โฆษกหญิงของไบเดนออกมาปฏิเสธอย่างทันทีทันควัน หลังจากทรัมป์ออกคำแถลงระบุจะยกเลิกระเบียบห้ามผู้เดินทางจากยุโรปและบราซิล ตอกย้ำถึงการถ่ายโอนอำนาจที่อุดมไปด้วยความตึงเครียดขัดแย้ง ขณะที่ตัวทรัมป์เก็บตัวเงียบ เตรียมอำลาทำเนียบขาวเช้าวันพุธ (20 ม.ค.) ในฐานะประธานาธิบดีที่กำลังจะพ้นวาระคนแรกของอเมริกาในรอบกว่า 150 ปีที่ไม่ไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของผู้นำคนต่อไป อย่างไรก็ตาม คาดเก็งกันว่าเขาอาจจะประกาศให้อภัยโทษแก่ผู้กระทำความผิดแบบทิ้งทวน ในเวลาที่คะแนนนิยมของเขาร่วงกราวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ในวันจันทร์ (18) ทำเนียบขาวได้เผยแพร่คำแถลงของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังจะพ้นตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่าจะยกเลิกมาตรการห้ามผู้เดินทางจากพื้นที่จำนวนมากในยุโรปและบราซิลเข้ามาสหรัฐฯ นับจากวันที่ 26 เดือนนี้เป็นต้นไป แต่จะยังคงแบนผู้เดินทางจากจีนและอิหร่านตามเดิม โดยยืนยันว่า การดำเนินการนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องชาวอเมริกันจากโควิด-19 ควบคู่กับการฟื้นฟูการเดินทางอย่างปลอดภัย
ทรัมป์ประกาศมาตรการห้ามเช่นนี้เอาไว้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 มกราคมปีที่แล้ว โดยห้ามผู้เดินทางจากจีนที่ไม่ใช่คนอเมริกันเข้าประเทศเพื่อสกัดไวรัสโคโรนา ก่อนขยายบังคับใช้ครอบคลุมประเทศต่างๆ ในยุโรปเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งอเมริกาประกาศล็อกดาวน์ตัวเองโดยสิ้นเชิงเพื่อป้องกันโรคระบาด
อย่างไรก็ดี หลังการออกคำแถลงของทรัมป์ในวันอังคารไม่กี่นาที เจน ซากี โฆษกหญิงของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ทวิตโดยอ้างอิงทีมที่ปรึกษาด้านการแพทย์ระบุว่า คณะบริหารชุดใหม่ไม่มีแผนยกเลิกมาตรการแบนการเดินทางตั้งแต่วันที่ 26 ที่จะถึงนี้ แต่จะยกระดับมาตรการสาธารณสุขเกี่ยวกับการเดินทางระหว่างประเทศเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 ที่ขณะนี้รุนแรงยิ่งขึ้นทั่วโลก
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้มีขึ้นหลังจากเมื่อไม่กี่วันมานี้ ศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) ประกาศว่า ผู้เดินทางจากทุกประเทศที่ต้องการเดินทางเข้าอเมริกาจะต้องมีผลตรวจโควิดเป็นลบภายใน 3 วันก่อนออกเดินทาง
นโยบายนี้จะมีผลบังคับใช้นับจากวันที่ 26 มกราคม และเพิ่มเติมจากกฎการตรวจผู้เดินทางจากอังกฤษที่บังคับใช้ในเดือนธันวาคมหลังพบไวรัสกลายพันธุ์ที่เชื่อว่า แพร่ระบาดได้เร็วขึ้นในแดนยูเนียนแจ็ก
ทั้งนี้ ไบเดนจะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในช่วงเที่ยงวันพุธ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยระดับสูงสุดโดยใช้ทหารกว่า 20,000 คนจากกองกำลังป้องกันชาติ (เนชั่นแนลการ์ด) เนื่องจากมีข่าวกรองจากสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ว่า กลุ่มติดอาวุธขวาจัดที่สนับสนุนทรัมป์จะก่อกวนพิธีดังกล่าวทั้งในกรุงวอชิงตันและ 50 รัฐทั่วประเทศ
ก่อนหน้านี้ทีมงานไบเดนต้องเผชิญอุปสรรคมากมายในกระบวนการถ่ายโอนอำนาจ ขณะที่ทรัมป์ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน โดยอ้างลอยๆ ว่าถูกโกงเลือกตั้ง ทำให้อเมริกาอบอวลไปด้วยความแตกแยกและความโกรธแค้น
เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่ทรัมป์ไม่ยอมให้ทีมงานของไบเดนเข้าถึงงบประมาณและทรัพยากรสำหรับการถ่ายโอนอำนาจ และจวบจนถึงเวลานี้ก็ไม่เคยแสดงความยินดีกับไบเดน หรือเชิญไบเดนไปจิบน้ำชาในห้องทำงานรูปไข่ตามธรรมเนียม
อดีตพิธีกรเรียลลิตี้โชว์และนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้เก็บตัวเงียบกริบเป็นส่วนใหญ่ นับจากกลุ่มผู้สนับสนุนของตนเองสร้างความอัปยศด้วยการบุกโจมตีรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน อีกทั้งนำไปสู่การโหวตเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของสภาผู้แทนราษฎรให้เริ่มต้นกระบวนการถอดถอนทรัมป์เป็นรอบที่ 2 โดยที่ว่ากระบวนนี้จะยังดำเนินต่อไปแม้ทรัมป์พ้นอำนาจไปแล้ว
นอกจากนั้น ทรัมป์ยังกำลังจะเป็นประธานาธิบดีที่พ้นตำแหน่งคนแรกในรอบ 152 ปีที่ไม่ไปร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนต่อไป โดยเช้าวันพุธเขาจะเดินทางออกจากทำเนียบขาวไปยังกอล์ฟคลับในฟลอริดาของตนเองด้วยเครื่องแอร์ฟอร์ซ วัน ตามสิทธิพิเศษในการเดินทางในฐานะประธานาธิบดีซึ่งจะสิ้นสุดลงเที่ยงวันพุธ
ไม่เพียงหมดวาระพร้อมกับกระบวนการถอดถอนที่รออยู่แล้ว ทรัมป์ยังมีคะแนนนิยมในฐานะประธานาธิบดีแค่ 34% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากผลโพลของแกลลัปเมื่อวันจันทร์ (18) ที่ผ่านมา
ขณะใกล้หมดอำนาจเต็มทีแล้ว เห็นกันว่าเรื่องสำคัญเรื่องสุดท้ายที่ทรัมป์จะไม่ยอมพลาดโอกาสทำให้เสร็จในตอนนี้ ได้แก่การใช้อำนาจประธานาธิบดีให้อภัยโทษแก่พวกผู้กระทำความผิดทางอาญา โดยที่มีรายงานว่าเขากำลังตระเตรียมเรื่องนี้อยู่ ซึ่งโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็นและสื่อสหรัฐฯ อื่นๆ ระบุว่า จะมีจำนวนประมาณ 100 คนทีเดียว
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)