ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ไม่มีความเห็น เพราะประเทศไทยไม่ใช่สาธารณรัฐ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าไว้หลังการประชุมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.63
เมื่อถูกถามถึงความเคลื่อนไหวจากแฟนเพจเฟซบุ๊ก “เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH” ซึ่งเป็นเพจหลักที่คอยสั่งการม็อบเคลื่อนไหวชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ และเป็นแนวร่วมสำคัญของ “ม็อบเป็ดน้อย” กลุ่มราษฎร ที่มีการเปิดแคมเปญต่อสู้ครั้งใหม่ ภายใต้ชื่อ “RT MOVEMENT”
หลักใหญ่ใจความยังไม่ชัดเจน แค่ระบุว่า ไม่มีแกนนำ ไม่ตั้งเวที ไม่มีการ์ด ไม่มีรถห้องน้ำ ไม่มีการเจรจา ไม่มีการต่อรอง
พร้อมแนบคำสวยหรูตัวโตๆว่า “คนเท่ากัน” หวังผลขยายแนวร่วมทางชนชั้นของเหล่าแรงงานผู้ถูกกดขี่ นักเรียน พนักงานออฟฟิศ นอกเครื่องแบบ ชาวนา ข้าราชการ ถูกตีขลุมเหมารวมในสโลแกน “เราทุกคนล้วนเป็นแรงงานผู้ถูกกดขี่”
ที่ถูกกล่าวขานมาที่สุด เห็นจะเป็นสัญลักษณ์ตัวอักษร RT ที่อ้างว่า ย่อมาจาก RESTART THAILAND แต่ดันออกแบบ ตัว R และ T คล้ายกับ “ค้อนเคียว” ธงชาติสหภาพโซเวียต และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของลัทธิคอมมิวนิสต์
หนำซ้ำ ยังมีการให้คำนำหน้าแนวร่วมคนอื่นๆว่า “สหาย” ที่ว่ากันว่าเป็นคำนำหน้าชื่อในกลุ่มคนที่นิยมระบอบคอมมิวนิสต์
พลิกตำราประวัติศาสตร์ดู ก็จะยิ่งขนพองสยองเกล้า เมื่อพบว่า คำว่า “สหาย” มาจากภาษาฝรั่งเศส "camarade" แปลว่า พวกพ้อง ผู้ร่วมงาน หรือแนวร่วม ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของฝรั่งเศสจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก่อนจะมีการนำไปใช้ในเยอรมัน และรัสเซีย จนกระทั่งระบอบคอมมิวนิสต์แพร่กระจายจากรัสเซียออกไปทั่วโลก
ว่ากันไปอีกว่า ปัจจุบันคำว่า “สหาย” กลายเป็น “คำต้องห้าม” ในประเทศรัสเซียไปแล้วด้วยซ้ำ
เอาเข้าจริงแคมเปญล่าสุดของ “แก๊งปลดแอก” มีการปูพรมมาก่อนหน้าหลายวัน เมื่อมีการโพสต์ในเพจ "เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH" ถึงแนวคิดการปกครองแบบ “สาธารณรัฐ” โดยระบุว่า “รัฐที่มหาชนเป็นใหญ่” สาธารณรัฐ (Republic) เป็นรูปแบบการปกครองที่แพร่หลายทั่วโลก เน้นการกระจายอำนาจการปกครอง ผู้ปกครองต้องมาจากการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม มิใช่ตกทอดทางสายเลือด ไม่มีเลือดสีน้ำเงิน ไม่มีเลือดสีอื่นใด มีเพียง “สีแดง”
แล้วยังมีการอ้าง “วรรคทอง” ในบทความนามว่า “สามัญสำนึก” (Common Sense) ของ โธมัส เพน (Thomas Paine) นักปฏิวัติสากลชาวอังกฤษ ผู้หมกมุ่นวนเวียนอยู่กับการตั้งคำถามถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ยุค ค.ศ.1736-1809 ที่ว่า “มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีมนุษย์คนไหนพึงมีสิทธิแต่กำเนิดในอันที่จะยกยอตระกูลของตนให้มีอภิสิทธิ์ถาวรเหนือคนทั้งปวงตลอดไป” และ “เพื่อประโยชน์สุข แก่มหาชนชาวสาธารณรัฐ ในสาธารณรัฐ เสียงของประชาชนจะดังก้องฟ้า แต่สาธารณรัฐจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากประชาชนผู้ลุกขึ้นปลดเปลื้องพันธนาการทั้งปวง”
พร้อมทั้งติกแฮชแทก “#สาธารณรัฐ” อีกต่างหาก
สอดคล้องกับ เพจ “กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group - DRG” มี “ปอ” กรกช แสงเย็นพันธ์ และ “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว แกนนำในปัจจุบัน ที่ร่วมกันก่อตั้งกลุ่ม DRG กับ “เสี่ยโรม” รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในอดีต ได้โพสต์ภาพและข้อความว่า เวลานี้รัฐไทย RE อะไรดี? โปรดติดตาม เร็วๆนี้
RE ที่กลุ่ม DRG เกริ่นไว้ก็หนีไม่พ้น “Republic” หรือ “สาธารณรัฐ” ที่เฉลยอยู่ที่เพจบ้างบ้านนั่นเอง
เอาว่า เปิดหน้า-เปลือยใจ กันล่อนจ้อน ให้เห็นว่า อยากจะเป็น “คอมมิวนิสต์” กันแล้ว “สัญญะ” มากันครบ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประเด็นสาธารณรัฐ การใช้สัญลักษณ์ค้อนเคียว ข้อเขียนของ “โทมัส เพน” ผู้มีอิทธิพลต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่มีการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17
เป็นไปตามที่ “สหายแผ้ว” จรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ตอนนี้ลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส อดีตเคยเป็นแกนนำนักศึกษา และหลบหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมอวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ฟันธงไว้อย่าง “รู้เช่นเห็นชาติ” ว่า “พรรคหรือชาวคอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่จะเป็นนักสาธารณรัฐ ตามอุดมการณ์สังคมนิยม และความคิดเกี่ยวกับรัฐ ซึ่งจะต้องเป็นของมหาประขาชน ไม่เอาระบอบกษัตริย์”
สรุปไม่ยากว่า การเพรียกหา “สาธารณรัฐ” หาใช่ “ปฏิรูป” ไม่ แต่เป็นการ “ล้มล้าง” สถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเอง
ฝ่ายตรงข้ามที่ยังเทิดทูนสถาบันอันเป็นที่รักรับไม่ได้ไม่เท่าไร พวกเดียวกันก็ยังส่ายหน้า ออกมาฮึ่มๆกับ “เผด็จกาารทหาร” อยู่ดีๆ ดันไปกวักมือเพรียกหา “เผด็จการคอมมิวนิสต์” ซะอย่างนั้น
ที่เคยเถียงสีข้างถลอก “ปฏิรูป ไม่ใช่ล้มล้าง” คงติดคอ “ม็อบราษฎร” คำใหญ่
อีกทั้งการที่ 2 เพจแนวร่วมสำคัญของ “ม็อบเป็ดน้อย” ขยับในทิศทางเดียวกัน ย่อมสะท้อนว่า การเคลื่อนไหวในแต่ละก้าวของม็อบนั้น มี “ผู้บงการ” อยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่ต่างคนต่างทำอย่างที่อ้าง
งานนี้กระแสตีกลับถล่มทลาย ขนาด “มวลชน 3 นิ้ว” ที่มาร่วมม็อบยังรับไม่ได้ ออกโรงเตือนสติบรรดาแกนนำที่เอา “ค้อนเคียว” สัญลักษณ์ “ซ้ายตกขอบ” มาเป็นยุทธการใหม่ ย้อนแย้งกันสุดขั้ว ขนาดลูกพี่ใหญ่ “อานนท์ นำภา” หัวโจกราษฎร ซีกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ยังสะดุ้งโหยง หลังเห็น “สหายปลดแอก” เล่นมุกนี้
เลยตบกะโหลกแบบอ้อมๆ เห็นว่า 3 นิ้วคือ สัญลักษณ์ที่เหมาะสมแล้วกับกลุ่มคณะราษฎร
เพราะไม่ว่าจะหาคำอธิบายแบบตรงไปตรงมาหรือเลี้ยวลดคดเคี้ยวแบบ “ศรีธนญชัย” ก็ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
ต้องไม่ลืมว่า จุดเริ่มต้นของ “ม็อบสามนิ้ว” ห่อนมาเป็น “ม็อบเป็ดเหลือง” คือ การออกมาขับไล่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในข้อหาว่า เป็นเผด็จการ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตลอดจนเสนอให้ปฏิรูปสถาบัน เพื่อให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
แต่ดันทะลึ่งมาเปิดเผยตัวว่า ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์
