เอาล่ะสิ “3 นิ้ว” ยึดยุทธศาสตร์ ไม่เลือกยุทธวิธี โกรธถูกดำเนินคดี ม.112 “จรัล ดิษฐ์” หนุนช่วย ฟ้อง “อียู-ยูเอ็น” ละเมิดสิทธิมนุษยชน “ดร.กิตติธัช” ชี้ หมดยุค “ค้อน-เคียว” เพจม็อบ ระบุ พระราชวังสร้างด้วยแรงงาน หมายความว่า?...
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (8 ธ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Jaran Ditapichai ของ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประธานสมาคมนักประชาธิปไตยชาวไทยไร้พรมแดน ลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความระบุ ว่า
“เห็นที่ไทย มีการถกเถียงโลโก ค้อน เคียว วันนี้ ผมได้รับอีเมลชวนฟังอภิปราย “โฮชิมินกับสมัชชาแห่งตูร์” ในวาระครบรอบ 100 ปีของพรรคคอมิวนิสต์ฝรั่งเศส ซึ่ง ท่านโฮ ชิ มิน ผู้นำกอบกู้เอกราชและการปฏิวัติเวียดนาม ไปร่วมประชุมครั้งประวัติศาสตร์นั้นด้วย
อนึ่ง ท่านโฮ ชิ มิน มีบทบาทในการตั้งพรรคคอมมิวนิสต์สยาม และเป็นมิตรสากลของท่านปรีดี พนมยงค์ และประชาชนไทย อีกด้วย
วันนี้ ตำรวจเรียกแกนนำคณะราษฎร ไปรับทราบข้อกล่าวหา 112 จำนวน 11 คน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกษัตริย์และรัฐไทยมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง
2 วันก่อนหน้าวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธันวาคม เมื่อวานนี้ ผมแจ้งข่าวนี้ ไปยังสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชน และสหภาพอียู ให้ติดตามแนวโน้มที่รัฐบาลไทยจะกวาดจับนักเรียนนักศึกษาประชาชนที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้จริง มากขึ้น
# ยกเลิกมาตรา 112.”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ของ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์หัวข้อ “กาเหว่าอาการหนัก!!!”
ก่อนนี้หนุนม็อบฮ่องกงให้แยกจากจีน และให้สหรัฐฯ-อังกฤษ มาปกครองฮ่องกงแทน!!!!
อ้างว่าจีนเป็นเผด็จการเป็นคอมมิวนิสต์!!!!
วันนี้เปลี่ยนมานิยมคอมมิวนิสต์ อ้างว่า เป็นรัฐที่เสมอภาค!!!!
น่าจะไปแสดงระบำเปลี่ยนหน้ากากนะ
จะเปลี่ยนได้เร็วขึ้นทุกนาที!!!
ต่อไปนี้ไม่มีคณะราษฎร์หรือคณะราษฎรแล้วนะตัว
อย่าเผลอเจียวละ!!!!
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ของ ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้านปรัชญาการเมือง โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมา นักคิดจำนวนมากได้พัฒนาแนวคิดสาย Marxist ไปเป็น Neo-Marxist โดยนำวิธีมองแบบวิภาษวิธีมาดูความเคลื่อนไหวของสังคม เพื่อให้เข้าใจกลไกการเจรจาต่อรองของกลุ่มต่างๆ อย่างมีพลวัต (แต่ไม่หลงไปกับความฝัน ลมๆ แล้งๆ ในการปฏิวัติสังคมของมาร์กซ)
ส่วน Marxist ในไทย ยังคงวนเวียนกับแนวคิดแบบ Orthordox Marxist หรือ มาร์กซิสต์ดั้งเดิม ที่หมกมุ่นแต่กับ “ปฏิวัติล้มล้างการปกครอง” และฝันถึงแต่สังคมในยูโทเปีย (ที่สุดท้ายชนชั้นปกครองใหม่ก็กลายเป็นพวกที่กดคนส่วนใหญ่ของสังคมโดยอ้างความเท่าเทียม)
วันนี้ไม่น่าเชื่อว่า การนำสัญลักษณ์ค้อนเคียว และ ความคิดจากเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วมาใช้ จะยังคงมีอยู่ ในขณะที่ประเทศต้นฉบับเลิกไปแล้ว (หรือที่ยังมีก็เป็นสังคมนิยมอีกแบบ ที่ห่างไกลจากต้นฉบับเป็นคนละเรื่องเลย... )”
ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊ก “เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH” ซึ่งเป็นเพจหลักที่คอยสั่งการม็อบราษฎร 2563 เคลื่อนไหวชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ ได้โพสต์ทิศทางการเคลื่อนไหว โดยตั้งเป้าที่จะ RESTART THAILAND อ้างว่า เพื่อสร้างสังคมที่ “คนเท่ากัน” พร้อมโพสต์สัญลักษณ์ RT โดยตัว R เหมือน “เคียว” ส่วนตัว T เหมือน “ค้อน” เมื่อช่วงเย็นวานนี้นั้น
ล่าสุด ในสังคมออนไลน์ มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ถึงสัญลักษณ์ดังกล่าวว่า เป้าหมายของกลุ่มราษฎร 2563 ต้องการให้ประเทศไทยมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือแบบคอมมิวนิสต์กันแน่
ขณะที่ กลุ่มแนวร่วม ม็อบราษฎร 2563 อย่าง นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” ได้ออกมาโพสต์ท้วงติงว่า “รูปค้อนและเคียวไม่ควรนำมาเป็นสัญลักษณ์ เพราะคุณจะถูกผลักให้เป็นคอมมิวนิสต์ ผู้ใหญ่ช่วยกันเตือนด้วยครับ”
สำหรับสัญลักษณ์ “ค้อนเคียว” เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของลัทธิคอมมิวนิสต์ มักใช้เพื่อเป็นเครื่องหมายของลัทธิคอมมิวนิสต์ พรรคคอมมิวนิสต์ หรือรัฐคอมมิวนิสต์ต่างๆ สัญลักษณ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีจากการที่นำรูปดังกล่าวไปใช้ในธงชาติสหภาพโซเวียต (ล่มสลายไปแล้ว) ควบคู่ไปกับรูปดาวแดง และยังถูกนำไปใช้ในธงและตราสัญลักษณ์ต่างๆ อีกจำนวนมาก” (ไทยโพสต์)
อย่างไรก็ตาม เพจเฟซบุ๊ก “เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH” ซึ่งเป็นเพจหลักที่คอยสั่งการม็อบราษฎร 2563 เคลื่อนไหวชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ ได้โพสต์ข้อความอีกครั้งว่า
“พระราชวัง เกิดจากน้ำมือของแรงงาน ภาษีทุกบาท มาจากความทุกข์ยากของแรงงาน แต่แรงงานกลับต้องกระเสือกกระสนภายใต้รัฐล้มเหลวแห่งนี้ ไม่แม้แต่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถูกมองเป็นเพียงฝุ่นใต้ตีน ไม่เห็นคุณค่าความเป็นคนเท่าๆ กัน
“แรงงานสร้างชาติ มิใช่มหาราชองค์ใด” โปรดติดตาม เร็วๆ นี้ RESTART THAILAND”
ไม่เพียงเท่านั้น เพจเฟซบุ๊ก แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม - United Front of Thammasat and Demonstration ยังโพสต์ข้อความ ระบุว่า...
“แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม x Mob Fest วันที่ 10 ธันวาคมนี้ นอกจากจะเป็นวันรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นวันสิทธิมนุษยชนสากลอีกด้วย เรามีอีเวนต์สำคัญ จะเป็นอะไรนั้น โปรดติดตามประกาศถัดไป...
#ยกเลิก 112”
สอดรับกับ ภายหลัง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ แกนนำม็อบคณะราษฎร เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกคดี ม.112 ที่ สภ.เมืองนนทบุรี
แกนนำทั้งหมดได้ออกจากห้องสอบสวนมาขึ้นรถขยายเสียง นายพริษฐ์ กล่าวว่า “เมื่อวานนี้ (7 ธันวาคม 2563) พ.ต.อ.สีหเดช สระกอบแก้ว ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี ได้โทรศัพท์มาแจ้งกับทางทนาย ว่า หลังสอบปากคำจะนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดนนทบุรี แต่ด้วยแรงของพี่น้องประชาชน ทำให้ตำรวจไม่นำตัวพวกเราไปฝากขังและปล่อยตัว โดยวันที่ 10 ธันวาคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ ทางกลุ่มราษฎรจะมีการจัดกิจกรรมที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.และจะมีการเรียกร้องยกเลิกมาตรา ม.112 นอกจากนี้ ผมจะร้องเพลงฉ่อยให้พี่น้องประชาชนฟัง...”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าจับตามองก็คือ การต่อสู้ทุกรูปแบบ ที่จะดึงมวลชนร่วมปฏิวัติประเทศ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่เลือกว่า ประชาชนจะเข้าร่วมด้วยความคับข้องใจ แค้นใจ เดือดร้อนใจเรื่องอะไร หรือ มีลัทธิความเชื่อ อุดมการณ์อะไร ซึ่งมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์เดียวกัน คือ ต่อสู้กับผู้มีอำนาจในประเทศ อย่างที่พวกเขาเปิดเผยชัดเจนไปแล้ว
กลยุทธ์นี้ เข้าทำนอง “ยึดยุทธศาสตร์เอาไว้ให้มั่น โดยไม่เลือกยุทธวิธีในการต่อสู้” เพื่อชัยชนะเดียวกันของทุกแนวร่วม
ความจริง ก่อนหน้านี้จะเห็นว่า ม็อบราษฎร 2563 พยายามที่จะเปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายชื่อ จนถูกล้อเลียนว่า ม็อบร้อยชื่อ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง ก็เพื่อที่จะขยายฐานมวลชนที่จะเข้าร่วมชุมนุม อย่าง เดิมเป็นม็อบเยาวชนปลดแอก ต่อมาก็เป็นม็อบประชาชนปลดแอก เพื่อที่จะทำให้ชื่อมันกว้างขึ้น ฯลฯ แต่สุดท้าย ก็ดูเหมือนไม่ได้ผลมากนัก เพราะกลุ่มที่มาเป็นฐานมวลชนในการชุมนุมให้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนเสื้อแดง ที่แกนนำและ ส.ส.บางพรรคชักนำเข้าร่วม และฐานเสียง สาวกของกลุ่มนักการเมืองบางกลุ่ม โดยมีนักเรียน นักศึกษาขาประจำและขาจร เข้ามาผสมในแต่ละครั้งเท่านั้น
และท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้น เมื่อม็อบเริ่มถูกเปิดโปงเป้าหมายการต่อสู้ที่ชัดเจน และพวกเขาก็เปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจน ว่า สู้กับอะไร ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศเริ่มไม่ไว้วางใจที่จะให้บุตรหลานเข้าร่วม หลายคนเริ่มไม่ทน เริ่มก่อรูปของกลุ่มปกป้องสถาบัน กลุ่มจงรักภักดีต่อสถาบัน เริ่มมีคนออกมาไล่นักการเมืองบางคน ที่ถูกมองว่า อยู่เบื้องหลังการชุมนุมของเยาวชน ส่วนการชุมนุมของม็อบราษฎร 63 ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งเผยตัวตนที่ไม่เหมาะสม ทั้งการปฏิบัติ และการปราศรัยจาบจ้วงโจมตีสถาบัน จนคนไทยส่วนใหญ่เริ่มรับไม่ได้
ถึงวันนี้ เป็นอีกครั้งที่ผู้วางแผนอยู่เบื้องหลัง ประเมินแล้วว่า การต่อสู้เพื่อ “ปฏิรูปสถาบัน” โดยการชุมนุม ปิดถนนใหญ่ๆ ซึ่งเป็นเส้นเลือดเศรษฐกิจ และสถานที่สำคัญทางการเมือง เพื่อต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ เกือบจะทั่วกรุงเทพฯ ไปแล้ว แต่ทำอย่างไรก็ไม่ได้ผล เพราะกลไกอำนาจรัฐไม่เต้นตาม กระทั่งได้ข้อสรุปว่า ปัญหาอาจอยู่ที่จำนวนมวลชน และเงื่อนไขที่ไม่แหลมคมเพียงพอ ก็เป็นได้
จึงผลักดันกลยุทธ์ใหม่ออกมา เพื่อที่จะรวมเอาทั้งกรรมกร และชาวนา ที่เป็นฐานคนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าร่วมให้ได้ โดยสร้างสัญลักษณ์ “ค้อน เคียว” แห่งความเสมอภาค เป็น “จุดขาย” แม้ว่า เสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่า เป็น “คอมมิวนิสต์” อย่างที่ถูกกล่าวหาอยู่ในเวลานี้ก็ตาม
เพราะดูเหมือน สิ่งที่ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการ อาจไม่ใช่ ม็อบที่ต่อสู้อย่างสันติ ดีงาม ตามแนวทางประชาธิปไตยอีกต่อไป อย่าลืมว่า วันก่อน อานนท์ นำภา ทำนายเอาไว้ก่อนแล้วว่า การใช้มาตรา 112 กับแกนนำม็อบ จะนำไปสู่เหตุการณ์ที่รัฐบาลและผู้มีอำนาจถูกต่อต้านทุกรูปแบบ และเน้นทุกรูปแบบด้วย ดังนั้น จึงอาจไม่สำคัญแล้ว ที่จะเป็นลัทธิอะไร ขอเพียงรบกับเป้าหมายที่ต้องการโค่นล้มได้ก็พอแล้ว
เหนืออื่นใด ถ้าม็อบยกระดับการต่อสู้โดยไม่เลือกยุทธวิธีจริง ไม่ว่าจะด้วยความไม่พอใจ ม.112 และต้องการตอบโต้ แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน หรือ มีแผนที่จะเดินแนวทางนี้อยู่แล้วก็ตาม สิ่งที่คนไทยจะต้องเตรียมพร้อมรับมือ ก็คือ สถานการณ์ที่อาจลุกลามบานปลายไปสู่ความรุนแรงได้ง่าย และความวุ่นวายภายในประเทศ
ที่น่ากลัวไปกว่านั้น คือ เราไม่รู้เลยว่า คนที่อยู่เบื้องหลังต้องการอะไร แค่ไหน และการเมืองไทยกำลังรับมืออยู่กับม็อบเด็กเท่านั้น หรืออะไรกันแน่ นี่คือ การบ้านสำหรับคนไทยทุกคน ไม่ใช่แค่รัฐบาล และจะประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว