หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ดูเหมือนม็อบกำลังจะหมดมุกหรือไม่ก็กำลังไปไม่เป็นจนกระทั่งถึงตอนนี้ยังจับใจความไม่ได้ว่า ที่ออกมาต่อสู้นี้เรียกร้องระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบคอมมิวนิสต์กันแน่
ความจริงแล้วข้อสงสัยมาตั้งแต่เรียกตัวเองว่า เยาวชนปลดแอกหรือประชาชนปลดแอกนั่นแหละ เพราะว่า “ปลดแอก” มาจากภาษาคอมมิวนิสต์เก่า เป็นคำของฝ่ายซ้ายในอดีตที่เข้าป่าจับปืนเพื่อโค่นล้มอำนาจรัฐหวังจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ เปรียบตัวเองเป็นวัวควายที่ต้องแบกแอกเพื่อใช้แรงงานแทนมนุษย์
ในขณะที่ปัจจุบันคอมมิวนิสต์ต้นตำรับนั้นแปรสภาพไปหมดแล้ว แม้จีนยังเป็นคอมมิวนิสต์โดยนามคือปกครองแบบพรรคเดียวแต่ในสภาพความเป็นจริงก็เปลี่ยนตัวเองจากสังคมนิยมไปเป็นสังคมทุนนิยมตามทฤษฎีเสรีนิยมใหม่ หรือ neoliberalism ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามของสังคมนิยม ไม่มีใครสนใจมาร์กซิสต์อีกแล้ว
แต่ที่ผมประหลาดมากคือ เพจของเยาวชนปลดแอก ซึ่งเป็นเพจของคณะราษฎร2563ที่ใช้ในการนัดหมายทำกิจกรรมต่างๆได้โพสต์ข้อความว่า พระราชวัง เกิดจากน้ำมือของแรงงาน ภาษีทุกบาท มาจากความทุกข์ยากของแรงงาน แต่แรงงานกลับต้องกระเสือกกระสนภายใต้รัฐล้มเหลวแห่งนี้ ไม่แม้แต่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถูกมองเป็นเพียงฝุ่นใต้ตีน ไม่เห็นคุณค่าความเป็นคนเท่าๆ กัน
“แรงงานสร้างชาติ มิใช่มหาราชองค์ใด”
พวกเขาปลุกชนชั้นแรงงาน จนผมเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่านี่ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร หรือผิน บัวอ่อน กลับชาติมาเกิด หรือเรากำลังย้อนกลับไป พ.ศ.2500หรืออย่างไร หรือพูดให้ขำขึ้นพวกเขากำลังถอยร่นจาก 2475 ที่เป็นฮีโร่ของพวกเขามาอยู่ใต้ร่มเงาของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแล้วเช่นนั้นหรือ
พวกเขาโพสต์ข้อความที่ว่ามาพร้อมๆ กับโพสต์ภาพที่เป็นสัญลักษณ์ค้อนกับเคียว พูดง่ายๆว่าพวกเขากำลังปลุกแรงงานชนชั้นกรรมาชีพให้ลุกขึ้นสู้ไม่ต่างกับวิธีการของฝ่ายซ้ายมาร์กซิสต์ในอดีต
นี่กำลังตอกย้ำว่าแท้จริงแล้วเยาวชนปลดแอกหรือคณะราษฎร2563นั้นไม่ใช่พวกนิยมประชาธิปไตยเพราะในเวลาใกล้กันพวกเขาแชร์เพจของกลุ่มมาร์กซิสต์ศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งยกเอา ชองตาล มูฟ นักทฤษฎีการเมืองสังคมนิยมชาวเบลเยี่ยม เพื่อชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีศัตรูร่วมกัน ที่ “สืบรากเหง้า” มาจาก “ระบบเศรษฐกิจการเมือง” ที่เสมือนรากแก้วของต้นไม้ใหญ่ ที่แตกกอเป็นรากฝอยย่อย ๆ ซึ่งการตามแก้รากฝอยทีละจุด ไม่อาจทำให้ “ปัญหาหลัก” อันเป็นจุดร่วมและจุดเริ่มของปัญหาหายไปได้
พวกเขายกเอาคำของมูฟ ที่เสนอว่าในปัจจุบันระบบที่กำลังกดขี่พวกเราทั้งโลกอยู่คือลัทธิทางเศรษฐกิจการเมืองที่เรียกว่า “เสรีนิยมใหม่” (Neoliberalism) ซึ่งเรียกได้ว่าอยู่ตรงข้ามกับแนวคิดสังคมนิยม กล่าวคือ เป็นลัทธิที่ต่อต้านรัฐสวัสดิการ ต่อต้านนโยบายทางการเมืองที่เป็นไปเพื่อความยุติธรรมและความเท่าเทียมของสังคม ไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไม่ให้คุณค่ากับสิทธิ เสรีภาพ หรือสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกำไรแก่นายทุนและผู้มีอำนาจ
ทำให้เห็นได้ว่าแนวทางคอมมิวนิสต์ของเยาวชนปลดแอกหรือคณะราษฎร2563นั้นย้อนไปไกลกว่าแนวทางคอมมิวนิสต์ของจีนปัจจุบันย้อนไปไกลมากจนกลับไปสู่ยุคของเหมาก็ว่าได้
