พอกันที ไม่นับญาติ! “ปวิน” ซัด “ปิยบุตร” อยากเป็นนักการเมือง จนทิ้งอุดมการณ์ “สมศักดิ์ เจียม” ชี้ แลกไม่พูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ “หมอวรงค์” Save 112 “ยกเลิก 112 สิ แล้วเราจะเล่าให้ฟัง” บิ๊กเซอร์ไพรส์ ศาสดา “ล้มเจ้า” จากญี่ปุ่น
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (10 ธ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล โพสต์ แชร์ การให้สัมภาษณ์กับ The Momentum
โดยยกช่วงเกริ่นนำ พร้อมไฮไลต์ที่ต้องการบอก ระบุว่า “หากมองย้อนกลับไปช่วงวิกฤตการเมือง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราควรเรียก “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ว่าเป็นผู้ที่ “มาก่อนกาล” ผู้เสนอเรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนใครอื่น
ในฐานะนักวิชาการ เขาเป็นหนึ่งในคนที่ถูก “เกลียด” มากที่สุดในช่วงเวลาหนึ่ง จากการออกความเห็นว่าพระมหากษัตริย์ ไม่ควรมีพระราชดำรัสสดในที่สาธารณะ
และเมื่อเป็นนักการเมือง ปิยบุตรถูกอัดจากทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่าเขา “อันตราย” เกินไป เป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการ “ชังชาติ” ขณะที่ฝ่ายเดียวกัน ก็วิพากษ์ว่าคนอย่างเขา “ประนีประนอม” มากเกินไป เมื่อเข้าสู่สภาฯ ก็ทิ้ง “หลักการ” หลายอย่างที่เคยต่อสู้ไว้ในสมัยที่ยังเป็นอาจารย์ด้านนิติศาสตร์
“เราส่องกระจกแล้ว เห็นชัดว่า กูยังไม่เปลี่ยนแปลงไป กูยังเหมือนเดิม แต่มันมีอุปสรรคอะไรบางอย่างที่ทำให้แสดงออกได้ไม่เหมือนเดิม” ปิยบุตรกล่าว
The Momentum ชวนปิยบุตรคุยเรื่องที่เขาถนัดที่สุดอีกครั้ง คือ เรื่อง “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” พร้อมกับสำรวจตัวตนของเขาในวันนี้ไปพร้อมๆ กัน ในวันที่สถานการณ์ทางการเมือง กำลังแหลมคมขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ : https://themomentum.co/interview-piyabutr/
#TheMomentum #ปิยบุตร #คณะก้าวหน้า #ปฏิรูปสถาบัน”
ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และลี้ภัยคดี 112 อยู่ญี่ปุ่น แชร์วิดีโอจากเพลย์ลิสต์ In Someone's Shoes พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า
“ขยะแขยงปิยบุตร ตอนนี้ก็เป็นแค่คนที่เคยรู้จักกันเท่านั้น เราต่างรู้ว่า ปิยบุตรคิดยังไงกับสถาบัน แต่ความที่ตัวเองอยากเป็นนักการเมือง ทำให้ต้องยอมทิ้งอุดมการณ์ที่ตัวเองเคยยึดถือ มาวันนี้ นักศึกษามาไกลแล้ว เค้าไม่ต้องการคนแบบปิยบุตร เลยกลายเป็นว่า นักการเมืองก็เป็นไม่ได้ เป็นนักปฏิวัติก็ล้มเหลว จะกลับไปสอนหนังสือ คนก็หมดศรัทธา ดิชั้นแนะนำให้ย้ายไปอยู่กับเมียที่ฝรั่งเศสค่ะ อ้อ กระทู้นี้งดคอมเมนต์จากติ่งส้มนะคะ โดยเฉพาะพวกที่จะแก้แทนว่า “ขนาดไม่พูดเรื่องเจ้ายังโดนขนาดนี้” โทษค่ะ ขนาดนี้นี่ขนาดไหน? ไม่ฟังคำแก้ตัวแทนนะคะ กูถีบออกค่ะ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ศาสดา “ล้มเจ้า” ลี้ภัยในฝรั่งเศส แชร์วิดีโอจากเพลย์ลิสต์ In Someone's Shoes เช่นกัน พร้อมโพสต์ว่า
“ผมว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก เพราะที่พูดไปเพียงพอแล้ว แต่ อ.ปิยบุตร พูดเรื่องนี้ซ้ำอีก ดังนั้น ให้ผมพูดซ้ำอีกครั้ง
“สำหรับผมจะไม่แลกเรื่อง 112 กับการเข้าไปทำงานการเมือง”
นี่เป็นหนึ่งในประโยคท้ายๆ ที่ผมพูดต่อหน้าปิยบุตร
นี่คือความแตกต่างกันของเรา อ.ปิยบุตร เห็นว่า เรื่องอื่นๆ มีความสำคัญพอๆ กัน จึงแลกที่จะไม่พูดเรื่องสถาบันกษัตริย์
สำหรับผม ไม่มีเรื่องอะไรที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องสถาบันกษัตริย์แล้ว
ให้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องพิสูจน์เอง
https://www.facebook.com/267847432346/posts/10158534833112347/
ด้าน “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“วันนี้ 10 ธ.ค. แกนนำม็อบจะไปยื่นข้อเรียกร้องต่อสหประชาชาติ เพื่อกดดันรัฐบาลให้เลิกมาตรา 112 และให้ยุติการดำเนินคดีคณะราษฎรทุกคน แกนนำม็อบ รู้ไหมว่า กฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่อยากจะรังแกใครก็ได้
คำถามต้องถามแกนนำม็อบว่า พวกท่านคิดว่า การหมิ่นประมาท การดูหมิ่น การแสดงความอาฆาตมาดร้าย เป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือ??? ถ้าไม่คิดกระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว ทำไมต้องกลัว อย่าว่าแต่สถาบันเบื้องสูงเลย ถ้ามีคนไปหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย คุณพ่อคุณแม่ของเหล่าแกนนำ พวกท่านจะคิดอย่างไร???
อย่าลืมนะครับ กฎหมายคุ้มครององค์พระประมุขแห่งรัฐนั้น มีทุกประเทศ แม้แต่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอเมริกาเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก ไม่ได้บัญญัติเรื่องนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ภายหลังศาลสูงของญี่ปุ่นเอง เป็นผู้วินิจฉัยว่า ห้ามละเมิดองค์จักรพรรดิ ในวันที่ 20 พ.ย. 1989
ที่สำคัญคือ การคุ้มครององค์ประมุขแห่งรัฐไม่เพียงแต่คุ้มครองตามมาตรา 112 แต่ยังมีกฎหมายมาตรา 133 ที่มีสาระเหมือนกัน แต่คุ้มครองประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ รวมทั้ง มาตรา 134 ให้ความคุ้มครองผู้แทนรัฐต่างประเทศ ในเนื้อหาเดียวกันอีกด้วย
สิ่งที่ต้องถามแกนนำม็อบ ถ้าจะขอยกเลิกมาตรา 112 ทำไมไม่ขอยกเลิกมาตรา 133 และมาตรา 134 ด้วย หรือจะให้คุ้มครองเฉพาะประมุขรัฐ และผู้แทนประมุขรัฐต่างประเทศ แต่ไม่ต้องคุ้มครององค์ประมุขรัฐของไทย
วันนี้แกนนำม็อบจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบสาธารณรัฐ จึงขอให้ยกเลิกมาตรา 112 อีกหน่อย คิดอยากจะหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นใคร ก็คงต้องไปร้องให้ยูเอ็น กดดันรัฐบาลให้เลิกมาตรา 326 และ 393 จะได้ไม่มีความผิด
#ไม่คิดชั่วไม่เห็นต้องกลัว 112”
สำหรับ กิจกรรม “ยกเลิก 112 สิแล้วเราจะเล่าให้ฟัง” ของกลุ่มราษฎร 2563 ที่จัดขึ้นเนื่องในวันรัฐธรรมนูญ และวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธ.ค. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 น.
ในช่วงบ่าย “เพนกวิน” นายพริษฐ์ ชิวรักษ์ แกนนำราษฎร 2563 เปิดเผยว่า “ตอนบ่ายโมงมีปาฐกถาพิเศษจากแดนไกล ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง”
ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่า ใครเป็นผู้ปาฐกถาพิเศษจากแดนไกล แต่แกนนำราษฎร 2563 บอกให้รอถึงเวลาก่อนได้รู้พร้อมกัน
พอถึงเวลา 13.00 น. ปรากฏว่า ปาฐกถาพิเศษจากแดนไกล ไม่ใช่ใครอื่น คือ นายปวิน (สุรชัย) ชัชวาลพงศ์พันธ์ ที่โจมตีสถาบันอยู่ต่างประเทศนั่นเอง (จากไทยโพสต์)
แน่นอน, ประเด็นยกเลิก ม.112 และให้ยุติการดำเนินคดีคณะราษฎร 2563 ทุกคน กลับมาเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากแกนนำคณะราษฎร และแนวร่วมถูกดำเนินคดีกันเป็นระนาว หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม “ไฟเขียว” ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรากับทุกความผิดอย่างเคร่งครัด เนื่องจากผู้ชุมนุมคณะราษฎร เริ่มเหิมเกริม จาบจ้วงสถาบันเป็นว่าเล่น
ดังนั้น การเรียกร้องให้ยกเลิก ม.112 และยุติการดำเนินคดีกับคณะราษฎร ครั้งนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากการสร้างความกดดันให้ปล่อยตัวแกนนำคณะราษฎร ทุกครั้งที่ถูกจับกุมด้วยคดีอื่น ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการเรียกระดมมวลชนไปกดดันยังสถานที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหา หรือเรือนจำในบางคดีนั่นเอง
ต่างกันก็แต่ ถ้ารัฐบาลยอมทำตามข้อเรียกร้อง หรือพลังกดดัน โดยยกเลิก ม.112 ผลที่จะตามมาก็คือ ความวุ่นวายของบ้านเมือง จะเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะอย่าลืมว่า การต่อสู้ในประเด็น “ปฏิรูปสถาบัน” อยู่ในเวลานี้ ไม่ได้มีแต่ฝ่ายคณะราษฎร 2563 และม็อบเยาวชนปลดแอกเท่านั้น หากแต่ยังมีฝ่ายที่จงรักภักดีต่อสถาบัน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และหลายกลุ่ม ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านม็อบเยาวชนปลดแอก และคณะราษฎร 2563 แล้วด้วย
ลองจินตนาการดูว่า ฝ่ายที่จงรักภักดีต่อสถาบัน จะยอมให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันโดยเสรี ชนิดที่ไม่อาจทำอะไรได้เลยในทางกฎหมายหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ฝ่ายม็อบเยาวชนปลดแอกและคณะราษฎร 2563 รวมทั้งแนวร่วม กลุ่มผู้หนุนหลังทั้งหลาย ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดี
สุดท้าย คงหนีไม่พ้น เหตุการณ์ความรุนแรง และก็ไม่แน่ใจว่า “ปิยบุตร” อาจเข้าใจเรื่องนี้ดีหรือไม่ จึงเลือกหนทางประนีประนอมมากกว่า ส่วนคนที่ต้องการ “ล้มสถาบัน” ความรุนแรงอาจเป็นยอดปรารถนาของพวกเขาก็เป็นได้ เพราะนั่นหมายถึงความสุกงอมของสถานการณ์ และเป็นโอกาสที่จะเอามหาอำนาจเข้ามาจัดการสถาปนาประชาธิปไตย อย่างที่พวกเขาต้องการ โดยที่พวกเขาอาจไม่สนใจแม้แต่น้อยว่า คนไทยส่วนใหญ่จะต้องเจอกับปัญหาอะไรตามมา หนักหนาสาหัสแค่ไหน
เหนืออื่นใด เมื่อทุกอย่างเริ่มชัดเจน คนไทยก็ต้องชัดเจนด้วย ว่าจะเลือกอย่างไร กับอนาคตประเทศไทย จะเดินตามม็อบเด็ก ที่กลุ่มคนสีเทาอยู่เบื้องหลัง หรือแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป และน่าจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะวิเคราะห์ได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร หาไม่อาจจะสายเกินไป และได้แต่เสียใจในภายหลังก็เป็นได้ คิดดูให้ดี.