ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การแตกหักระหว่าง “ฉาย บุนนาค” และ “ต้อย - สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” นั้น รุนแรงหนักหน่วงเพียงใด และยิ่งนานวันก็ยิ่งดุเดือดเลือดพล่านมากขึ้นทุกที ที่สำคัญคือเรื่องนี้มี “เบื้องหน้า - เบื้องหลัง” ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตากันต่อไปก็คือ “ทีมต้อย” ที่ว่ากันว่าได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก “เครือข่ายใหญ่” ในฐานะ “เด็กในบ้าน” ที่ตั้งหน้าตั้งตาเชียร์อย่างไม่ลืมหูลืมตา และย้ายขบวนไปอยู่ที่ “New TV” ช่อง 18 จะสามารถเรียกแฟนานุแฟนให้ย้ายช่องไปติดตามชมได้มากน้อยแค่ไหน และจะประสบความสำเร็จในทางธุรกิจหรือไม่
ส่วน “เนฉาย” ที่ดึง “อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ” อดีตคนเก่าเนชั่นเข้ามาเป็น “ขุนพลคนใหม่” จะแปรสภาพจาก “สลิ่มทีวี” ให้มีความเป็นกลาง มีความเป็นมืออาชีพตามแนวทาง “nation way” สมัย “สุทธิชัย หยุ่น” กลับมาตามที่ฉายประกาศไว้ เพราะชั่วโมงนี้ ภายหลังการเข้ามาของ “อดิศักดิ์” ก็ถูกขุดอดีตที่มีจุดยืนหนุน “ม็อบ 3 นิ้ว” ออกเผยแพร่จนแทบจะทรุดก่อนเริ่มทำงานและพิสูจน์ตัวเอง
เรื่องราวระหว่างของคนสื่ออย่าง “ฉาย - ต้อย และอดิศักดิ์” ทั้งก่อนหน้านี้และต่อไปในภายภาคหน้า บอกได้คำเดียวว่า “ไม่ธรรมดา” และกลายเป็น “ศึกสื่อน้ำดี!? ที่สังคมเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
“ฉาย” ที่ว่าแน่ยังแพ้ “ต้อย”
ใครๆ ต่างก็ชื่นชม “ฉาย บุนนาค” ว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรง เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แม้จะเติบโตมาจาก “ตลาดหลักทรัพย์” และมีข่าวพัวพันกับการเล่นหุ้นที่สุดแสนจะ “หวือหวา” จนเป็นเรื่องเป็นราวปรากฏให้เห็น
แต่สำหรับ “วงการสื่อ” แล้ว ต้องถือว่าฉายเป็นคนหน้าใหม่ที่ไม่ได้มีมือไม้ในการสานต่อธุรกิจที่เขาเข้าไปยึดครองมากมายอะไรนัก ถ้าเทียบกับคนชื่อ “สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม”
“ต้อย-สนธิญาณ” มีคอนเนกชันในแวดวงต่างๆ มาอย่างยาวนานนับตั้งแต่หยั่งเท้าเข้ามาทำ “สื่อ” โดยเฉพาะหลังจากที่เขาจัดตั้ง “สำนักข่าวไอ เอ็น เอ็น” และ “สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน” ก่อนที่จะหันหัวมาก่อตั้งสำนักข่าวทีนิวส์ และทีนิวส์ ทีวี (Tnews TV)
แน่ไม่แน่ ต้อยก็สามารถนำรายการ “เจาะข่าวร้อน ล้วงข่าวลึก” ที่ผิตโดยโดยสถานีโทรทัศน์ ที-นิวส์ ไปออกอากาศทาง “ช่องหอยม่วง” หรือสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) มาแล้ว
ต่อมาต้อยถูกฉายชักชวนมาช่วยฉายสู้กับ “กลุ่มสุทธิชัย หยุ่น” ช่วงที่จะเข้าฮุบกิจการกลุ่มเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ Nation โดยที่มีสัญญาใจส่วนตัวระหว่างกัน
ว่ากันว่า “ฉาย” ช่วย “ต้อย” สะสางหนี้ที่สะสมมากับทีนิวส์ แบบมีเมื่อไหร่ค่อยใช้คืน
ขณะที่ “ต้อย” ก็ตอบแทน “ท่านประธานฉาย” ด้วยคอนเนกชันที่เขาหยั่งลึกในหลายวงการ โดยเฉพาะคอนเนกชันทางการเมืองที่ใครๆ ในบ้านนี้เมืองนี้ต่างรับรู้ว่า ต้อยนั้นเป็น เด็กของ “เครือข่ายใหญ่” ผู้มากบารมีในบ้านนี้เมืองนี้ และ “ เครือข่ายกกปส.” ของ “ลุงกำนัน-สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่เขาเป็นหนึ่งในแกนนำ และสนับสนุน ลุงๆทหาร จนตกปากรับคำทำเนชั่น “ยุคเนฉาย” ให้เป็นกระบอกเสียงรัฐบาลเป็นช่องเชียร์ลุงจนมาถึง “สลิ่มเวย์”
ในช่วงฮันนีมูนพีเรียด “ต้อยและฉาย” ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ด้วยเงื่อนไขและผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างลงตัว สถานการณ์จึงดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่แล้วอยู่ไปอยู่มา “เสี่ยต้อย” กลับสยายปีกด้วยการส่ง “คนของตัวเอง” เข้าทำงานในแทบจะทุกองคาพยพของเครือเนชั่น รวมทั้งยังมีอิทธิพลต่อบรรดาสปอนเซอร์ หรือ “ท่อน้ำเลี้ยง” ในเนชั่นอย่างมีนัยสำคัญด้วย
“ต้อย” ใช้ “ฉาย” เป็นฐานในการทำงานการเมือง เชียร์ Deep State อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ทั้งในรูปแบบของการทำข่าวและการทำ “ไอโอ” (information Operations) หรือใช้คำว่า หลับหูหลับตาเชียร์ทุกเรื่องก็คงจะว่าได้ จนเนชั่นแทบจะไม่หลงเหลือความเป็น “สำนักข่าว” เพราะฉะนั้นถ้า “เครือข่ายใหญ่” จะใช้ใครทำงาน “ต้อย” คือทางเลือกที่ดีที่สุดในโมงยามนี้
นอกจากนี้ ตัวต้อยเองยังได้ใช้สื่อในเครือ โดยเฉพาะ “คมชัดลึก” ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของเขาเป็นฐานในการสร้างชื่อเสียงให้ตนเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ที่คมชัดลึกมักลงไปจัดกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ เช่นการจัดชกมวยในจังหวัดนครศรีธรรมราช บ้านเกิดของเขา เป็นต้น
นอกจากนี้ ต้อยและชาวคณะยังเดินหน้าเปิดศึกหลายด้าน ใครก็ตามที่ไม่ใช่พวกถูกอัดอย่างหนัก กระทั่งสปอนเซอร์พากันถอนตัว และนำไปสู่เหตุการณ์ตึงเครียดเมื่อ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เข้ามากดดัน ฉายจึงอดรนทนไม่ไหว ต้องปลดลูกน้องคนสนิทของต้อยออก ขณะที่ต้อยเองก็ควันออกหูพร้อมกดปุ่มสั่งให้ชาวคณะ รวมถึง “เจ๊ปองและพวก” ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าเป็น “คนของต้อย” ถอนยวงออกจากเนชั่น
ใครๆ ก็รู้ว่า ต้อยผ่านสนามการทำสื่อมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เคยรุ่งเรืองและล้มพับกิจการไปหลายต่อหลายครั้ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ แม้กิจการของเขาจะ “เจ๊ง” ต้องปิดกิจการ พนักงานตกงาน แต่ต้อยก็ยังคงมีเงินมีทองใช้สอยไม่ต่างจากเดิมเท่าใดนัก
ตอนที่อยู่กับฉาย ต้อย-สนธิญาณได้อะไรติดไม้ติดมือไปมากมาย และเมื่อจากไปสร้าง “ลุงทีวี” ที่ใหม่ ก็แว่วว่าได้สปอนเซอร์หนุนหลังก้อนโตจนสามารถขนชาวคณะไปร่วมวงไพบูลย์ได้อย่างสบายๆ
ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่า ไม่ว่าพิธีกรดาวดังทั้งหลายแม้จะพูดจาจากกันด้วยดี จากกันด้วยบรรยากาศราวกับอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่ก็ “ทิ้งบอมบ์ใส่ ฉาย” ไว้เต็มๆ ทั้ง วลีเด็ดจากลูกหม้อเนชั่นอย่าง “กนก รัตน์วงศ์สกุล” ที่ว่า “อยากเป็นกนกคนเดิม” ทั้งวลี “เชื่อในสิ่งที่ทำ ทำให้สิ่งที่เชื่อ” ของ “ธีระ ธัญไพบูลย์”
