รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - “โจ ไบเดน” แห่งพรรคเดโมแครต สาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา ในวันพุธ (20 ม.ค.) เป็นการเริ่มต้นเข้ากุมบังเหียนประเทศ ซึ่งกำลังโซซัดโซเซจากความแตกแยกอย่างลึกล้ำในทางการเมือง, เศรษฐกิจกำลังบาดเจ็บหนัก และเผชิญโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ซึ่งคร่าชีวิตคนอเมริกาไปมากกว่า 400,000 คนแล้ว
ขณะที่มือของเขาสัมผัสกับคัมภีร์ไบเบิลเล่มเก่าแก่ความหนา 5 นิ้ว ซึ่งเป็นมรดกตกทอดภายในครอบครัวของเขามาเป็นเวลากว่า 100 ปี ไบเดนกล่าวคำสาบานตัวสำหรับการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี ต่อหน้าประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ตส์ ในเวลาหลังเที่ยงเล็กน้อย (ตรงกับเวลาหลังเที่ยงคืนในประเทศไทย) โดยประกาศข้อความว่าจะ “สงวนรักษา, พิทักษ์คุ้มครอง และปกป้องรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ”
“ผ่านการทดสอบอันทรหดของยุคสมัยต่างๆ มาแล้ว อเมริกาก็เพิ่งผ่านการทดสอบครั้งใหม่ และอเมริกาได้ผงาดขึ้นมาต่อสู้กับการท้าทาย” ไบเดน กล่าวในตอนเริ่มต้นคำปราศรัยเข้ารับตำแหน่งของเขา “วันนี้เราเฉลิมฉลองชัยชนะที่ไม่ใช่ของผู้สมัครคนหนึ่ง แต่เป็นของอุดมการณ์หนึ่ง อุดมการณ์แห่งประชาธิปไตย ... ณ ชั่วโมงนี้ เพื่อนรักของผมทั้งหลาย ประชาธิปไตยคือผู้มีชัย”
ไบเดน ที่เวลานี้อายุ 78 ปี กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จากพิธีสาบานตน ซึ่งลดขนาดลงมา โดยส่วนใหญ่เป็นการตัดทอนขั้นตอนอันสร้างบรรยากาศแห่งความโอ่อ่าสง่างามลงไป ด้วยเหตุผลทั้งจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และความกังวลด้านความมั่นคงปลอดภัยภายหลังการบุกเข้าลุยอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ของพวกกองเชียร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้กำลังพ้นจากตำแหน่ง
ทรัมป์ ผู้ชอบวางตัวเป็นคนท้าทายบรรทัดฐานปกติอยู่แล้ว ได้แสดงความหยามหมิ่นธรรมเนียมปฏิบัติของสุภาพชนเป็นหนสุดท้ายอีกอย่างหนึ่ง ขณะที่เขาออกจากทำเนียบขาว เมื่อเขาปฏิเสธไม่ยอมพบปะกับไบเดน หรือเข้าร่วมพิธีสาบานตนของผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา อันเป็นการทำลายประเพณีทางการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งเห็นกันว่าคือ การแสดงออกถึงการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ
ทรัมป์ ผู้ซึ่งยังไม่เคยยอมรับต่อหน้าสาธารณชนเลยว่าตนเองพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ไม่ได้เอ่ยชื่อของไบเดนแต่อย่างใดในการปราศรัยครั้งสุดท้ายในฐานะประธานาธิบดีของเขาเมื่อตอนเช้าวันพุธ (20) โดยมุ่งคุยถึงผลงานของคณะบริหารของเขา พร้อมกับให้สัญญาที่จะหวนกลับมาอีก “ในบางรูปแบบ” เขาขึ้นนั่งบนแอร์ฟอร์ซวัน เครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งสุดท้าย โดยมุ่งหน้าไปยังมาร์-อา-ลาโก รีสอร์ตของเขาในรัฐฟลอริดา
อย่างไรก็ดี สมาชิกชั้นนำของพรรครีพับลิกัน รวมไปถึงรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ และเหล่าผู้นำในรัฐสภาของพรรค ต่างเข้าร่วมในพิธีของไบเดน เคียงข้างอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ 3 คน คือ บารัค โอบามา, จอร์จ ดับเบิลยู. บุช, และ บิล คลินตัน
ผู้ลงสมัครคู่กับไบเดน กมลา แฮร์ริส ซึ่งเป็นบุตรสาวของผู้อพยพที่บิดาเป็นชาวจาเมกา และมารดาเป็นชาวอินเดีย กลายเป็นบุคคลผิวดำคนแรก, ผู้หญิงคนแรก และชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี หลังจากเธอสาบานตัวต่อหน้าผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯ ซอนยา โซโตไมเออร์ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายละตินคนแรกที่ขึ้นนั่งในตำแหน่งนี้
ไบเดนเข้ารับหน้าที่ในจังหวะเวลาที่สหรัฐฯ ตกอยู่ในความกังวลใจอย่างล้ำลึก โดยประเทศกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่พวกที่ปรึกษาของเขาบรรยายว่าเป็นวิกฤตการณ์อันซับซ้อนถึง 4 ด้าน ได้แก่ โรคระบาดใหญ่, การทรุดตัวของเศรษฐกิจ, ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ และความไม่เท่าเทียมทางสีผิวเชื้อชาติ เขาให้สัญญาที่จะลงมือทำงานทันที รวมทั้งจะออกคำสั่งฝ่ายบริหารรวดเดียวหลายๆ ฉบับตั้งแต่วันแรกที่อยู่ในตำแหน่ง
หลังจากการรณรงค์หาเสียงอันขมขื่น และเจอกับการตั้งข้อกล่าวหาอย่างไม่มีมูลของทรัมป์ว่ามีการทุจริตคดโกงการเลือกตั้งแล้ว ไบเดนก็หันมาใช้น้ำเสียงมุ่งรอมชอม ด้วยการขอร้องชาวอเมริกันผู้ไม่ได้โหวตให้เขา ให้โอกาสแก่เขาในการเป็นประธานาธิบดีของพวกเขาด้วย
“การเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ เพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณ และรับประกันอนาคตของอเมริกานั้น เรียกร้องต้องการอะไรมากมายยิ่งกว่าแค่เพียงคำพูด มันเรียกร้องสิ่งซึ่งยากที่จะอธิบายที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในระบอบประชาธิปไตย นั่นคือ ความสามัคคี” เขากล่าว “เราต้องยุติสงครามที่ไร้อารยธรรมนี้เสียที (เป็นสงคราม) ที่ทำให้ แดง (สีของพรรครีพับลิกัน) เป็นปฏิปักษ์กับ ฟ้า (สีของพรรคเดโมแครต), ชนบท ต่อสู้กับเมืองใหญ่, อนุรักษนิยม ต่อสู้กับเสรีนิยม เราสามารถทำสิ่งนี้ได้ ถ้าหากเราเปิดกว้างจิตวิญญาณของเรา แทนที่จะทำให้หัวใจของเราแข็งกระด้างยิ่งขึ้น”
พิธีคราวนี้จัดขึ้นที่บริเวณหน้า “แคปิตอล” หรืออาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ซึ่งม็อบกองเชียร์ทรัมป์ได้บุกเข้าไปถล่มเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ด้วยความโกรธแค้นสืบเนื่องจากการกล่าวอ้างอย่างเป็นเท็จของเขาที่ว่าการเลือกตั้งคราวนี้ถูกไบเดนปล้นไป โดยที่มีคะแนนอันเกิดจากการทุจริตเป็นล้านๆ คะแนน
ความรุนแรงนี้เร่งรัดให้พรรคเดโมแครตซึ่งควบคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เริ่มต้นกระบวนการถอดถอนทรัมป์ในสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกดำเนินการถอดถอนเป็นครั้งที่ 2
ทหารกองกำลังรักษาชาติ (เนชันแนลการ์ด) จำนวนกว่า 20,000 คน ถูกเรียกเข้ามาประจำการในเมืองหลวงสหรัฐฯ ภายหลังความพยายามปิดล้อมดังกล่าว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 5 คน และบังคับให้พวกสมาชิกรัฐสภาต้องหลบหนีซ่อนตัวอยู่เป็นระยะเวลาสั้นๆ ด้วยเหตุนี้เองเมื่อวันพุธ แทนที่จะมีฝูงชนผู้สนับสนุนเต็มแน่นส่งเสียงเชียร์ บริเวณลานเนชันแนลมอลล์อันกว้างขวาง ซึ่งอยู่ติดกับอาคารแคปิตอล จึงถูกปกคลุมด้วยธงธาติเกือบๆ 200,000 ผืน และเสาแสงสว่าง 56 เสา ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนจากรัฐและดินแดนต่างๆ ของสหรัฐฯ
“เรายืนกันอยู่ ณ ที่นี้ เพียงไม่กี่วันหลังจากพวกม็อบก่อการจลาจลคิดว่าพวกเขาสามารถที่จะใช้ความรุนแรงมาสยบเจตนารมณ์ของประชาชนให้เงียบเสียงลงได้ มาหยุดยั้งการทำงานของประชาธิปไตยของเราลงได้ มาผลักไสเราให้ออกไปจากพื้นดินอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้” ไบเดน กล่าวในตอนหนึ่งของคำปราศรัยวันพุธ “มันไม่ได้เกิดขึ้น มันจะไม่มีวันเกิดขึ้น ไม่ว่าวันนี้ ไม่ว่าวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าวันไหนก็ตามที”