xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

REPUBLIC OF DUCK สาธารณรัฐ “เป็ดต้ม” อีเวนท์เบิ้มๆ ดัน “บึ้ม” กันเอง เงินบริจาคฉาว-ท่อน้ำเลี้ยงโผล่

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็นสัญลักษณ์เคลื่อนไหวของ “ม็อบราษฎร” ไปซะแล้ว

สำหรับ “เจ้าเป็ดเหลือง” ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นห่วงยางรูปเป็ดที่ถูกนำมาใช้ครั้งแรกครั้งการชุมนุมที่หน้าอาคารรัฐสภา เมื่อ 17 พ.ย.63 ที่ผ่านมา จากนั้นก็มีการใช้ “น้องเป็ด” ในระหว่างการชุมนุมเรื่อยมา

ขนาด “ส.ส.พรรคก้าวไกล” หลายคนที่ปฏิเสธคนเป็นเอ็นว่า "ไม่เกี๊ยว..ไม่เกี่ยว” กับม็อบราษฎร ยังพกพา “เป็ดเหลือง” เข้าไปเป็น “พร็อพ” ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ไม่เพียงเป็นพร็อพถ่ายรูปเก๋ๆ หรือเป็นโล่ป้องกันสายน้ำแรงดันสูงจาก “รถจีโน่” เท่านั้น ยังถูกให้เกียรติอย่างสูง ในการนำมาเป็นภาพบน “ธนบัตรคณะราษฎร” ที่พิมพ์แจกกันเมื่อการชุมนุมวันที่ 25 พ.ย.63 ที่บริเวณหน้าธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ถ.รัชดาภิเษก

ทำให้การชุมนุมช่วงหลังของคณะราษฎร ราวกับต้องการสถาปนา “สาธารณรัฐเป็ด” หรือ REPUBLIC OF DUCK อย่างไรอย่างนั้น

จะไม่ให้คิดไปไกลได้อย่างไร เมื่อเดิมทีมีการประกาศกร้าว ให้ผู้ชุมนุมใช้ “ธนบัตรคณะราษฎร” หรือ “แบงก์เป็ด” เป็นสกุลเงินภายในม็อบ ยามจำจ่ายใช้สอยอุดหนุน “CIA” อันเป็นนิกเนมของ “รถขายลูกชิ้น” เพื่อทดแทนธนบัตรที่ใช้กันตามปกติ

แต่พอถูกทักดังๆว่า “คุกๆๆๆ” เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.2501 ในมาตรา 9 ได้บัญญัติไว้ว่า “ห้ามผู้ใดทำ จำหน่าย ใช้หรือนำออกใช้ซึ่งวัตถุหรือเครื่องหมายใดๆ แทนเงินตรา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีการกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนไว้ คือ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”

รวมไปถึงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 อีกด้วยที่บัญญัติว่า ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือทำปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ๆ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 10 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 2 แสนบาทถึง 4 แสนบาท”

ขยี้ตาอ่านข้อหาหลังเจอ “คุกตลอดชีวิต” เข้าไป เท่านั้นแหละกลับตัวกันแทบไม่ทัน ขอเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “คูปองเป็ดเหลือง” เพื่อ “เลี่ยงบาลี” และออกมาแค่ 3 พันใบ แต่ก็ดูถ้าจะไม่ทันการ ด้วย “เจตนา” หวังเสียดสี-ล้อเลียนอย่างโจ๋งครึ้ม ปล่อยคิวให้ “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร่างคำร้องรอชงแบบหวานเจี๊ยบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องฟันได้ทันที

“บิ๊กเซอร์ไพร์ส” ที่ตระเตรียมไว้แบบ “เบิ้มๆ” ที่ไหนได้กลายลายเป็น “คดีเบิ้มๆ” ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลยว่า การกระทำดังกล่าว กำลังพาตัวเองโดนอีกข้อหาหนัก

โดนไปอีก 2 กระทง เรียกว่า “ปั่นเป็ด” จนเป็ดหางานมาให้

ด้วยความ “คิดน้อย-คิดสั้น” อย่างไรไม่ทราบ ส่งผลให้ระยะหลังๆการชุมนุมของ “แก๊งปลดแอก” ที่ขนานนามกันใหม่เป็น “แก๊งราษฎร” ที่เคยหวือหวาวี้ดวิ้ว ชัก “เฝือๆ” ไม่ “เฟสติวัล” อย่างที่คิด

ในทางกลับกันคล้ายจงใจปั่นสถานการณ์ให้ “ตูมตาม” เกิดความรุนแรงมากกว่า

ทั้งการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พ.ย.63 ที่แม้ผู้ชุมนุมเหมือนถูกกระทำโดย “รถจูโน่” รถควบคุมฝูงชนที่จัดหนักทั้ง “น้ำสี” พอให้แสบๆคันๆ ตามด้วย “แก๊สน้ำตา” เป็นลูกๆ ที่ทำเอาเสียน้ำตากันเป็นสายน้ำ แล้วยังมีเหตุปะทะกับ “กลุ่มคนสวมเสื้อเหลือง” จนมีเหตุยิงกันเกิดขึ้นที่บริเวณแยกเกียกกาย

ทว่า กลับพบ “ปลอกกระสุน” ตกอยู่ทางฝั่ง “แก๊งราษฎร” ที่เมื่ออิงตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ที่ว่า ปลอกกระสุนย่อมตกอยู่ใกล้คนยิง เห็นเค้าลางความไม่ชอบมาพากล ประมาณ “สร้างสถานการณ์”

แม้วันนั้นจะใช้ลูกพลิ้วโบ้ยว่ามี “มือที่ 3” มามั่วก็ว่าไป

ถัดมาสมรภูมิหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อ 25 พ.ย.63 ที่มีเพียง “ม็อบราษฎร” เพียงกลุ่มเดียว คราวนี้ “คาตา” เมื่อสำนักข่าวดังกำลังไลฟ์สดสรุปเหตุการณ์หลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุม เผอิญจับภาพ “มือบึ้ม” ได้คาหนังคาเขา พร้อมด้วยเสียงเปรี้ยงๆ ตามมา

งานนี้ได้ตัว “มือยิง” และ “คนถูกยิง” จับมือใครดมไม่ยาก ที่สำคัญคืองานนี้ตำรวจโดย พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) ในฐานะโฆษก บช.น.ประกาศชัดว่า “มือยิง” เป็น “ทีมการ์ดคณะราษฎร” ที่มาจากสถาบันอาชีวะย่านมีนบุรี และผู้ถูกยิงเป็นทีมการ์ดที่มาจากสถาบันอาชีวะย่านปทุมธานี หรืออยู่ในทีมการ์ดคณะราษฎรด้วยกันเอง

ทำให้ “อีเวินท์เบิ้มๆ” ของ “บิ๊กกวิ้น” พริษฐ์ ชีวารักษ์ แกนนำคนสำคัญของม็อบราษฎร กลายเป็น “อีเว้นท์บึ้มๆ” แต่ดัน “บึ้ม” กันเอง

เท่ากับว่าการชุมนุมที่ประกาศ “สันติอหิงสา” ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ทุกพื้นที่หาใช่ “เซฟตี้โซน” เมื่อมีการพกพาอาวุธกันอย่างไม่เกรงอาญาแผ่นดิน แถมระบบจัดการของม็อบก็ “ไม่มืออาชีพ” แนวโน้มสถานการณ์ส่อเค้าไปในทางที่จะแรงขึ้นไปอีก

เข้าทำนอง “เสียงปืนแตก” มีกระสุนนัดแรก ย่อมมีนัดต่อไป เป็นไปในวิถีทางของหลายม็อบ ไม่ว่าจะเป็นการ “เอาคืน” หรือ “ผสมโรง”

เสียงปืนนัดแรก จะเป็นการเปิดช่องให้สารพัด “ไอ้โม่ง” เข้ามาสร้างสถานการณ์ ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหน เพื่อหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
กลุ่มราษฎรเอง บรรดาการ์ดส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็น “เด็กอาชีวะ” หรือ “กลุ่มฟันเฟือง” จากหลายพื้นที่ แรกๆก็กอดคอกันแหววโชว์สามัคคีชุมนุม ขอบคุณ “ลุงตู่” ที่ทำให้อาชีวะไม่ตีกัน เพราะล้วนมีอุดมการณ์เดียวกัน

ทว่า “คิดน้อย” ไปนิดว่าสถาบันอาชีวะหลายแห่ง “แค้นฝังหุ่น” รอวันชำระกันตลอดเวลา ยิ่ง “เอาท์ฟิต” ที่สวมใส่เสื้อต่างคว้า “เสื้อช้อป” กันมา เพื่อหวังประกาศศักดาความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของสถาบัน

ประวัติศาสตร์ยาวนาน “เลือดนักสู้” ของชาวอาชีวะ มหากาพย์ “เลือดล้างเลือด” มีให้เห็นไม่ว่ายุคอนาล็อก หรือดิจิทัล ธรรมชาติเด็กวัยคะนอง ต่างโรงเรียนต่างสถาบัน จะให้ผนึกรวมเป็นหนึ่ง ร่วมแรงร่วมใจกันคุ้มกันผู้ชุมนุม ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ในเชิงปฏิบัติ

เมื่อรวมตัวกันมากๆ “ต่างสี-ต่างกลิ่น” หนีไม่พ้นต้อง “เขม่น” กันในที่สุด จะมีเสียงโป้งป้างก็ไม่แปลก

มีหลายกลุ่ม ทั้งการ์ดอาสา การ์ดอาชีวะที่มาจากคนละสถาบัน การ์ดอาชีพที่เป็นอดีตข้าราชการ เป็นคนละเนื้อเดียวกัน ไม่มีใครที่เป็น “เจ้าภาพ” ในการประสานให้ทุกกลุ่มทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และไม่มีใครฟังใครจริง เวลาเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า

การชุมนุมแต่ละครั้ง “แกนนำที่ไม่ใช่แกนนำ” มีในปัจจุบันคุมกันเองยังไม่ได้ ต่างจาก “ม็อบอาชีพ” ที่กว่าแกนนำจะประกาศทิศทางไหน มีการประเมินอย่างรอบด้านรัดกุม

คำถามกระแทกไปแรงๆถึง “แกนนำม็อบ” ที่ตีฆ้องร้องป่าวให้คนออกมาชุมนุมกันมากๆ โยกย้ายสถานที่ไปเรื่อย “ตามอำเภอใจ” แบบไม่มีมาตรการรักษาความปลอดภัย หรือสแกนอาวุธใดๆ มีฉุกคิดถึง “ความรับผิดชอบ” ต่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุมบ้างหรือไม่

ครั้นจะปัดความรับผิดชอบ โยนไปว่าเป็น “ราษฎรปลอม” หรือ “มือที่ 3” ก็ดูจะไร้วุฒิภาวะในฐานะ “ผู้นำม็อบ” เกินไป หรืออ้างดื้อๆประเภท “ม็อบไม่มีแกนนำ” ก็อาจต้องอายฟ้าดินบ้าง

ในบรรดาแกนนำเอง บางคนมีแนวคิดไม่ตรงกัน โดยเฉพาะ “เพนกวิน-พริษฐ์” กับ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล จากค่ายธรรมศาสตร์และการชุมนุม กับกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่นำโดย “อั๋ว” จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ และ “ฟอร์ด” ทัตเทพ พิทักษ์พูลสิน

นี่เองอาจเป็นที่มาของ “ช่วงขาลง” ที่ผู้คนที่แม้ชิงชัง “รัฐบาลลุงตู่” แต่ไม่เฮไหนเฮกันเหมือนช่วงเปิดซีซั่น ระยะหลังมวลชนบางตา-สร่างซา เห็นได้ชัด จากที่เรือนหลายหมื่น ก็เหลือแตะๆ หมื่น หรือบ้างก็ว่าแค่หลักหลายพัน

นอกจากนี้ มุกของม็อบเริ่มจะแป้กหลายครั้ง การเดินทางไปร่วมชุมนุม ก็วนลูปเดิมๆ คือ ด่า “บิ๊กตู่” กับจาบจ้วงสถาบัน ไม่มีอะไรใหม่ ให้ตื่นเต้นหน่อยก็พ่นสี ฝ่าแนวกั้น หวังภาพความรุนแรงจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ แบบไม่มีอะไรสร้างสรรค์

เซอร์ไพร์ส หรือ ชุมนุมแบบเบิ้มๆ ไม่เคยมีอยู่จริง เซอร์ไพร์สแต่ละครั้ง คือ “เซอร์ไพร์สที่ไม่เซอร์ไพร์ส”

ทั้งความไม่แน่นอน-ไม่เด็ดขาดของม็อบ ทำเอาแนวร่วมเบียนหน้าหนีไปเพียบ อีกยังมีประเด็น “จาบจ้วง-ล้มล้าง” ที่ “ไทยส่วนใหญ่” ไม่เอาด้วย






“แบงก์เป็ด” ก็เป็นอีกกรณีที่ประจาน “ต้นไอเดีย” ว่า ไม่ยอมรับความเป็นรัฐไทย เงินตราสกุลบาทไทย หรืออย่างไร ถึงต้องอุปโลกน์ “สกุลเงินม็อบ” ขึ้นมา
ขาลงของม็อบดูไม่ยาก แกนนำหลายคนทำตัวเป็น “เจ้ากรมข่าวลือ” ปล่อยข่าวปั่นกระแสเป็นรายวัน ทั้งคลาสสิกอย่างการทำรัฐประหาร ที่ปล่อยเอง แชร์เอง เชื่อกันเอง หรือหลอนๆก็บอกว่า จะมีการประกาศกฎอัยการศึก เพื่อรับมือม็อบที่จะมาสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทั้งที่สถานการณ์ยังห่างไกล

หากวัดกับสถานการณ์การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2552-53 หรือการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ปี 2556-57 วันนี้มันยังห่างกันลิบลับ

เป็นอาการ “หลอน” ของแกนนำ ที่รู้ว่านับวันกระแสจะ “เตี้ยลงๆ” ขนาดได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ก็ยังเอะอะมะเท่งว่า ทหารยึดอำนาจแล้ว ทั้งที่เป็นเรื่อง “ภารกิจพิเศษ”

หัวขบวนอย่าง อานนท์ นำภา ยังเล่นลูกไม้ตื้นๆว่า “บิ๊กตู่” จะประกาศลาออกไม่กี่วัน ทั้งที่ “บิ๊กตู่” ยังเดินสายออกงานอย่างอารมณ์ดี ราวกับว่า ไม่มีการชุมนุมในประเทศด้วยซ้ำ

และหากจะออกจริง การพ้นไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีอยู่บ้านหลวง วันที่ 2 ธ.ค.63 น่าจะเป็นบันไดลงที่สมเหตุสมผล มากกว่าการไขก๊อกแบบดื้อๆ

ไม่ใช่แค่ปัญหาความสะเปะสะปะเท่านั้น “ก๊วนราษฎร” ยังเจอคำถามตัวโตๆเรื่อง “เงินๆ ทองๆ” ที่ว่ากันว่า มีรายการ “อม” เข้ากระเป๋า หรือ “สู้แล้วรวย ภาค 2” จนเกิดรายการ “แฉกันเอง” ให้เห็นบ่อยๆ

คำถามและข้อเรียกร้องถึง “บัญชีรายรับ-รายจ่าย” ไม่เคยได้รับการตอบรับใดๆ กระทั่งดรามากระแทก “พ่อยก-แม่ยกแห่งชาติ” อย่าง “เฮียบุ๊ง” ปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ “แม่ทราย” อินทิรา เจริญปุระ โดนกันไปหลายดอก ก็ยกไหล่โนสนโนแคร์ ไม่ตอบ ไม่ชี้แจง

ล่าสุด “เฮียบุ๊ง-ปกรณ์” ออกมาระบายความอัดอั้นยืดยาวผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมตัดพ้อว่า “หมดพลัง-เสียความรู้สึก” กับเรื่องการ์ด หลังเกิดเหตุปะทะกันเองที่หน้าไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ ทว่ากับประเด็น “เงินบริจาค” ตอบแบบไม่ตอบแค่ว่า

“ส่วนดรามาให้แจงเรื่องเงิน… กูกับทรายขอตอบเลยว่า... ไม่แจง และจะไม่แจงแม้แต่บาทเดียว กูจะเอาไปทำไรก็เรื่องของพวกกู ใครมีปัญหาเรื่องนี้ นั่นคือเรื่องของมึง ไม่ใช่เรื่องของกู”

เป็นคำตอบที่ห่างไกลธรรมาภิบาล “โปร่งใส-ตรวจสอบได้” แต่กลับมามาอยู่ในม็อบที่ร้องแรกแหกกระเฌอให้ตรวจสอบ “คนอื่น”

พูดถึงเรื่องเงินๆทองๆ ยังมีชอตเด็ดคนดัง ในค่ำคืนวันที่ 22 พ.ย.63 ที่ “เสี่ยกวิ้น-พริษฐ์” แวะไปโชว์ตัวที่การชุมนุม ถ.อักษะ ย่านพุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อ “เจ๊เจี๊ยบ นครปฐม” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ก็ไปโอบกอดให้กำลังใจ “เพนกวิน” มีจังหวะที่ ส.ส.คนดัง ยัด “วัตถุต้องสงสัย” ใส่มือแกนนำม็อบคนดัง ก่อนที่ “เพนกวิน” จะงัดขึ้นมาสูดดมไปฟอดใหญ่ แล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงไป

เมื่อคลิปจังหวะนั้นหลุดออกมา ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงว่า “ส.ส.เจี๊ยบ” ที่เคยประกาศกลางสภาฯว่าไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม จะเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” ของม็อบราษฎรหรือไม่ ซึ่งก็ไร้คำชี้แจงใดๆจากทั้ง “เจ๊เจี๊ยบ-เพนกวิน” ทั้งที่อุปนิสัยโดยปกติมักไม่ปล่อยผ่านการถูกโจมตีลักษณะนี้

จากความไม่โปร่งใสในหลายเรื่องนี้เอง ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่บั่นทอนกระแสม็อบตั้งแต่วันที่ “พีคสุด” จนมาถึง “ขาลง” ในปัจจุบัน บวกกับ “ประเด็นมิบังควร” ที่ออกมาล่อ “มาตรา 112” ไม่เว้นวัน ก็ตอกย้ำเส้นทางของ “แก็งราษฎร” ว่ากำลัง “เดินลงเหว” อย่างเห็นได้ชัด

ที่มองข้ามไม่ได้ยังมีกรณี “ท่อน้ำเลี้ยงใหญ่” จาก “ต่างประเทศ” ที่ถูกเชื่อมโยงเงินบริจาค-เงินสปอนเซอร์จากหลายองค์กร จนต้องเอาสีข้างเข้าถู อาทิกรณี “iLaw” กับการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มี “ทุนต่างชาติ” หนุนหลังแบบ 100%

ซ้ำรอย “ฮ่องกงโมเดล” ที่ที่สุดแล้วการชุมนุมที่นำโดย “ตี๋น้อย” โจชัว หว่อง ก็ถูกจับได้ไล่ทันว่า มี “ทุนต่างชาติ” ให้การสนับสนุน แถม “ตี๋โจ” ก็ติดตามการเคลื่อนไหวในไทย และคอยใช้พื้นที่โซเชียลเน็ตเวิร์คให้กำลังใจมาตลอดด้วย

ราวกับว่าเป็น “เครือข่าย” เดียวกัน

ในเวลาใกล้เคียงกัน จู่ๆเว็บไซต์ “สำนักข่าวบีบีซี” ของประเทศไทยอังกฤษ ก็เผยแพร่รายงานข่าวเรื่อง 100 ผู้หญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจและทรงอิทธิพลของบีบีซีประจำปี 2020 ปรากฏมีชื่อ “สาวรุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำม็อบราษฎร ที่มาจากกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม มีชื่อติด 1 ใน 100 ของการจัดอันดับดังกล่าว

เป็น “สาวรุ้ง” นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้อ่าน “10 ข้อเรียกร้อง” อันเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ บนเวทีชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63

ซึ่งถูกมองว่าเป็นข้อเรียกร้อง “ล้มล้าง-จาบจ้วง” อีกทั้งยังเป็นการนับ 1 ของการประกาศจุดยืนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ปัจจุบันรวมตัวกันในนาม “กลุ่มราษฎร” อีกด้วย

ในขณะที่ “ไทยส่วนใหญ่” ต่างตั้งคำถามถึง “เป้าหมาย” ของ 10 ข้อเรียกร้อง ที่ฝ่ายม็อบเรียกว่า “ยกเพดาน” และถูกมองว่าวางตัวเป็น “ปฏิปักษ์” กับสถาบันอันเป็นที่เคารพและเทิดทูนของคนไทยทั้งชาติ แต่ “สื่อต่างชาติ” กลับเลือกที่จะยกย่อง “สาวรุ้ง”

สอดคล้องต้องกันกับผลสำรวจ “ซูเปอร์โพลล์” ที่เพิ่งเปิดเผยออกมาเมื่อวันที่ 22 พ.ย.63 เกี่ยวกับความเชื่อและความเห็นเกี่ยวกับฝรั่งหนุนหลังม็อบและไอลอว์

พบว่า ส่วนใหญ่ 97.3% ต้องการให้รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ เอาข้อมูลความจริง แสดงเส้นทางการเงินจากต่างชาติถึง iLaw และเครือข่ายให้คนทั้งประเทศรู้

รองลงมา 94.8% เชื่อว่ามีขบวนการชักศึกเข้าบ้าน เคลื่อนไหวปั่นกระแส ทำคนไทยแตกแยก, 94.7% ระบุ ไม่สบายใจต่อข่าว iLaw รับเงินจากต่างชาติเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญแตะต้องสถาบันหลักของชาติ, 93.5% ระบุ กลุ่มทุนต่างชาติจ้องจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ชาติ หลังคนไทยแตกแยกและสูญเสีย

และ 91.5% ระบุ เชื่อว่ามี กลุ่มทุนต่างชาติ สนับสนุน iLaw แก้รัฐธรรมนูญ แตะต้องสถาบันหลักของชาติ

ย้อนไปเมื่อต้นเดือน พ.ย.63 ที่ผ่านมา “ซูเปอร์โพลล์” เคยสำรวจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่าง “ม็อบ 3 นิ้ว” กับทุนต่างชาติ ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ 83.3% ระบุว่า ไม่แน่ใจว่า รัฐบาลต่างชาติ มหามิตรประเทศไทยมีส่วนร่วมสนับสนุน ม็อบ 3 นิ้วหรือไม่

มีเพียง 8.2% เท่านั้น ที่เชื่อว่ามีส่วนสนับสนุนอย่างแน่นอน ขณะที่ 8.5% ไม่เชื่อ

พิเคราะห์ตามผลสำรวจซูเปอร์โพลล์ก็พอสรุปได้ว่า เวลา 2-3 สัปดาห์เศษเท่านั้น ทำให้คนไทย “ตื่นรู้” และเชื่อว่า “ทุนต่างชาติ” มีส่วนชักใย “ม็อบราษฎร และเครือข่าย” เต็มประตู

น่าสนใจอย่างยิ่งกับผลสำรวจความคิดเห็นที่ระบุว่า คนไทย 91.5% เชื่อว่ามี กลุ่มทุนต่างชาติ สนับสนุน iLaw แก้รัฐธรรมนูญ แตะต้อง “สถาบันหลักของชาติ”

