ความหวังของพรรคเดโมแครตที่จะถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีแม้จะพ้นจากทำเนียบขาวไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว เพราะท่าทีของวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันดูแล้วไม่เอาด้วยเป็นส่วนมาก
หนทางที่พรรคเดโมแครตจะทำให้โดนัลด์ ทรัมป์สิ้นสภาพ ไม่สามารถกลับมาสมัครช่วงชิงตำแหน่งในอีก 4 ปีข้างหน้าก็คงจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน เว้นแต่จะมีเรื่องอย่างอื่นเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงพอที่จะสกัดกั้นได้
สัญญาณที่บ่งบอกให้เห็นเช่นนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่วุฒิสมาชิก แรนด์ พอล ยื่นญัตติขอให้วุฒิสภาวินิจฉัยว่ามีอำนาจถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ปรากฏว่าญัตติถูกตีตกไปด้วยเสียง 55 ต่อ 45 เสียง
นี่แสดงให้เห็นว่า มีสมาชิกพรรครีพับลิกัน 5 คนเข้าร่วมกับพรรคเดโมแครตด้วย
คะแนนเสียงเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าพรรคเดโมแครตคงยากที่จะได้เสียงจากพรรครีพับลิกันมากถึง 17 เสียง ซึ่งจะเพียงพอสำหรับการถอดถอนเป็นผลสำเร็จ และแสดงให้เห็นว่าถึงอย่างไรคนส่วนใหญ่ของพรรครีพับลิกัน ก็คงจะไม่ยอมทอดทิ้งอดีตผู้นำฉาว
ท่าทียิ่งชัดเจนเมื่อนายมิตช์ แมคคอนเนล ไม่ได้ร่วมลงคะแนนร่วมกับพรรคเดโมแครตในครั้งนั้นด้วย วุฒิสมาชิก 5 นายที่ร่วมลงชื่อก็ล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่เอาโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่แล้วทั้งนั้น
ปัจจุบันทั้งสองพรรคมีคะแนนเสียง 50 เท่ากัน แต่ฝ่ายเดโมแครตมีรองประธานาธิบดีนางกมลา แฮร์ริส เป็นประธานวุฒิสภาจึงมีเสียงข้างมากอยู่ 1 เสียงแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำอะไรได้ ถ้าต้องการคะแนนเสียงมากถึง 2 ใน 3 ในการผ่านญัตติสำคัญ
วุฒิสมาชิก แรนด์ พอล ประกาศหลังจากการลงคะแนนว่าการที่มีวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันลงคะแนนมากถึง 45 เสียงเห็นด้วยกับตัวเอง นั่นเท่ากับเป็นหลักฐานพิสูจน์ในตัวว่าการจะถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์คงเป็นไปไม่ได้และกระบวนการเรื่องนี้ควรสิ้นสุดลง
อย่างน้อยที่สุดการลงมตินั้นเป็นการวางมาตรฐานว่าการถอดถอนประธานาธิบดีแม้จะพ้นจากอำนาจไปแล้วเป็นสิ่งที่ทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำหรับโอกาสเช่นนี้อีกถ้ามีผู้นำทำเนียบขาวได้ทำอะไรซึ่งเป็นพฤติกรรมขัดต่อกฎหมาย
แต่ก็ยังมีประเด็นถกเถียงกันต่อไปว่าการสอบสวนสำหรับการถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ในวุฒิสภาต้องมีต่อไป และเปิดโอกาสให้ทั้งสองพรรคแสดงความเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของประธานาธิบดี และจะได้มีเหตุผลอย่างไรในคำวินิจฉัยตอนลงมติ
มีเสียงอ้างด้วยว่าการลงคะแนนรอบแรกนั้นไม่ได้เป็นข้อผูกมัดให้สมาชิกแต่ละคนจะต้องลงคะแนนเสียงแบบเดิมเพราะเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้นการถกถึงประเด็นต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับเหตุผลที่จะโน้มน้าวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ลงคะแนนไปทางใดทางหนึ่งได้
วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตต้องการที่จะให้มีการอภิปรายในวาระการสอบสวนคดีความ โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างน้อยที่สุดก็จะเป็นการประจานเหตุต่างๆ หรือความฉาวที่ได้ถูกกระทำไว้ และจะเป็นการขึงพืด โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ให้ดูดีในสายตาของประชาชนต่อไป
สิ่งที่วุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตต้องการแสดงให้ประชาชนเห็นก็คือการไต่สวน โดนัลด์ ทรัมป์ ในบทบาทที่ปลุกระดมยุยงให้มวลชนที่สนับสนุนตัวเองบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 รายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง
แต่เหตุร้ายนั้นได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการประชาธิปไตย และกระบวนการยุติธรรม ทั้งเปิดให้เห็นสภาพที่แตกแยกของสังคมอเมริกัน
กระบวนการถอดถอนอาจจะมีการเรียกพยานมาให้ปากคำทั้งสองฝ่าย และยิ่งมีการใช้เวลายาวนานเป็นเดือนก็จะเป็นการประจานพฤติกรรมของ โดนัลด์ ทรัมป์ และผู้สนับสนุน เชื่อมโยงถึงกลุ่มม็อบและนักการเมืองที่เห็นด้วยกับผู้นำช่วงนั้น
เป็นประเด็นที่ควรถูกสาวไปถึงบทบาทของการสมรู้ร่วมคิดและมีส่วนร่วมในการปลุกระดมในการบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาด้วยหรือไม่ เพราะมีหลายคนกระทำเช่นนั้น
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แสดงท่าทีว่าต้องการจะให้มีการไต่สวนในวุฒิสภาตัวเองตระหนักดีว่าอาจจะอยู่ได้เพียงแค่ 1 สมัย ถ้าหากโดนัลด์ ทรัมป์ยังมีฤทธิ์เดชสามารถกลับมาได้ด้วยเสียงสาวกมากกว่า 70 ล้านเสียงก็มีโอกาสชนะได้เช่นกัน
ระยะเวลา 4 ปีไม่นานเกินพอที่จะให้คนอเมริกันส่วนใหญ่ลืมโดนัลด์ ทรัมป์ ดังนั้นพรรคเดโมแครตจะต้องเปิดแผลให้ได้มากที่สุดและประทับตราบาปให้โดนัลด์ ทรัมป์ ผ่านกระบวนการถอดถอน ซึ่งจะต้องมีการนำหลักฐานต่างๆ มาเสนอให้วุฒิสภาลงมติ
แน่นอนการถอดถอนย่อมเหมือนเป็นการตอกลิ่มในรอยร้าวความแตกแยกในสังคมอเมริกัน ความวุ่นวายต่างๆ เกิดจากกลุ่มหัวรุนแรงที่สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์และยังมีพลังเพียงพอที่จะก่อเหตุอีก ตราบใดที่โดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่สิ้นพลังและความนิยม
ส่วนอดีตประธานาธิบดีนั้นช่วงนี้คงเป็นการหลบเลียแผลของความพ่ายแพ้ และความอัปยศอยู่ที่รีสอร์ตส่วนตัวในรัฐฟลอริดา และวางแผนที่จะเดินหน้าทางการเมืองต่อไปซึ่งส่วนหนึ่งก็คือการป่วนรัฐบาลของโจ ไบเดน ผ่านช่องทางต่างๆ ที่อาจทำได้
ยังมีอีกมาตรการหนึ่งที่จะหยุดโดนัลด์ ทรัมป์ ก็คือคดีอาญาต่างๆ ที่อัยการหลายนายทำเรื่องอยู่ ที่จะฟ้องในศาลอาญา เช่น คดีเลี่ยงภาษีและคดีถูกกล่าวหาว่าข่มขืนล่วงละเมิดทางเพศโดย 4 สตรี ซึ่งมีหลักฐานน่าสนใจว่าจะเอาผิดโดนัลด์ ทรัมป์ ได้หรือไม่
ความหนักใจของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็คือมีปัญหาทางธุรกิจเพราะการระบาดของโควิด-19 ต้องรีบหาเงินมาใช้คืนเจ้าหนี้รายใหญ่ต่างๆ ซึ่งมีมากถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งมาจากธนาคารเยอรมนีที่เป็นเจ้าหนี้มากกว่า 300 ล้านดอลลาร์
น่าหวาดเสียวแทนอดีตผู้นำจอมห้าวของชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกไม่น้อย