“ประชาธิปไตย” กับ “คอมมิวนิสต์” คือ ระบบการปกครองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยลัทธิคอมมิวนิสต์ คือ ระเบียบทางสังคมบนพื้นฐานของความเป็นเจ้าของร่วมกันซึ่งปัจจัยการผลิต และปราศจากชนชั้นทางสังคม เงินตรา และรัฐ ระหว่าง “ชนชั้นแรงงาน” กับ “ชนชั้นนายทุน”
ส่วนระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นระบอบการปกครองแบบหนึ่งซึ่งการบริหารอำนาจรัฐมาจาก “เสียงข้างมาก” ของพลเมืองผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนด้วยตนเองหรือผ่านผู้แทนที่เลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้
ประชาธิปไตยยังเป็นอุดมคติที่ว่าพลเมืองทุกคนในชาติร่วมกันพิจารณากฎหมายและการปฏิบัติของรัฐ และกำหนดให้พลเมืองทุกคนมีโอกาสแสดงความยินยอมและเจตนาของตนเท่าเทียมกัน
การที่ม็อบคณะราษฎรแหกปาก อยากจะได้ประชาธิปไตยเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน จนละเมอออกมาเป็นประชาธิปไตย แต่อยู่ๆ กลับอยากจะเป็นคอมมิวนิสต์ จึงไม่ต่างอะไรกับการจุดไฟเผาตัวเอง ทำลายแนวร่วมที่เหลืออยู่หรอมแหรมให้ “โบ๋เบ๋” ไปกันใหญ่
เข้าใจได้ว่าการออกแคมเปญ “คนเท่ากัน” พร้อมขายความเป็น “สาธารณรัฐ” ก็เพื่อต้องการดึง “กลุ่มผู้ใช้แรงงาน” เข้ามาเป็นแนวร่วมในการต่อสู้ หลังจากที่แนวร่วมเริ่มถดถอย หมดมุกปั่นกระแส ทางตรงข้าม กลุ่มคนที่ถูกค่อนขอดว่าเป็น “สลิ่ม” ที่จงรักและพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นและดึง “พลังเงียบ” ออกมาเป็นแนวร่วมได้ชัดเจนกว่า
กระแสด่ากันขรมเมืองขณะนี้ คงกระตุกให้ “มาสเตอร์มายด์” ผู้อยู่เบื้องหลัง ต้องทบทวน และตรองให้หนักว่า จะเดินหน้า “ตกขอบ-ทะลุเพดาน” กันต่อ หรือพอแค่นี้
การประกาศปักความรับผิดชอบว่า “ไม่มีแกนนำ” คงไม่ทำให้รอดพ้นอาญาแผ่นดินอย่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา “มาตรา 113” ที่คาดโทษผู้กระทำผิดล้มล้างการปกครอง ถือเป็น “กบฏ” ต้องระวางโทษ “ประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”
เป็นโทษที่หนักหนาสาหัสกว่า “มาตรา 112” อันเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ “17 แกนนำ” โดนหมายเรียกกันไปถ้วนหน้า ด้วยมาตรา 112 นั้น ระวางโทษจำคุก 3-15 ปี เท่านั้น
ไม่ใช่แค่โทษคุกขังลือ หรือประหารชีวิต แม้ตดีไม่ถึงที่สุดก็มีมาตรการทางสังคมให้ “ไม่มีที่ยืน” แล้ว ตัวอย่างมีให้เห็น รายของ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่สนับสนุน “ม็อบราษฎร” ในทุกมิติ และวันนี้ง่วนอยู่กับการหาเสียงสนามเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก็ถูกตามโห่ฮาตั้งคำถามเกี่ยวกับจุดยืนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์บ่อยครั้ง โดยที่เจ้าตัว “สงวนสิทธิ์” มิกล้าเอื้อเอ่ยตอบคำถามซักครั้งเดียว
ม็อบเลยเถิด เหิมเกริม ริอาจจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แต่ดูเหมือนหลายๆ คนจะชอบอกชอบใจที่ม็อบชักจะเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่ เพราะการกระทำดังกล่าว “เบิกเนตร” ผู้คนให้หูตาสว่างขึ้น เลิกหน้ามืดตามัวไปเดินตามหลัง “แกนนำฟันน้ำนม” โดยแท้