พูดง่ายๆ ว่า ใครที่เชียร์เด็กเหล่านี้อยู่ต้องพร้อมที่จะกลับไปทำ “นารวม” เพราะรัฐบาลจะยึดที่ดินทำกินของเอกชนมาเป็นของรัฐบาล ชาวนาเปลี่ยนฐานะเป็นแรงงานของรัฐ นารวมขนาดใหญ่มีเจ้าของคือรัฐ สำหรับในเมืองก็มีการแบ่งเป็นหน่วยงาน กรรมสิทธิ์ส่วนตัวถูกยกเลิก ประชาชนเป็นเจ้าของร่วมกันในคอมมูน จากงานในท้องทุ่งมาสู่การผลิตและอาหาร แม้แต่การทำอาหารส่วนตัวยังถูกห้าม อุปกรณ์ทำอาหารทั้งหมดถูกใช้เฉพาะในห้องครัวของชุมชน
ในขณะที่ปัจจุบัน สีจิ้นผิง พาจีนเคลื่อนห่างออกจากสังคมนิยม เขาประกาศว่าจะเร่งการปฏิรูประบบตลาดเพื่อทำให้อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราเสรีขึ้น และสร้างบรรยากาศประกอบธุรกิจที่เป็นแบบตลาดและสากล เพียงแต่สีพูดแบบเหนียมอายว่า เป็นระบอบสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์จีน
นอกจากนั้นใครที่ติดตามเพจของเยาวชนปลดแอกที่เป็นเพจนำในการสั่งการของคณะราษฎร2563จะเห็นว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเขาได้โพสต์ข้อความเพื่อเรียกร้องระบอบสาธารณรัฐว่า
“รัฐที่มหาชนเป็นใหญ่”
สาธารณรัฐ(Republic) เป็นรูปแบบการปกครองที่แพร่หลายทั่วโลก เน้นการกระจายอำนาจการปกครอง ผู้ปกครองต้องมาจากการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม มิใช่ตกทอดทางสายเลือด ไม่มีเลือดสีน้ำเงิน ไม่มีเลือดสีอื่นใด มีเพียง “สีแดง”
“มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีมนุษย์คนไหนพึงมีสิทธิแต่กำเนิดในอันที่จะยกยอตระกูลของตนให้มีอภิสิทธิ์ถาวรเหนือคนทั้งปวงตลอดไป”-Thomus Paine
เพื่อประโยชน์สุข แก่มหาชนชาวสาธารณรัฐ ในสาธารณรัฐ เสียงของประชาชนจะดังก้องฟ้า แต่สาธารณรัฐจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากประชาชนผู้ลุกขึ้นปลดเปลื้องพันธนาการทั้งปวง
แน่นอนว่า การเชิญชวนแนวร่วมให้ลุกขึ้นสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สาธารณรัฐนั้น เป็นการประกาศตัวเป็นกบฏต่ออำนาจรัฐปัจจุบันซึ่งมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขอย่างเต็มรูปแบบ
และรัฐไทยมีความชอบธรรมที่จะจัดการกับกบฏโดยไม่ต้องใส่ใจเสียงของวุฒิสมาชิกของสหรัฐหรือผู้แทนพิเศษของยูเอ็นที่เข้าก้าวข่ายกิจการของประเทศเราแต่อย่างใด
ไม่เพียงแต่การมุ่งหวังของคณะราษฎรที่จะเป็นสาธารณรัฐเท่านั้น จากที่กล่าวมาเรายังพบว่าพวกเขามุ่งไปไกลกว่าสาธารณรัฐในระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข แต่พวกเขาได้เผยให้เห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงว่า จะพาประเทศไทยไปสู่สาธารณรัฐในระบอบคอมมิวนิสต์จากการถ่ายทอดความคิดออกมาผ่านเพจซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.5 ล้านคน
มีคำถามว่าใครในประเทศนี้อยากจะย้อนยุคกลับไปเป็นคอมมิวนิสต์กับคณะราษฎร 2563 บ้าง
ถ้าจะว่าไปแล้วการการสะท้อนความคิดนี้ออกมานั้น น่าจะมาจากม็อบเริ่มตีบตัน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการดันเพดานให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีทางลง เพราะรู้แล้วว่า ตอนนี้การชุมนุมที่มีเป้าหมายเพื่อล้มล้างระบอบกษัตริย์นั้นไม่มีทางสำเร็จ มีแต่ความสูญเสียตามมาคดีความพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เพราะในความเป็นจริงไม่มีการล้มล้างอำนาจรัฐไหนที่จะสำเร็จถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนส่วนใหญ่และกองทัพ
และนับวันมวลชนที่เข้ามาร่วมจะยิ่งลดน้อยลงเพราะคนส่วนใหญ่มองเห็นแล้วว่า ม็อบไปไกลกว่าการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แต่มีเจตนาล้มล้างอย่างชัดเจนนั่นเอง
ที่สำคัญคือ การหลงตัวเองของบรรดาแกนนำไม่ว่า อานนท์ เพนกวิน รุ้ง มายด์ ฯลฯ หรือใครต่อใครที่ต่อสู้แบบขาดสติยั้งคิด คิดว่าตัวเองเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ คิดว่ามวลชนที่เดินตามเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ หลงว่าตัวเองเป็นคนสำคัญที่จะพูดจาก้าวร้าวหยาบคายอย่างไรก็ได้ คิดว่าชัยชนะของตัวเองอยู่แค่เอื้อม เพราะหลงเชื่อผู้ใหญ่ที่ปลุกปั่นอยู่ข้างหลังให้ใช้ความเป็นเด็กที่ไร้วุฒิภาวะบุกทะลวงไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวตาย
ยิ่งเพนกวินแล้ววันนี้แสดงตัวราวกับว่า เป็นคนยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ที่ทุกคนจะต้องเกรงกลัว ทั้งที่เป็นแค่ตัวละครที่ผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังดันหน้าออกมาให้ตายแทนเท่านั้นเอง
และแม้เราจะไม่รับรู้ในทางเปิดว่า ผู้ใหญ่ที่หนุนหลังม็อบให้คนหนุ่มสาวออกมาเสียชีวิตเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางแทนตนเองเป็นใคร แต่เราก็รับรับรู้กันว่า ม็อบนั้นเชื่อโยงกับพรรคฝ่ายค้านอย่างก้าวไกลหรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ และเชื่อมโยงกับคณะก้าวหน้าของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นั่นเอง ทั้งนี้เพราะเราเห็นบทบาทของม็อบและพรรคของพวกเขาแสดงบทบาทส่งรับลูกกันทั้งในสภาและนอกสภาอย่างเปิดเผยนั่นเอง
โดยมีกลุ่มแคร์ของมิ้ง เลี๊ยบ อ้วนซ่อนตัวชักใยอยู่ในมุมมืด
มีคำถามว่า เมื่อม็อบกำลังจะไม่มีทางไป และเด็กๆพยายามเล่นใหญ่เพื่อไต่ให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆเพราะไม่มีทางลง พร้อมกับคดีความจำนวนมากที่ตามติดมา พวกผู้ใหญ่ที่ดันอยู่ข้างหลังจะแสดงตัวออกมาหรือจะยิ่งหลบลี้หนีหน้าไปปล่อยให้เด็กๆ เผชิญชะตากรรมตามลำพัง
เพราะเห็นแล้วว่า พวกเขาวางกลยุทธ์ที่ผิดพลาดเมื่อยิ่งทะลวงเพดานสูงขึ้นไปเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพ รัฐบาล และประชาชนอีกฟากฝั่งเป็นเอกภาพกันมากขึ้น วันนี้พวกเขาเองก็น่าจะเริ่มรู้แล้วว่า ไม่มีกลไกพอที่จะล้มรัฐบาลได้
ขณะเดียวกันพวกม็อบเองก็มีความแตกแยกภายในมากขึ้น ระหว่างแกนนำด้วยกัน ระหว่างคำสั่งที่สั่งมาจากผู้ใหญ่ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง กลุ่มทุนที่เกื้อหนุน ระหว่างกลุ่มการ์ดที่มีที่มาต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มการ์ดนั้นถ้าใครผ่านการทำม็อบมาจะเห็นว่าเป็นส่วนที่ควบคุมยากที่สุด เพราะอยู่ไปสักพักกลุ่มการ์ดก็จะหลงตัวว่าเป็นผู้มีอำนาจรัฐไม่ต่างกับตำรวจที่จะตรวจค้นสั่งการอะไรเหมือนเป็นผู้ควบคุมกติกาของสังคม
ที่สำคัญหากติดตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาผ่านการชุมนุม การปราศรัย การสื่อสารผ่านสื่อนั้น เกิดคำถามว่า พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเรียกร้องหรือไม่ เพราะเราเห็นแล้วว่า รุ้งไม่ได้เข้าใจเรื่องสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์แม้แต่เพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับคำโตจากข้อเรียกร้อง 10 ข้อต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของเธอ
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ยิ่งแล้วไปใหญ่ เมื่อพวกเขาเริ่มเรียกร้องจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ จนกระทั่งปลุกแนวคิดมาร์กซิสต์ขึ้นมาเป็นธงนำในการต่อสู้
อาจจะกล่าวได้ว่า นอกจากพวกคณะราษฎรจะมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยมาปกครองเป็นสาธารณรัฐแล้ว เขาเปลี่ยนไปไกลกว่านั้นคือ จะพาประเทศไปสู่สาธารณรัฐสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะพวกเขาจะทำไปเพราะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม
วันนี้คนไทยพร้อมไหมที่คนรุ่นใหม่จะพาเราย้อนกลับไปใช้ชีวิตแบบคนจีนหลังปี 1949 เพื่อช่วยกันทำ “นารวม” แล้วยกที่ดินทำกินให้เป็นของรัฐบาล
ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan