“แกนนำม็อบสามนิ้ว” จี้เลิก ม.112 วงเสวนาหนุน "ค้อนเคียว" อ้างรัฐสวัสดิการ-สังคมนิยม "ปวิน"โผล่ปาฐกถาจากแดนไกลยุเด็กสู้ต่อ “ปิยบุตร” ย้ำ กม.ล้าสมัย “กวิ้น” เหิมเกริมให้ “สถาบันฯ” เลือก “ปฏิรูป-ปฏิวัติ”
วานนี้ (10 ธ.ค.) เวลา 09.40 น. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แกนนำกลุ่มราษฎร นำโดย นายพริษฐ์ หรือเพนกวิ้น ชิวารักษ์ และ น.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล พร้อมตัวแทนที่ได้รับผลกระทบถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้ร่วมแถลงข่าว ก่อนเริ่มกิจกรรม "ยกเลิก 112 สิ แล้วเราจะเล่าให้ฟัง" โดย นายพริษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ที่ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 ถึง 25 คน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผู้มีอำนาจระบุว่า จะไม่ใช่กฎหมายมาตราดังกล่าวดำเนินคดีกับประชาชน แต่เวลานี้กลับนำมาใช้ แสดงให้เห็นถึงความป่าเถื่อน ล้าหลัง โหดร้าย และสร้างความขัดแย้งทางการเมืองโดยไม่สิ้นสุด และยังถ่วงกระบวนการประชาธิปไตยเรื่อยมา
“ถ้ายังใช้มาตราดังกล่าวอยู่ สถาบันฯ (พระมหากษัตริย์) ก็จะถูกครหาว่าใช้กฎหมายเพื่อปิดปากประชาชน และในปัจจุบันสามารถแสดงความเห็นที่แตกต่างและอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ใช้มาตรานี้ ซึ่งเป็นเครื่องมือฟาดฟันผู้เห็นต่าง และกลั่นแกล้งทางการเมือง และปัจจุบันคนที่เห็นต่างไม่กลัวมาตรา 112 แล้ว ดังนั้นกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับมติมหาชน ก็จะต้องถูกยกเลิกไปเอง” นายพริษฐ์ กล่าว
ผุดเวบ no 112.com
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การปล่อยให้ใครก็ได้ไปแจ้งความคนนั้นคนนี้ในสถานที่ต่างๆถือเป็นช่องโหว่ที่จะยิ่งสร้างความวุ่นวาย และทราบว่าคนที่ไปแจ้งความไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นเครือข่ายของระบบศักดินาที่จัดตั้งไว้แล้ว และเคยมีตัวอย่างที่ใช้มาตราดังกล่าวกลั่นแกล้งคนให้ติดคุก จึงเรียกร้องให้เลิกวิธีให้คนไปแจ้งความที่นั่น ที่นี่ ถ้ายังมีการไปแจ้งความ มาตรา 112 ที่ไหนอีก เราก็จะมีเวทีปราศรัยในทุกที่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ขอให้ติดตามการแถลงเกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องการยกเลิก มาตรา 112 โดยเฉพาะจะมีการล่าชื่อประชาชนเพื่อเสนอให้ยกเลิกหรือไม่ ในครั้งต่อไป
"จากนี้เราจะเปิดเว็บไซด์ www.no 112.com เพื่อเป็นฐานข้อมูลบันทึกเป็นจดหมายผู้ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 เพื่อสื่อสารกับสาธารณะถึงผลกระทบของหลายคนที่ต้องสูญเสียโอกาส และอิสรภาพจากการถูกดำเนินคดี เพียงแค่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนดำเนินการจัดทำเว็บดังกล่าว ทั้งนี้ในกิจกรรมครั้งนี้ จะมีปาฐกถาชุดพิเศษ ในเวลา 13.00 น .จากคนแดนไกล ซึ่งเป็นไฮไลต์พิเศษของงาน” นายพริษฐ์ ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปาฐกถาพิเศษจากแดนไกลที่ว่าเป็นไฮไลต์ คือ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ต้องหาหนีคดี ซึ่งโจมตีสถาบันฯอยู่ต่างประเทศ
วงเสวนาหนุน"ค้อนเคียว"
จากนั้น ทางกลุ่มได้มีการจัดเสวนา "ปฏิรูปสถาบันทำไปสู่รัฐสวัสดิการอย่างไร" โดยนายศุภณัฐ กิ่งแก้ว ผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพนักเรียน นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) กล่าวว่า ตอนนี้มีการกล่าวถึงสัญลักษณ์ค้อนเคียวกันมาก ซึ่งในความจริงเรื่องนี้มีการพูดและปฏิบัติกันมานานแล้ว คำว่า สังคมนิยมประชาธิปไตย ไม่ใช่ของใหม่ แต่มีพัฒนาการมาในสังคมไทย ขณะที่ยุครัฐบาลของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่มีการออกนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งถูกนักเศรษฐศาสตร์ โจมตีว่า ทำไม่ได้ จะทำให้ประเทศขาดทุน เราเห็นแล้วว่า ไม่เป็นความจริง เพราะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ยังใช้มาถึงปัจจุบัน และประเทศก็ยังไม่เจ๊ง แม้นโยบายจะมีข้อบกพร่องบ้าง แต่เราจะรอรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย มาแก้ไขในส่วนนี้
นายศุภณัฐ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันคำว่า สังคมนิยม ถูกพูดถึง ซึ่งมีทั้งผู้สนับสนุน และคัดค้าน กลุ่มที่สนับสนุนก็จะมองว่าเป็นการกระจายทรัพยากร ส่วนผู้ที่คัดค้านก็บอกว่าสังคมนิยม และรัฐสวัสดิการ เป็นเฟกนิวส์ หรือเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ อันนี้เป็นข้อกล่าวหาที่เลยเถิด ซึ่งในข้อเท็จจริง สังคมนิยม หรือรัฐสวัสดิการนั้น เป็นการพูดถึงการกระจายอำนาจ และสนับสนุนโครงสร้างการเมือง แบบประชาธิปไตยที่แท้จริง จะทำให้คนปลดล็อกจากสภาพเศรษฐกิจ และมีเสรีภาพทางการเมือง
"ขอยืนยันว่าสังคมนิยม และรัฐสวัสดิการ เป็นเครื่องมือที่จะกระจายความมั่งคั่งจากกลุ่มทุนมาสู่คนไทยทุกคน" นายศุภณัฐ กล่าว
“อาจารย์ มธ.” เห็นดีด้วย
ขณะที่นายษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คนอายุน้อยกว่า 25 ปี ทุนนิยม ค้อนเคียว และความเสมอภาค ไม่ได้น่ากลัว จึงต้องนำวิธีการสงเคราะห์ออกไป ต้องทำให้น้ำ อากาศ อาหาร เป็นของทุกคน ซึ่งประเทศรัฐสวัสดิการ ล้วนมาจากประเทศยากจนมาก่อน ดังนั้นการกดเครื่องคิดเลข คือวาทกรรมที่นายทุนบอกว่ารัฐสวัสดิการทำไม่ได้ ทั้งนี้ ตนมองว่าแนวคิดรัฐสวัสดิการเกิดในคนรุ่นใหม่ เพราะความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้นสูงมาก โดยต้องขอแรงคนรุ่นก่อน ร่วมกับคนรุ่นใหม่
“ปวิน เกียวโต” เชียร์เด็กสู้ต่อ
จนเมื่อเวลา 13.00 น. นายปวิน ได้ปาฐกถาพิเศษผ่านคลิปวิดีโอโดยกล่าวว่า ตนเองต่อสู้มาตลอดในประเด็นมาตรา 112 และเป็นเหยื่อมาตรา112 ซึ่งเริ่มแรกมาจากการเรียกร้องให้ปฏิรูปกฎหมายจนยกระดับให้มีการยกเลิก ซึ่งปัญหาของมาตรา 112 ปัญหาหลักคือการที่ผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องเอง จึงต่างกับการหมิ่นประมาททั่วไป ดังนั้นใครก็ได้ที่สามารถไปฟ้องร้อง จึงเป็นช่องว่างทางกฎหมายที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ฟ้องร้องจนเลยเถิด ขณะนี้ถูกแจ้งข้อหากันหลายราย ซึ่งตนมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการคิดสั้นและฆ่าตัวตาย เพราะไม่ได้ทำให้แกนนำหยุด แต่กลับทำให้สังคมตื่นตัวขึ้นอีกรอบ นอกจากนี้ยังมีมาตรการปราบปรามผู้เห็นต่างด้านการเมืองด้วยมาตรการใช้ความรุนแรงและการอุ้มฆ่า ถือเป็นการสร้างความหวาดกลัวแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามขอให้การต่อสู้ของทุกคนนี้ดำเนินต่อไป
“เชื่อว่าประชาธิปไตยต้องชนะ แต่อาจใช้เวลาและเจ็บปวดนิดหน่อย ตนขอเป็นกำลังใจให้แกนนำที่โดนมาตรา 112 และผู้ชุมนุมทุกคน เชื่อว่าถ้าเราผ่านวันนี้ไปได้ ในอนาคตที่มองย้อนกลับมาเราจะภูมิใจกับสิ่งที่เราทำเพื่ออนาคตของพวกเราเอง” นายปวิน ระบุ
“ปิยบุตร” ย้ำ กม.ล้าสมัย
ต่อมา เวลา 14.00 น. ได้มีการเสวนา “"ยกเลิก 112 สิแล้วเราจะเล่าให้ฟัง" โดยมี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า, นายพริษฐ์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำ 24 มิถุนาประชาธิปไตย ร่วมเสวนา
นายปิยบุตร กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ตรงกับวันรัฐธรรมนูญ และวันสิทธิมนุษยชนสากล และบังเอิญที่การจัดงานวันนี้ ตรงกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ของการจัดเสวนาเกี่ยวกับสถาบันฯ โดยคณะนิติราษฎร์ ซึ่งการใช้กฎหมาย มาตรา 112 นอกจากเรื่องสถาบันฯ แล้วยังคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ และปัญหาจากการใช้มาตราดังกล่าว คือปิดปากประชาชนในการแสดงความเห็น โดยระบุว่าเป็นการหมิ่นประมาท โดยที่ไม่มีการยกเว้นความผิดเหมือนกฎหมายหมิ่นประมาทปกติที่ให้เป็นความเสียหายทางแพ่งได้ นอกจากนั้นใครจะไปฟ้องใครก็ได้ และยังถูกนำไปตีความจนเกินตัวบทกฎหมาย แต่ประเด็นคือ มีกลไกรัฐที่คอยครอบไว้อีกชั้นหนึ่ง เวลาอยากใช้ก็ใช้กันจนขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน เวลาจะไม่ใช้ ก็นำมาตรา 116 มาใช้แทน จึงแสดงให้เห็นว่ากฎหมายมาตราดังกล่าว ไม่ใช่การตรวจสอบตามกฎหมายอาญาปกติ แต่มีเรื่องอื่นคอยกำกับอยู่ เห็นได้จากล่าสุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะใช้กฎหมายทุกอย่างที่มีดำเนินการกับผู้ชุมนุม จากนั้นมีคนไปแจ้งความ มาตรา 112 ทันที เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะบอกว่าไปลบหลู่สิ่งศักสิทธิ์ของเขา จึงต้องดำเนินการ
“แสดงว่าเมื่อผู้ควบคุมกลไกรัฐเปิดสวิตช์ให้ก็เดินตาม แต่เมื่อมีคนไม่เห็นด้วย และไม่สนองตอบต่อกลไกรัฐจึงต้องใช้กฎหมายที่แรงขึ้นมาจัดการ จากปัญหาที่เกิด ทำเห็นว่าควรเลิกกฎหมาย มาตรา 112 และคดีหมิ่นประมาทที่ให้มีการจำคุก และควรให้คดีหมิ่นประมาทมีการฟ้องทางแพ่งเท่านั้น ไม่ควรดำเนินคดีทางอาญา เพราะเพียงการพูด หรือวิจารณ์แล้วนำคนไปเข้าคุกถือเป็นกฎหมายที่ล้าสมัยแล้ว" นายปิยบุตร กล่าว
เหิมทางแพ่ง “ปฏิรูป-ปฏิวัติ”
ขณะที่ นายพริษฐ์ กล่าวเสริมว่า การใช้ มาตรา 112 ไม่ใช่กฎหมายธรรมดาแต่เป็นคดีนโยบายตามนายสั่งมา ดำเนินคดีตามใบสั่ง ไม่ใช่ตามกระบวนการ ยอมรับว่าในอดีต มาตรา 112 มีความน่ากลัว แต่ไม่ใช่เพราะตัวกฎหมาย แต่อยู่ที่ผู้มีอำนาจบารมี แต่วันนี้มีคนกล้าที่จะพูดสูงขึ้น ทำให้มาตรา 112 ที่จะเป็นดาบฟาดฟันคนเห็นต่าง กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัว และยิ่งนำมาใช้มากขึ้นประชาชนที่เห็นถึงข้อเสียจะยิ่งออกมามากขึ้นและจะเล่นเกมยาว การเรียกร้องให้ยกเลิก มาตรา 112 ก็สืบเนื่องมาจากคณะนิติราษฎร์ ที่เคยมีข้อเสนอไว้ว่าควรแก้ไข มาตรา 112 มาถึงการยกเลิกเพราะเห็นถึงปัญหาจากการใช้มาตราดังกล่าวที่จับคนโดยไม่ยุติธรรม จะทำให้การเมืองเลวร้าย
“วันนี้ประเทศไทยเหมือนสามแยก ระหว่างปฏิรูปกับการปฏิวัติ มีราษฎรเป็นน้ำมันที่จะพาไป ส่วนคนที่ตัดสินใจว่าจะเลี้ยวไปทางไหนคือสถาบันฯ” นายพริษฐ์ กล่าว
ร้อง UN สั่งไทยเลิก ม.112
วันเดียวกัน เวลา 10.00 น.วันเดียวกันนี้ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย อดีตนักโทษคดี มาตรา 112 และแนวร่วมกลุ่มราษฎร พร้อมคณะประมาณ 10 คน จัดกิจกรรมยกเลิก มาตรา 112 บริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ถนนราชดำเนินนอก
นายสมยศ กล่าวว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่ล้าหลัง และปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ การแสดงความเห็นและแสดงออกทางประชาธิปไตย กลายเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามโดยรัฐที่ดำเนินคดีอย่างละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมายื่นข้อเรียกร้องเพื่อให้ยกเลิกกฎหมายข้อนี้ ให้บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า จากนี้จะมีการเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่เหมือน 10 ปีก่อน เพราะมีผู้เห็นด้วยกับเรามีมาก โดยเฉพาะเยาวชนระดับนักเรียนชั้นมัธยม และเราจะเคลื่อนไหวในระดับนานาชาติ และเราจะส่งจดหมายไปยังองค์กรภาคประชาชนทั่วโลก เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ของคนไทยในเรื่องการปฏิรูปสถาบัน
"ในเดือนพฤษภา 2564 จะมีการประชุมยูเอ็น ที่รัฐบาลไทยจะไปร่วมประชุม ผมกำลังรวบรวมและประสานยูเอ็น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไปประท้วงที่กรุงเจนีวา ซึ่งเป็นที่ตั้งของยูเอ็น" อดีตนักโทษ ม.112 ระบุ
“ปวิน-สมศักดิ์” ถล่ม “ปิยบุตร”
วันเดียวกัน เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร ได้ แชร์ การให้สัมภาษณ์กับ The Momentum โดยยกช่วงเกริ่นนำ พร้อมไฮไลต์ที่ต้องการบอก ระบุว่า “หากมองย้อนกลับไปช่วงวิกฤตการเมือง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราควรเรียก “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ว่าเป็นผู้ที่ “มาก่อนกาล” ผู้เสนอเรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนใครอื่น
ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ได้แชร์วิดีโอจากเพลย์ลิสต์ In Someone's Shoes พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า “ขยะแขยงปิยบุตร ตอนนี้ก็เป็นแค่คนที่เคยรู้จักกันเท่านั้น เราต่างรู้ว่า ปิยบุตรคิดยังไงกับสถาบัน แต่ความที่ตัวเองอยากเป็นนักการเมือง ทำให้ต้องยอมทิ้งอุดมการณ์ที่ตัวเองเคยยึดถือ มาวันนี้ นักศึกษามาไกลแล้ว เค้าไม่ต้องการคนแบบปิยบุตร เลยกลายเป็นว่า นักการเมืองก็เป็นไม่ได้ เป็นนักปฏิวัติก็ล้มเหลว จะกลับไปสอนหนังสือ คนก็หมดศรัทธา ดิชั้นแนะนำให้ย้ายไปอยู่กับเมียที่ฝรั่งเศสค่ะ”
เช่นเดียวกับเฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์คณะสังคมและมานุษวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ ที่ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส แชร์วิดีโอจากเพลย์ลิสต์ In Someone's Shoes เช่นกัน พร้อมโพสต์ว่า “ผมว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก เพราะที่พูดไปเพียงพอแล้ว แต่ อ.ปิยบุตร พูดเรื่องนี้ซ้ำอีก ดังนั้น ให้ผมพูดซ้ำอีกครั้ง สำหรับผมจะไม่แลกเรื่อง 112 กับการเข้าไปทำงานการเมือง นี่เป็นหนึ่งในประโยคท้ายๆ ที่ผมพูดต่อหน้าปิยบุตร นี่คือความแตกต่างกันของเรา อ.ปิยบุตร เห็นว่า เรื่องอื่นๆ มีความสำคัญพอๆ กัน จึงแลกที่จะไม่พูดเรื่องสถาบันกษัตริย์”
ไม่คิดชั่วไม่เห็นต้องกลัว ม.112
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุวว่า “#Save112เพราะคนไทยไม่เดือดร้อน วันนี้ 10 ธ.ค. แกนนำม็อบไปยื่นข้อเรียกร้องต่อสหประชาชาติ เพื่อกดดันรัฐบาลให้เลิกมาตรา112 และให้ยุติการดำเนินคดีคณะราษฎรทุกคน แกนนำม็อบ รู้ไหมว่ากม.อาญา มาตรา112 บัญญัติว่า“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่อยากจะรังแกใครก็ได้ ต้องถามแกนนำม็อบว่า พวกท่านคิดว่า การหมิ่นประมาท การดูหมิ่น การแสดงความอาฆาตมาดร้าย เป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือ? ถ้าไม่คิดกระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว ทำไมต้องกลัว อย่าว่าแต่สถาบันเบื้องสูงเลย ถ้ามีคนไปหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย คุณพ่อคุณแม่ของเหล่าแกนนำ พวกท่านจะคิดอย่างไร?”
