.ว.รีพับลิกันถึง 5 คนได้ข้ามฟากมาร่วมลงคะแนนกับ ส.ว.เดโมแครต เพื่อฆ่าญัตติของคุณหมอแรนด์ พอล
ส.ว.รีพับลิกันทั้ง 5 ได้แก่ ส.ว.มิตต์ รอมนีย์ แห่งรัฐยูทาห์, ส.ว.เบน แซสซี แห่งรัฐเนบราสกา, ส.ว.ซูซาน คอลลินส์ แห่งรัฐเมน, ส.ว.ลิซ่า เมอควอสกี้ แห่งรัฐอะแลสกา และ ส.ว.แพต ทูมีย์ แห่งรัฐเพนซิลเวเนีย
การคว่ำญัตติของแรนด์ พอล ครั้งนี้ ถือเป็นการประลองกำลังยกแรกก่อนการพิจารณาคดีถอดถอนทรัมป์ในวุฒิสภา
แม้วุฒิสมาชิก 55 คนยกมือสนับสนุนให้วุฒิสภาเดินหน้าขบวนการถอดถอนอดีตปธน.ทรัมป์ แต่ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าการพิจารณาคดีถอดถอนนี้ วุฒิสภาจะลงมติด้วยคะแนนเสียงถึง 2 ใน 3 คือ 67 เสียงเพื่อถอดถอนอดีตปธน.ทรัมป์
เพราะนั่นหมายถึงเดโมแครตจะต้องการคะแนนจากฝั่งรีพับลิกันถึงอีก 17 เสียง ซึ่งดูจะเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะเหล่า ส.ว.รีพับลิกันที่ยังเกรงบารมีของทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มก้อนฐานเสียงใหม่ของพรรค ที่เป็นคนขาวระดับล่าง (ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงของเดโมแครตด้วยซ้ำ)
เหล่า ส.ว.ที่ยังไม่ยอมให้ถอดถอนทรัมป์นี้ หลายคนหวาดหวั่นต่อฐานเสียงของทรัมป์ที่ถูกล้างสมองโดยทรัมป์ และภักดีต่อทรัมป์ โดยเข้าใจผิดว่า ทรัมป์ถูกปล้นคะแนนไปจริงๆ...ส.ว.รีพับลิกันบางคนถึงกับเกรงว่า ตนเองจะถูกทำร้ายด้วยซ้ำจากเหล่าพวกคลั่งชาติ และคลั่งความเป็นคนขาวด้วยซ้ำ
ตามรัฐต่างๆ ก็ยังมีการเติบโตของกลุ่มติดอาวุธเถื่อนบูชาผิวขาว ซึ่งถูกทรัมป์ปลุกปั่นและประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า จะเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อแก้แค้นและทวงคืนชัยชนะของทรัมป์ที่ถูกปล้นไป
ต้นไม้พิษอย่างทรัมป์ ได้ออกลูกหลานเติบโตงอกงามในสหรัฐฯ ด้วยพิษที่ทรัมป์ได้เติมใส่ด้วยความเกลียดชังให้ใช้กำลังปะทะกัน และอาจจะต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าที่ความจริงจะปรากฏ ดังที่ไบเดนได้ย้ำในสุนทรพจน์รับตำแหน่งของเขาว่า ความจริงเท่านั้นจะทำให้คนหันหน้ามายอมรับกันได้
และการพิจารณาถอดถอนทรัมป์ ก็น่าจะเป็นอีกฉากหนึ่งที่หลักฐานความจริง ที่ทรัมป์ได้มีส่วนชักใยวางแผนกับผู้นำกลุ่มบูชาขาว (รวมทั้งกลุ่มนีโอนาซี) ที่ติดอาวุธและใช้ความรุนแรง เป็นฝ่ายปลุกปั่นให้มีการเข้าใจผิด เพื่อออกมายึดสภาเพื่อปกป้องประธานาธิบดีทรัมป์