ไม่แปลกที่เมื่อวันที่ 25 พ.ย.63 อันเป็นช่วงที่ “ม็อบราษฎร” ประกาศ “ยกระดับการชุมนุม” ภายหลังจากพลาดพลั้งในเกมแก้ไขรับธรรมนูญ โดยหมุดหมายของม็อบมุ่งไปที่ “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ที่ตั้งอยู่บริเวณ ถ.นครราชสีมา และ ถ.พิษณุโลก ย่านเทเวศร์

ที่ไม่เพียงเจาะจงหน่วยงานอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ยังเล็งเห็นผลถึงพื้นที่ที่คาบเกี่ยวกับ “เขตพระราชฐาน” บีบให้เจ้าหน้าที่ต้องวางมาตรการรักษาความปลอดภัยเต็มรูปแบบในทุกทิศทาง

จริงๆ รัฐบาลไม่ได้ยี่หระอะไรเลยกับการที่กลุ่มราษฎรจะเคลื่อนมาที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพียงแต่วางมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้ามาในบริเวณนี้

เป็นการป้องกันและอารักขาสถานที่สำคัญ เหมือนกับทุกๆ ครั้ง เพียงแต่การนำตู้คอนเทรนเนอร์มา เพราะมีการปรับเปลี่ยนยุทธการเพื่อปรับตัวให้เข้ากับม็อบ ที่สามารถฝ่าแนวแบริเออร์ได้หลายครั้ง

หากรัฐบาลผวาและกลัวม็อบจริง มันจะไม่ได้มีแค่ตู้คอนเทรนเนอร์ หากแต่จะต้องไล่จับแกนนำคนสำคัญเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแล้ว คงไม่จับเพียงแค่หัวหน้าการ์ดอย่าง “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ หรือ “ครูใหญ่” อรรถพล บัวใหญ่ ที่ไม่ได้ป๊อบปูล่าเท่ากับแกนนำคนอื่นๆ

สถานะตอนนี้ คนที่หลอนน่าจะเป็น “ม็อบ” มากกว่า “รัฐบาล” เป็นเหตุให้ต้องย้ายพิกัดไปชุมนุมที่ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่แทน

น่าสังเกตว่า ระยะหลัง “ฝ่ายม็อบ” นอกเหนือจากคำด่ากราดหยาบคายถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และองคาพยพ แล้ว ประเด็นการเคลื่อนไหวใดๆกับไม่มีการพูดถึง “บิ๊กตู่และรัฐบาล” หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ใน 3 ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมเลย

แต่พุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง รวมถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ iLaw ที่ถูกรัฐสภาตีตกไป ก็เป็นร่างที่เปิดช่องให้แก้ไขหมวดการปกครองประเทศ และหมวดพระมหากษัตริย์ ด้วย

รวมกับ “เซอร์ไพร์ส” ที่ประกาศระยะหลัง ที่วนเวียนอยู่กับบุคคลที่มีพฤติกรรม และต้องคดีมาตรา 112 ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งที่งานรับพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปลายเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้ง การชุมนุมที่ถนนอุทยาน - อักษะ เมื่ออาทิตย์ก่อน ไฮไลท์สำคัญมีแค่การวิดีโอคอลหา “เจ๊ปวิน” ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ซุกตัวอยู่ญี่ปุ่น

กระทั่งการชุมนุมที่ย่านราชประสงค์ ก่อนไปรวมตัวหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก็ปรากฎการใช้สัญลักษณ์และถ้อยคำที่ “ล้มล้าง-จาบจ้วง-ล่วงเกิน-ดูหมิ่น” สถาบันพระมหากษัตริย์ ในระดับต้อง “เซนเซอร์”

เฉกเช่นเดียวกับที่บริเวณหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ก็มีการชูป้าย และฉีดพ่นข้อความจาบจ้วงสถาบันฯ

ตามมาด้วย “เซอร์ไพร์ส” กับการเข้าร่วมชุมนุมของ “ส.ศิวรักษ์” สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้เฒ่าที่อ้างตนเป็น “ปัญญาชนสยาม” ก็ไปเข้าร่วมและปราศรัยในการชุมนุมกลุ่มราษฎร ที่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่

แม้เนื้อหาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง แต่ก็ใช้เวทีในการแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่กำลังจะมีการรื้อฟื้น “มาตรา 112” มาเอาผิดกับกลุ่มผู้ชุมนุม

แม้ว่า “ข้ออ้าง” ที่ว่าการใช้มาตรา 112 เป็นการขัดต่อกระแสพระราชดำรัส และพระราชโองการ ที่ให้ยุติการใช้มาตรา 112 อันเป็นรับทราบกันโดยทั่วก็ตาม

แต่การที่ “ส.ศิวรักษ์” ไม่ตำหนิติเตียน “พฤติกรรมมิบังควร” ใดๆ เลย ก็ทำให้รู้เช่นเห็นชาติความเป็น “ส.ศิวรักษ์” ผู้ที่วนเวียนอยู่กับถูกข้อกล่าวหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หลายต่อหลายครั้งในอดีต ได้เป็นอย่างดี

สำคัญที่คดีมาตรา 112 ล่าสุดของ “ส.ศิวรักษ์” ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษ และทรงพระราชทานโอกาสให้เข้าเฝ้าฯแท้ๆ แต่กลับไป “ให้ท้าย” ม็อบที่มีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่เว้นแต่ละวัน

ถือเป็นการเปิด “ตัวละคร” ที่มีข้อเคลือบแคลงถึงจุดยืนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาเรื่อยๆ

เป็นจังหวะที่กำลังจะมีการใช้ “ยาแรง” อย่างการแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กับ “แกนนำม็อบ” เห็นอาการหลายคน “ปากกล้าขาสั่น” กันว่า ไม่กลัว ในความเป็นจริงมันตรงกันข้าม

คำตอบคือ กลัว เพราะมันเป็นการยกระดับของรัฐที่แสดงให้เห็นว่า “ไม่มุ้งมิ้ง” ไปกับม็อบอีกต่อไป

แต่การโดนประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เผลอๆ จะ “ดีในร้าย” ต่อแกนนำม็อบเองด้วยซ้ำ เพราะมีข้อหานี้ติดตัว ทำให้แกนนำทุกคนเริ่มเซาะหา “ช่องทางธรรมชาติ” เตรียม “ลี้ภัยทางการเมือง” ได้ เพราะมีกรณีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วหลายราย

ดังนั้นมองอีกมิติ การที่รัฐใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นการแง้มประตูให้กับแกนนำ โดยเฉพาะบรรดาพวกหัวรุนแรง สุดโต่ง ได้มีทางเลือกถ้าวันใดวันหนึ่งม็อบเป็นฝ่ายปราชัย

ใครที่ใจสู้ ไม่หนี ไม่ลี้ภัย ก็เดินเข้าคุก รอวันพระราชทานอภัยโทษ

คล้าย “ฮ่องกงโมเดล” ที่ยื้อเยื้อแค่ไหนก็ไม่ชนะ แกนนำม็อบกระเจิดกระเจิง บ้างลี้ภัยต่างประเทศ บ้างอยู่สู้คดี ประเภทห้าวเป้งอย่าง “โจชัว หว่อง” ยังต้องรับสารภาพคลอดข้อกล่าวหาในชั้นศาล หลัง “หนักกลายเป็นเบา”

ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ ใครใคร่อยู่ก็ทำใจเตรียมสิ้นอิสรภาพ ใครใคร่หนีก็เตรียมเลือกประเทศ “ศาสดา” ที่บูชา ไม่ว่าจะเป็น “สมเจียม” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่แดนน้ำหอม หรือ “เฮียปวิน” ที่แดนปลาดิบ

จับยามสามตา แลหน้า “แกนนำม็อบ” หลังจากเดินลงเหว ก็คงพากันไม่แคล้วกลายเป็น “เป็ดต้ม” ร้อนรนอยู่ใน REPUBLIC OF DUCK อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน.


กำลังโหลดความคิดเห็น