เป็นการเฉลยว่า เด็กๆ เหล่านี้ ตลอดจน “ไอ้โม่ง” ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ได้ใคร่ดี อยากจะเสพระบอบประชาธิปไตยในอุดมคติ หรืออยากจะปฏิรูปอะไรตามลมปาก
หากแต่เป็น “พวกล้มเจ้า” อย่างที่บรรดาสลิ่มเขากล่าวหานั่นถูกต้องแล้ว
หลังจากนี้นับถอยหลังวันเหลือแต่ตำนานม็อบคณะราษฎร 2563 ได้เลย ไม่ใช่เพราะแกนนำฟันน้ำนม-ซ้ายตกขอบ ต้องคดีความยาวเป็นหางว่าว แต่เพราtมวลชนจะค่อยๆ ถอยห่าง จนม็อบไม่สามารถไปต่อได้ต่างหาก และหากมองดูการชุมนุมในระยะหลังๆ ประชากรม็อบแทบจะนับนิ้วได้อยู่แล้ว
ไม่ต้องดูอะไรไกล ให้ดูอาการแกนนำคณะราษฎรคือ ลางบอกเหตุชั้นดีว่าเวลาของม็อบเด็กเหลือไม่มากแล้ว ขนาดวันก่อน “เพนกวิ้น” พริษฐ์ ชีวารักษ์ - “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล - “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก - “ไบร์ท” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง ต้องเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังต้องขอแรงมวลชนไปให้กำลังใจถึงหน้า สภ.เมืองนนทบุรี โดยอ้างว่า เจ้าหน้าที่จะถือโอกาสฝากขัง
แกนนำหลายคนอยู่ในอาการหลอน เพราะรู้ว่าก่อไฟไม่ติด พยายามปั้นข่าว ปล่อยข่าวว่า เจ้าหน้าที่จะสั่งเก็บแกนนำบ้าง จะทำรัฐประหารบ้าง ทั้งที่ไม่ได้มีมูล หรือความจำเป็นอะไรให้กองทัพต้องออกแรงขนาดนั้น
ทุกวันนี้ “ฝ่ายความมั่นคง” ใช้ยุทธวิธีนั่งบนภู ดูม็อบฝ่อกันไปเอง แทบไม่ต้องเปลืองแรงอะไร เต็มที่ก็อาจถูก “แกง” หรือแกล้งแจ้งเปลี่ยนจุดชุมนุม ก็ยักไหล่ยินดี ก้มหน้าทำตามหน้าที่อารักขาสถานที่สำคัญ ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ขวางม็อบแบบหลวมๆ เอาตู้คอนเทนเนอร์ไปปิดถนน พร้อมกับรถฉีดน้ำแรงดันสูงไม่กี่คัน แก๊สน้ำตาไม่กี่ลูก นอกนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย เย้วๆ มาแล้วก็กลับ
ขนาดทุกวันนี้เจ้าหน้าที่แทบไม่ได้ทำอะไร แต่ม็อบกลับ “เน่าใน” เละเทะกันเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการ์ดวีโว่ กับการ์ดอาชีวะ ที่ฟาดปากกันเอง จนงอนตุ๊บป่อง หรือการแบ่งชนชั้นในม็อบ ให้การ์ดเสื้อแดงเป็นพวกไดโนเสาร์ ไร้สติปัญหา ชอบแต่ใช้กำลัง
เรื่อยไปถึงแนวทางการต่อสู้ โดยเฉพาะการที่กลุ่มเยาวชนปลดแอกใช้ “ค้อนเคียว” เป็นสัญลักษณ์ ตอกลิ่มให้เห็นว่า แกนนำสายกลุ่มเยาวชนปลอดแอก ที่นำโดย “ฟอร์ด” ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี กับแกนนำสายแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่นำโดย “เพนกวิ้น-พริษฐ์” แตกกันยับ ชนิดว่าความละเอียดสูงกว่าเม็ดทราย
อันน่าจะเป็นเหตุผลที่ ระยะหลัง “ม็อบเบิ้มๆ” หายหน้าหายตาไป ไม่มีการจัดถี่ยิบเหมือนเมื่อครั้งยังพีคๆ
คนบนตึกไทยคู่ฟ้า อย่าง “บิ๊กตู่” คงจะชอบใจ เพราะแค่นั่งทำงานเฉยๆ อยู่ม็อบๆ ก็พังเป็นจุลต่อหน้าต่อตาย
ยิ่งปล่อยมุกเปลี่ยนระบอบแบบ “ซ้ายตกขอบ” เปลือยใจตัวเองล่อนจ้อนว่าจ้อง “ล้มล้าง” หาใช่ “ปฏิรูป” อย่างปากว่า ก็ยิ่งทำร้ายตัวเอง เก็บแต้มคดีเด็ดขาดโทษประหารชีวิตเพิ่มเติมกันไปอีก
เหลือก็แต่หาประจักษ์พยานหลักฐานลากคอ “มาสเตอร์มายด์” คนแอบอยู่หลังเด็กให้ได้ก็เป็นอันปิดเกม
แล้วว่างๆ ก็อยากจะให้ “ชาวคณะม็อบเป็ด” ช่วย “เบิกเนตร” นำเรื่อง “น้องทอน” ที่พัวพันกับสินบน 20 ล้านมาแฉเป็นขดๆ บนเวทีด้วยนะ เพราะไม่เช่นนั้น ผู้คนเขาจะหาว่า 2 มาตรฐานนะจะบอกให้.