นพ.วรงค์ ระบุด้วยว่า “วันนี้แกนนำม็อบจ้องล้มล้าง สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบสาธารณรัฐ จึงขอให้ยกเลิก มาตรา 112”
วานนี้ (10 ธ.ค.) เวลา 09.40 น. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แกนนำกลุ่มราษฎร นำโดย นายพริษฐ์ หรือเพนกวิ้น ชิวารักษ์ และ น.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล พร้อมตัวแทนที่ได้รับผลกระทบถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้ร่วมแถลงข่าว ก่อนเริ่มกิจกรรม "ยกเลิก 112 สิ แล้วเราจะเล่าให้ฟัง" โดย นายพริษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ที่ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 ถึง 25 คน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผู้มีอำนาจระบุว่า จะไม่ใช่กฎหมายมาตราดังกล่าวดำเนินคดีกับประชาชน แต่เวลานี้กลับนำมาใช้ แสดงให้เห็นถึงความป่าเถื่อน ล้าหลัง โหดร้าย และสร้างความขัดแย้งทางการเมืองโดยไม่สิ้นสุด และยังถ่วงกระบวนการประชาธิปไตยเรื่อยมา
“ถ้ายังใช้มาตราดังกล่าวอยู่ สถาบันฯ (พระมหากษัตริย์) ก็จะถูกครหาว่าใช้กฎหมายเพื่อปิดปากประชาชน และในปัจจุบันสามารถแสดงความเห็นที่แตกต่างและอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ใช้มาตรานี้ ซึ่งเป็นเครื่องมือฟาดฟันผู้เห็นต่าง และกลั่นแกล้งทางการเมือง และปัจจุบันคนที่เห็นต่างไม่กลัวมาตรา 112 แล้ว ดังนั้นกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับมติมหาชน ก็จะต้องถูกยกเลิกไปเอง” นายพริษฐ์ กล่าว
ผุดเวบ no 112.com
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การปล่อยให้ใครก็ได้ไปแจ้งความคนนั้นคนนี้ในสถานที่ต่างๆถือเป็นช่องโหว่ที่จะยิ่งสร้างความวุ่นวาย และทราบว่าคนที่ไปแจ้งความไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นเครือข่ายของระบบศักดินาที่จัดตั้งไว้แล้ว และเคยมีตัวอย่างที่ใช้มาตราดังกล่าวกลั่นแกล้งคนให้ติดคุก จึงเรียกร้องให้เลิกวิธีให้คนไปแจ้งความที่นั่น ที่นี่ ถ้ายังมีการไปแจ้งความ มาตรา 112 ที่ไหนอีก เราก็จะมีเวทีปราศรัยในทุกที่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ขอให้ติดตามการแถลงเกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องการยกเลิก มาตรา 112 โดยเฉพาะจะมีการล่าชื่อประชาชนเพื่อเสนอให้ยกเลิกหรือไม่ ในครั้งต่อไป
"จากนี้เราจะเปิดเว็บไซด์ www.no 112.com เพื่อเป็นฐานข้อมูลบันทึกเป็นจดหมายผู้ถูกดำเนินคดี มาตรา 112 เพื่อสื่อสารกับสาธารณะถึงผลกระทบของหลายคนที่ต้องสูญเสียโอกาส และอิสรภาพจากการถูกดำเนินคดี เพียงแค่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนดำเนินการจัดทำเว็บดังกล่าว ทั้งนี้ในกิจกรรมครั้งนี้ จะมีปาฐกถาชุดพิเศษ ในเวลา 13.00 น .จากคนแดนไกล ซึ่งเป็นไฮไลต์พิเศษของงาน” นายพริษฐ์ ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปาฐกถาพิเศษจากแดนไกลที่ว่าเป็นไฮไลต์ คือ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ต้องหาหนีคดี ซึ่งโจมตีสถาบันฯอยู่ต่างประเทศ
วงเสวนาหนุน"ค้อนเคียว"
จากนั้น ทางกลุ่มได้มีการจัดเสวนา "ปฏิรูปสถาบันทำไปสู่รัฐสวัสดิการอย่างไร" โดยนายศุภณัฐ กิ่งแก้ว ผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพนักเรียน นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) กล่าวว่า ตอนนี้มีการกล่าวถึงสัญลักษณ์ค้อนเคียวกันมาก ซึ่งในความจริงเรื่องนี้มีการพูดและปฏิบัติกันมานานแล้ว คำว่า สังคมนิยมประชาธิปไตย ไม่ใช่ของใหม่ แต่มีพัฒนาการมาในสังคมไทย ขณะที่ยุครัฐบาลของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่มีการออกนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งถูกนักเศรษฐศาสตร์ โจมตีว่า ทำไม่ได้ จะทำให้ประเทศขาดทุน เราเห็นแล้วว่า ไม่เป็นความจริง เพราะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ยังใช้มาถึงปัจจุบัน และประเทศก็ยังไม่เจ๊ง แม้นโยบายจะมีข้อบกพร่องบ้าง แต่เราจะรอรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย มาแก้ไขในส่วนนี้
นายศุภณัฐ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันคำว่า สังคมนิยม ถูกพูดถึง ซึ่งมีทั้งผู้สนับสนุน และคัดค้าน กลุ่มที่สนับสนุนก็จะมองว่าเป็นการกระจายทรัพยากร ส่วนผู้ที่คัดค้านก็บอกว่าสังคมนิยม และรัฐสวัสดิการ เป็นเฟกนิวส์ หรือเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ อันนี้เป็นข้อกล่าวหาที่เลยเถิด ซึ่งในข้อเท็จจริง สังคมนิยม หรือรัฐสวัสดิการนั้น เป็นการพูดถึงการกระจายอำนาจ และสนับสนุนโครงสร้างการเมือง แบบประชาธิปไตยที่แท้จริง จะทำให้คนปลดล็อกจากสภาพเศรษฐกิจ และมีเสรีภาพทางการเมือง
"ขอยืนยันว่าสังคมนิยม และรัฐสวัสดิการ เป็นเครื่องมือที่จะกระจายความมั่งคั่งจากกลุ่มทุนมาสู่คนไทยทุกคน" นายศุภณัฐ กล่าว
“อาจารย์ มธ.” เห็นดีด้วย
ขณะที่นายษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คนอายุน้อยกว่า 25 ปี ทุนนิยม ค้อนเคียว และความเสมอภาค ไม่ได้น่ากลัว จึงต้องนำวิธีการสงเคราะห์ออกไป ต้องทำให้น้ำ อากาศ อาหาร เป็นของทุกคน ซึ่งประเทศรัฐสวัสดิการ ล้วนมาจากประเทศยากจนมาก่อน ดังนั้นการกดเครื่องคิดเลข คือวาทกรรมที่นายทุนบอกว่ารัฐสวัสดิการทำไม่ได้ ทั้งนี้ ตนมองว่าแนวคิดรัฐสวัสดิการเกิดในคนรุ่นใหม่ เพราะความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้นสูงมาก โดยต้องขอแรงคนรุ่นก่อน ร่วมกับคนรุ่นใหม่
“ปวิน เกียวโต” เชียร์เด็กสู้ต่อ
จนเมื่อเวลา 13.00 น. นายปวิน ได้ปาฐกถาพิเศษผ่านคลิปวิดีโอโดยกล่าวว่า ตนเองต่อสู้มาตลอดในประเด็นมาตรา 112 และเป็นเหยื่อมาตรา112 ซึ่งเริ่มแรกมาจากการเรียกร้องให้ปฏิรูปกฎหมายจนยกระดับให้มีการยกเลิก ซึ่งปัญหาของมาตรา 112 ปัญหาหลักคือการที่ผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องเอง จึงต่างกับการหมิ่นประมาททั่วไป ดังนั้นใครก็ได้ที่สามารถไปฟ้องร้อง จึงเป็นช่องว่างทางกฎหมายที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ฟ้องร้องจนเลยเถิด ขณะนี้ถูกแจ้งข้อหากันหลายราย ซึ่งตนมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการคิดสั้นและฆ่าตัวตาย เพราะไม่ได้ทำให้แกนนำหยุด แต่กลับทำให้สังคมตื่นตัวขึ้นอีกรอบ นอกจากนี้ยังมีมาตรการปราบปรามผู้เห็นต่างด้านการเมืองด้วยมาตรการใช้ความรุนแรงและการอุ้มฆ่า ถือเป็นการสร้างความหวาดกลัวแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามขอให้การต่อสู้ของทุกคนนี้ดำเนินต่อไป
“เชื่อว่าประชาธิปไตยต้องชนะ แต่อาจใช้เวลาและเจ็บปวดนิดหน่อย ตนขอเป็นกำลังใจให้แกนนำที่โดนมาตรา 112 และผู้ชุมนุมทุกคน เชื่อว่าถ้าเราผ่านวันนี้ไปได้ ในอนาคตที่มองย้อนกลับมาเราจะภูมิใจกับสิ่งที่เราทำเพื่ออนาคตของพวกเราเอง” นายปวิน ระบุ
“ปิยบุตร” ย้ำ กม.ล้าสมัย
ต่อมา เวลา 14.00 น. ได้มีการเสวนา “"ยกเลิก 112 สิแล้วเราจะเล่าให้ฟัง" โดยมี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า, นายพริษฐ์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำ 24 มิถุนาประชาธิปไตย ร่วมเสวนา
