ในวันสุดท้ายๆ ในตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ หมกมุ่นอยู่แต่การพยายามพลิก การประกาศผลการเลือกตัวประธานาธิบดี เพื่อให้เขาเป็นฝ่ายชนะ แทนที่จะเป็นไบเดนผู้ซึ่งได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งได้สูงมากกว่าเขา
เหตุการณ์ยั่วยุปลุกปั่นช่วงเที่ยงวันของวันพุธที่ 6 มกราฯ ที่หน้าทำเนียบขาว นำโดยประธานาธิบดีทรัมป์, ทนายของเขา-นายจูลีอานี, ลูกชายคนโต ดอน จูเนียร์ รวมทั้ง ส.ส.สาวกทรัมป์บางคน ช่วยกันสร้างอารมณ์ของผู้ชุมนุมที่ส่วนใหญ่เป็นคนบูชาผิวขาวที่มีความเกลียดชังคนผิวดำ และคนกลุ่มน้อยอื่นๆ ในอเมริกา (ที่มาแย่งงานทำหรือมาแย่งความมั่งคั่งของชาติไปจากพวกเขา)
ทำให้ฝูงชนที่ถูกปลุกปั่นได้ที่ได้บุกเข้าโจมตียึดอาคารรัฐสภา เพื่อไปทำลายการประชุมสำคัญ เพื่อประกาศคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งต่อหน้าสภาร่วม และพร้อมแขวนคอบุคคลที่ทรัมป์ได้ยุยงฝูงชนให้เข้าใจผิดว่าเป็นบุคคลที่ทรยศต่อชาติ ต่อรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ยอมก้มหัวเพื่อทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อทำให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งนั่นเอง) โดยฝูงชนบ้าคลั่ง (ที่นำโดยกลุ่มบูชาขาว-White Supremacist) ได้วิ่งไล่ล่าตามหารองปธน.เพนซ์ และประธานเพโลซี เพื่อจะได้แขวนคอคนทั้งสอง
หลังจากกองกำลังรักษาดินแดนได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ก่อกบฏยึดสภาในค่ำวันนั้น ทำให้การประชุมสภาร่วมได้กลับมาเปิดประชุมอีกครั้ง จนสามารถดำเนินการประชุม และรองปธน.เพนซ์สามารถประกาศผลการนับคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งได้สำเร็จในเวลาดึกของวันพุธที่ 6 มกราฯ
ในวันรุ่งขึ้น ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภา ส.ว.รัฐเคนทักกี นายมิชต์ แมคคอนเนลล์ ได้ประกาศในที่ประชุมวุฒิสภาว่า ประธานาธิบดีคนที่ 46 คือ นายไบเดน จากคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง
ถึงตอนนี้ ทรัมป์ก็หมดหนทางที่จะพลิกเหตุการณ์ให้ตัวเองชนะการเลือกตั้ง
และเขาถูกเหล่า Platform ของโซเชียล มีเดียต่างๆ ปฏิเสธที่จะให้เขาส่งข้อความไปยังสาวกของเขา
ทำให้เขาเงียบหายไปจากการปรากฏกายในที่สาธารณะ เพียงแต่มีข่าวเล็ดลอดออกมาจากทำเนียบขาวว่า เขาได้พยายามปรึกษาเหล่านักกฎหมายว่า เขาจะนิรโทษกรรมให้แก่ตัวเขาเองหรือลูกๆ ของเขาดีหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองตกเป็นจำเลยในข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดการจลาจลกบฏยึดสภา
เหล่านักกฎหมายให้คำแนะนำแก่ทรัมป์ว่า ไม่ควรนิรโทษกรรมตัวเองและลูกๆ เพราะยิ่งเป็นการแสดงถึงเจตนาว่า ตัวเองยอมรับว่ามีความผิดในการสมคบหรือยั่วยุให้เกิดการกบฏนั่นเอง
ในที่สุด ทรัมป์ก็ยอมออกมาอ่านสุนทรพจน์อำลาตำแหน่ง ซึ่งมีคนอื่นเป็นผู้เขียนให้; เข้าใจว่าเป็นที่ปรึกษา สตีฟ มิลเลอร์ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำหน้าที่นี้ให้เขามาตลอด
เนื้อหาของการกล่าวอำลานี้ ได้กล่าวพอเป็นพิธี อวยพรให้คณะผู้บริหารคณะใหม่ประสบความสำเร็จ โดยไม่มีการเอ่ยชื่อของไบเดนทั้งสิ้น
ที่สำคัญคือ ประโยคสุดท้ายที่เขายังไม่วายขู่คุกคามฝ่ายไบเดนที่เป็นฝ่ายชนะเลือกตั้ง
ทรัมป์กล่าวอย่างหนักแน่นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา (หรือขบวนการเคลื่อนไหวของเขา) ขณะนี้ เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
ทำเอาหลายคนหวาดหวั่นว่า เขาจะไม่หยุดเคลื่อนไหวแน่ๆ และจะยังเดินหน้ากวนน้ำให้ขุ่นต่อไป
เพราะเขามีฐานเสียงที่ลงคะแนนให้เขาถึง 74 ล้านเสียง และเป็นพวกกลุ่มบูชาขาวที่มีหลายกลุ่มเป็นกลุ่มติดอาวุธเถื่อน หรือกองกำลังฝึกอาวุธอย่างผิดกฎหมาย เป็นพวกก่อการร้ายภายในประเทศนั่นเอง
แม้จะมีนสพ.ในยุโรป เช่น ดิ อินดีเพนเดนต์ของอังกฤษพิมพ์หน้า 1 เป็นข้อความว่า “มันจบลงแล้ว (It’s Over)” และอีกหลายๆ ฉบับก็ไปในทำนองนี้ว่า ทรัมป์คงจบบทบาททางการเมืองจริงๆ เนื่องจากเขาจะต้องเผชิญกับคดีความมากมายที่รอเขาอยู่ ซึ่งเรื่องการยุยงหรือร่วมวางแผนก่อกบฏจลาจล ก็น่าจะเป็นสิ่งที่รอเขาอยู่ด้วย
แล้วยังมีคดีถอดถอน (Impeachment) ที่กำลังรอคิวจะเข้าพิจารณาในวุฒิสภา ซึ่งถ้าเขาถูกถอดถอนโดยวุฒิสภา ก็จะมีเรื่องที่ตามมาทันทีคือ การพิจารณาของสภาเพื่อให้ทรัมป์หมดสิทธิในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะการเข้ารับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง เป็นต้น
แต่สุนทรพจน์สุดท้ายอำลาตำแหน่งของทรัมป์ ดูจะคำรามด้วยความแค้นว่า เขาจะไม่หยุดนิ่งแน่ๆ ขนาดมีเสียงเล็ดลอดออกมาช่วงวันสุดท้ายของเขาว่า เขาอาจจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ ภายใต้ชื่อพรรคผู้รักชาติ (Patriots Party) โดยจะมีกลุ่มบูชาขาวเป็นทั้งถุงเงิน และยังมีเหล่าฐานเสียง 74 ล้านที่จะผลักดันให้เขาพยายามกลับมาเป็นปธน.อีกครั้งในอีก 4 ปีข้างหน้า เพื่อล้างแค้นที่เขาถูกไบเดนโกงเลือกตั้ง
ขนาดหลานสาวแมรี ทรัมป์ ของเขาก็ยังไม่ไว้วางใจว่าทรัมป์จะยอมเดินลงจากเวทีไปอยู่เงียบๆ ได้ เพราะเขาเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น หลงตัวเอง และบ้าอำนาจ ซึ่งฐานเสียง 74 ล้านน่าจะทำให้เขาจะยังคงพยายามก่อกวนการบริหารของไบเดนในทุกๆ ด้าน รวมทั้งกลุ่มนิยมความรุนแรงจากเหล่านีโอนาซี และกลุ่มบูชาผิวขาว ที่จะใช้เขาเป็นด่านหน้าในการก่อกวนสังคมอเมริกันต่อไป