นายปิยบุตร กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ตรงกับวันรัฐธรรมนูญ และวันสิทธิมนุษยชนสากล และบังเอิญที่การจัดงานวันนี้ ตรงกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ของการจัดเสวนาเกี่ยวกับสถาบันฯ โดยคณะนิติราษฎร์ ซึ่งการใช้กฎหมาย มาตรา 112 นอกจากเรื่องสถาบันฯ แล้วยังคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ และปัญหาจากการใช้มาตราดังกล่าว คือปิดปากประชาชนในการแสดงความเห็น โดยระบุว่าเป็นการหมิ่นประมาท โดยที่ไม่มีการยกเว้นความผิดเหมือนกฎหมายหมิ่นประมาทปกติที่ให้เป็นความเสียหายทางแพ่งได้ นอกจากนั้นใครจะไปฟ้องใครก็ได้ และยังถูกนำไปตีความจนเกินตัวบทกฎหมาย แต่ประเด็นคือ มีกลไกรัฐที่คอยครอบไว้อีกชั้นหนึ่ง เวลาอยากใช้ก็ใช้กันจนขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน เวลาจะไม่ใช้ ก็นำมาตรา 116 มาใช้แทน จึงแสดงให้เห็นว่ากฎหมายมาตราดังกล่าว ไม่ใช่การตรวจสอบตามกฎหมายอาญาปกติ แต่มีเรื่องอื่นคอยกำกับอยู่ เห็นได้จากล่าสุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะใช้กฎหมายทุกอย่างที่มีดำเนินการกับผู้ชุมนุม จากนั้นมีคนไปแจ้งความ มาตรา 112 ทันที เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะบอกว่าไปลบหลู่สิ่งศักสิทธิ์ของเขา จึงต้องดำเนินการ
“แสดงว่าเมื่อผู้ควบคุมกลไกรัฐเปิดสวิตช์ให้ก็เดินตาม แต่เมื่อมีคนไม่เห็นด้วย และไม่สนองตอบต่อกลไกรัฐจึงต้องใช้กฎหมายที่แรงขึ้นมาจัดการ จากปัญหาที่เกิด ทำเห็นว่าควรเลิกกฎหมาย มาตรา 112 และคดีหมิ่นประมาทที่ให้มีการจำคุก และควรให้คดีหมิ่นประมาทมีการฟ้องทางแพ่งเท่านั้น ไม่ควรดำเนินคดีทางอาญา เพราะเพียงการพูด หรือวิจารณ์แล้วนำคนไปเข้าคุกถือเป็นกฎหมายที่ล้าสมัยแล้ว" นายปิยบุตร กล่าว
เหิมทางแพ่ง “ปฏิรูป-ปฏิวัติ”
ขณะที่ นายพริษฐ์ กล่าวเสริมว่า การใช้ มาตรา 112 ไม่ใช่กฎหมายธรรมดาแต่เป็นคดีนโยบายตามนายสั่งมา ดำเนินคดีตามใบสั่ง ไม่ใช่ตามกระบวนการ ยอมรับว่าในอดีต มาตรา 112 มีความน่ากลัว แต่ไม่ใช่เพราะตัวกฎหมาย แต่อยู่ที่ผู้มีอำนาจบารมี แต่วันนี้มีคนกล้าที่จะพูดสูงขึ้น ทำให้มาตรา 112 ที่จะเป็นดาบฟาดฟันคนเห็นต่าง กลายเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัว และยิ่งนำมาใช้มากขึ้นประชาชนที่เห็นถึงข้อเสียจะยิ่งออกมามากขึ้นและจะเล่นเกมยาว การเรียกร้องให้ยกเลิก มาตรา 112 ก็สืบเนื่องมาจากคณะนิติราษฎร์ ที่เคยมีข้อเสนอไว้ว่าควรแก้ไข มาตรา 112 มาถึงการยกเลิกเพราะเห็นถึงปัญหาจากการใช้มาตราดังกล่าวที่จับคนโดยไม่ยุติธรรม จะทำให้การเมืองเลวร้าย
“วันนี้ประเทศไทยเหมือนสามแยก ระหว่างปฏิรูปกับการปฏิวัติ มีราษฎรเป็นน้ำมันที่จะพาไป ส่วนคนที่ตัดสินใจว่าจะเลี้ยวไปทางไหนคือสถาบันฯ” นายพริษฐ์ กล่าว
ร้อง UN สั่งไทยเลิก ม.112
วันเดียวกัน เวลา 10.00 น.วันเดียวกันนี้ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย อดีตนักโทษคดี มาตรา 112 และแนวร่วมกลุ่มราษฎร พร้อมคณะประมาณ 10 คน จัดกิจกรรมยกเลิก มาตรา 112 บริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ถนนราชดำเนินนอก
นายสมยศ กล่าวว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่ล้าหลัง และปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ การแสดงความเห็นและแสดงออกทางประชาธิปไตย กลายเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามโดยรัฐที่ดำเนินคดีอย่างละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมายื่นข้อเรียกร้องเพื่อให้ยกเลิกกฎหมายข้อนี้ ให้บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า จากนี้จะมีการเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่เหมือน 10 ปีก่อน เพราะมีผู้เห็นด้วยกับเรามีมาก โดยเฉพาะเยาวชนระดับนักเรียนชั้นมัธยม และเราจะเคลื่อนไหวในระดับนานาชาติ และเราจะส่งจดหมายไปยังองค์กรภาคประชาชนทั่วโลก เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ของคนไทยในเรื่องการปฏิรูปสถาบัน
"ในเดือนพฤษภา 2564 จะมีการประชุมยูเอ็น ที่รัฐบาลไทยจะไปร่วมประชุม ผมกำลังรวบรวมและประสานยูเอ็น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไปประท้วงที่กรุงเจนีวา ซึ่งเป็นที่ตั้งของยูเอ็น" อดีตนักโทษ ม.112 ระบุ
“ปวิน-สมศักดิ์” ถล่ม “ปิยบุตร”
วันเดียวกัน เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร ได้ แชร์ การให้สัมภาษณ์กับ The Momentum โดยยกช่วงเกริ่นนำ พร้อมไฮไลต์ที่ต้องการบอก ระบุว่า “หากมองย้อนกลับไปช่วงวิกฤตการเมือง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราควรเรียก “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ว่าเป็นผู้ที่ “มาก่อนกาล” ผู้เสนอเรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนใครอื่น
ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ได้แชร์วิดีโอจากเพลย์ลิสต์ In Someone's Shoes พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า “ขยะแขยงปิยบุตร ตอนนี้ก็เป็นแค่คนที่เคยรู้จักกันเท่านั้น เราต่างรู้ว่า ปิยบุตรคิดยังไงกับสถาบัน แต่ความที่ตัวเองอยากเป็นนักการเมือง ทำให้ต้องยอมทิ้งอุดมการณ์ที่ตัวเองเคยยึดถือ มาวันนี้ นักศึกษามาไกลแล้ว เค้าไม่ต้องการคนแบบปิยบุตร เลยกลายเป็นว่า นักการเมืองก็เป็นไม่ได้ เป็นนักปฏิวัติก็ล้มเหลว จะกลับไปสอนหนังสือ คนก็หมดศรัทธา ดิชั้นแนะนำให้ย้ายไปอยู่กับเมียที่ฝรั่งเศสค่ะ”
เช่นเดียวกับเฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์คณะสังคมและมานุษวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ ที่ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส แชร์วิดีโอจากเพลย์ลิสต์ In Someone's Shoes เช่นกัน พร้อมโพสต์ว่า “ผมว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก เพราะที่พูดไปเพียงพอแล้ว แต่ อ.ปิยบุตร พูดเรื่องนี้ซ้ำอีก ดังนั้น ให้ผมพูดซ้ำอีกครั้ง สำหรับผมจะไม่แลกเรื่อง 112 กับการเข้าไปทำงานการเมือง นี่เป็นหนึ่งในประโยคท้ายๆ ที่ผมพูดต่อหน้าปิยบุตร นี่คือความแตกต่างกันของเรา อ.ปิยบุตร เห็นว่า เรื่องอื่นๆ มีความสำคัญพอๆ กัน จึงแลกที่จะไม่พูดเรื่องสถาบันกษัตริย์”
ไม่คิดชั่วไม่เห็นต้องกลัว ม.112
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุวว่า “#Save112เพราะคนไทยไม่เดือดร้อน วันนี้ 10 ธ.ค. แกนนำม็อบไปยื่นข้อเรียกร้องต่อสหประชาชาติ เพื่อกดดันรัฐบาลให้เลิกมาตรา112 และให้ยุติการดำเนินคดีคณะราษฎรทุกคน แกนนำม็อบ รู้ไหมว่ากม.อาญา มาตรา112 บัญญัติว่า“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่อยากจะรังแกใครก็ได้ ต้องถามแกนนำม็อบว่า พวกท่านคิดว่า การหมิ่นประมาท การดูหมิ่น การแสดงความอาฆาตมาดร้าย เป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือ? ถ้าไม่คิดกระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว ทำไมต้องกลัว อย่าว่าแต่สถาบันเบื้องสูงเลย ถ้ามีคนไปหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย คุณพ่อคุณแม่ของเหล่าแกนนำ พวกท่านจะคิดอย่างไร?”
นพ.วรงค์ ระบุด้วยว่า “วันนี้แกนนำม็อบจ้องล้มล้าง สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบสาธารณรัฐ จึงขอให้ยกเลิก มาตรา 112”