หรือ “เสรีภาพสื่อ ต้องไม่ใช่เสรีภาพให้ใครมาโกหกยังไงก็ได้ โดยไม่รับผิดชอบต่อคนดูนะครับ” ตามโพสต์ของ” สันติสุข มะโรงศรี”
หรือแม้แต่ “เจ๊ปอง" อัญชะลี ไพรีรัก ที่ได้ช่อดอกไม้และไวน์ดีจากฉาย ที่ก่อนหน้านี้สงวนท่าทีไม่พูดอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจกันก็ออกโรงมาฟาด “วีระศักดิ์ พงศ์อักษร” ว่า “Keep Going นะอันลี keep going เราทำในสิ่งที่เชื่อ และเชื่อในสิ่งที่ได้ทำลงไป และจะทำอย่างนี้ให้ดีขึ้นไปอีกตลอดไป ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง นักข่าวคนหนึ่ง พิธีกรคนหนึ่ง ซึ่งเชื่อมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่เคยบิดเบือน ไม่เคยบิดเบี้ยว ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทำอย่างนี้แต่ไหนแต่ไร ก็เห็นกันอยู่คงไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไรให้มากความ ก็ออกมาดีๆ แท้ๆ”
พูดง่ายๆ ระหว่าง “ต้อยและฉาย” แรกๆ สองคนคบหามาด้วยผลประโยชน์ เมื่อถึงคราวขัดแย้งแตกหัก ก็ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากผลประโยชน์เช่นกัน
ดังนั้น ถ้าจะกล่าวว่า “ฉาย” ที่ว่าแน่ ยังแพ้ “ต้อย” คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
ส่วนฉายเองจะว่าไปก็ได้คอนเนกชันจากต้อยต่อสายถึงผู้ใหญ่ช่วยดูแลเรื่องคดีความฉาวที่เคยทำหวือหวาเอาไว้สมัยเป็นนักลงทุนที่ถึงขั้นติดคุกติดตะรางได้ ไม่เชื่อก็ลองไปดูสำนวนบางคดีจากกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอได้
ข้อสรุปสำหรับฉายคือ ไม่มีทั้งอุดมการณ์หรืออะไรทั้งนั้น เอาแค่ตัวเองรอดทางธุรกิจและคดีความอย่างเดียว
พูดง่ายๆ ก็คือก่อนหน้านี้ก็เรื่องคดีความ ตอนนี้ก็เรื่องความขัดแย้งทางธุรกิจ ต้องหาพาร์ตเนอร์ใหม่ เพราะ “คีรี กาญจนพาสน์” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญปฏิเสธที่จะเพิ่มทุนและยังประกาศขายราคาถูกอีก
แต่ปัญหาที่ฉายรับรู้มานานและปวดหัวที่สุดก็คือ เขามี “รายจ่าย” เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสวนทางกับ “รายรับ” ที่ดำเนินไปแบบ “ทับซ้อน” เรียกว่าโดนตัดตอนไปหลายงานจนพูดไม่ออกมานาน
ส่วนคาถาที่ทั้งฉายและต้อยท่องให้ตัวเองดูดีเสมอก็คือคำว่า “จงรักภักดี”
เปลือยเส้นทาง “อดิศักดิ์”ธุรกิจติดลบก่อนจะกลับมาซบเนฉาย
ต้องยอมรับว่า หลังจาก “ต้อยและพรรคพวก” ยกทีมออก “ค่ายเนชั่น” ของ “เนฉาย” ก็เผชิญกับปัญหาในการบริหารงานสื่อในเครือมากพอสมควร ด้วยขาด “มือไม้” ในการทำงาน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ในยุคที่ “ต้อย-สนธิญาณ” เรืองอำนาจ ไม่ใช่เฉพาะขุนพลแถวหน้าอย่าง “ฉัตรชัย ภู่โคกหวาย” หรือ “ปอง-อัญชะลี ไพรีรักษ์” หรือ “สันติสุข มะโรงศรี” ที่มีบทบาทในการทำงานเท่านั้น “ต้อย” ยังจัดวางกำลังคนให้มาคุมการบริหารงานและการทำงานในตำแหน่งที่สำคัญเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น เมื่อ “ต้อย” แตกหักกับ “ฉาย” จึงส่งผลทำให้ “เครือเนชั่น” เซซวนรวนเรไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้ในยุคที่ “ต้อยกับฉายยังรักกันดี” และมาพร้อมกับ “กลุ่ม 3 บก.” นำโดย “ช้าง-สมชาย มีเสน วีระศักดิ์ พงศ์อักษร และบากบั่น บุญเลิศ” คนเก่าๆ ของค่ายบางนาก็รับไม่ได้กับผู้บริหารชุดนี้ และทยอยลาออกไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ด้วยเหตุดังกล่าว “อาณาจักรของฉาย” จึงเคว้งคว้าง โดยเฉพาะตัวฉายเองที่เป็น “นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์” ไม่ได้เป็น “คนสื่อ” มาก่อน คอนเนกชันและบารมีจึงค่อนข้างต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และเมื่อจนตรอกไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมฉายถึงไปคว้า “คนเก่าเนชั่น” อย่าง “อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ” เข้ามาทำงานอีกครั้งในเก้าอี้ตัวเดิมคือ ซีอีโอของบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
อดิศักดิ์นั้นทำงานกับค่ายเนชั่นมาอย่างยาวนาน เคยเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2535 กระทั่งสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนแนล ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2543 อดิศักดิ์จึงดำรงตำแหน่งบรรณาธิการบริหารเนชั่นทีวี เป็นกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น บอรดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2543 กระทั่งเดือน มี.ค. 2558 อดิศักดิ์ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเป็นกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนชั่น บอรดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
อย่างไรก็ดี หลังจากที่ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด (มหาชน) หรือ SLC ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท สปริงนิวส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของสถานีข่าวสปริงนิวส์ ซึ่งเป็นที่รู้กันในตลาดหุ้นว่าเป็นบริษัทของฉาย บุนนาค เข้ามาซื้อหุ้นบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG 404.99 ล้านหุ้น 12.27% และใบสำคัญแสดงสิทธิ 225 ล้านหน่วย มูลค่าเงินลงทุน 1,042 ล้านบาท เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2557 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเครือเนชั่น เพราะหมายความว่า ฉายได้ยึดเครือเนชั่นภายใต้การนำทัพของ “สุทธิชัย หยุ่น” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในห้วงเวลานั้น ผู้บริหารและพนักงาน รวมทั้ง “อดิศักดิ์” เองได้ออกมาต่อต้านกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหม่ ซึ่งก็คือ “ฉาย” มีคดีความฟ้องร้องระหว่างกันกันทั้งทางแพ่งและอาญาหลายคดี กระทั่งตัดสินใจโบกมืออำลาเนชั่นไปก่อตั้ง “อาณาจักรสื่อ” ของตัวเองใหม่ในชื่อ “บิซซิเนสทูเดย์” โดยร่วมกับ ธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ และ ณ กาฬ เลาหะวิไล อดีตบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ พร้อมดึงคนเนชั่นออกไปไม่น้อย
อย่างไรก็ดี “บิซซิเนส ทูเดย์” ที่คุยโขมงโฉงเฉงว่าแตกต่างจากคนอื่นในเรื่อง “อินโฟกราฟิก” ก็ไปไม่รอดต้องยุติการพิมพ์ชั่วคราวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในระหว่างนั้น อดิศักดิ์ยังได้ตั้งบริษัท อะแดป ครีเอชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ผลิตแพลตฟอร์ม “77 ข่าวเด็ด” และ “มันนี่ทูโนว์” โดยได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) จำนวน 5 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นกรรมการผู้อำนวยการธุรกิจใหม่ บริษัท เอ็มวี เทเลวิชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ของนายชัยวุฒิ ทวีปวรเดช พัฒนาธุรกิจใหม่ OTT ที่ชื่อว่า “เอ็มวี ฮับ” ในระยะหนึ่ง
ในมิติของฉาย พอจะมองหาเหตุได้ไม่ยากในการใช้บริการอดิศักดิ์ เพราะเขาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ไปชวน “สุทธิชัย หยุ่น” ก็ได้รับการปฏิเสธ แต่ในมิติของอดิศักดิ์ ยังมีแง่มุมที่ก่อให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมอดิศักดิ์ถึงได้ตัดสินใจหวนกลับคืนสู่ค่ายเนชั่นที่มีฉายเป็นเจ้าของและเคยมีความขัดแย้งกันแต่เก่าก่อน
แน่นอน ข้อสันนิษฐานที่มีความเป็นไปได้ก็คือ เขาได้รับเงื่อนไขทางธุรกิจที่ดีมาก
แต่เหตุผลที่มากไปกว่านั้นก็คือ มีการวิเคราะห์กันว่า สถานะทางเศรษฐกิจส่วนตัวเองอดิศักดิ์กำลังย่ำแย่จากธุรกิจสื่อที่เขาควักเงินไปลงทุนก่อนหน้านี้และทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด โดยมีข่าวลือออกมามากมายว่า เขาถึงกับต้องมีการจำนองทรัพย์สมบัติบางอย่างเพื่อเดินหน้าธุรกิจของตัวเองเลยทีเดียว
ดังนั้น เมื่อได้รับเงื่อนไข เงินและตำแหน่งที่ดีจากฉาย มีหรือที่อดิศักดิ์จะปฏิเสธ เพราะนี่เป็นโอกาสที่ไม่ใช่จะหาได้ง่ายนักในยุคนี้
กระนั้นก็ดี สิ่งที่ต้องจับตาดูก็คือ “ความเปลี่ยนแปลง” ที่จะเกิดขึ้นกับค่ายเนชั่นในยุคที่ 3 ซึ่งเป็นการผนึกกำลังกันของ “3 ก๊กใหม่” คือ “ก๊กฉาย ก๊กช้าง และก๊กอดิศักดิ์” ว่าจะดำเนินไปในทิศทางใด
โดยเฉพาะ “ก๊กอดิศักดิ์” เองที่สังคมกำลังเฝ้าสงสัยว่า จะนำพาเนชั่นทีวีและสื่อในเครือให้เป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับ “ต้อยและชาวคณะ” หรือไม่เพียงใด
ต้องไม่ลืมว่าในยุค “ต้อยเรืองอำนาจ” นั้น เป็นที่ประจักษ์แจ้งว่า เครือเนชั่นเลือกยืนอยู่ข้าง “รัฐบาลลุง” โดยเฉพาะ “เนชั่นทีวี” ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “สลิ่มทีวี” พร้อมทั้งเปิดฉากวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอย่างหนัก
ยิ่งในช่วงที่มีการชุมนุม มีการก่อกำเนิดของ “ม็อบคณะราษฎร 2563” เครือเนชั่นเปิดหน้าอัดกลุ่มผู้ชุมนุมในทุกมิติ จนทำให้เกิดปัญหากับผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม ถึงขนาดไม่กล้าแสดงตัวว่าเป็นผู้สื่อข่าวในเครือเนชั่นกันเลยทีเดียว
ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ออกมาจากปากของ “วีระศักดิ์ พงศ์อักษร” บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ที่กล่าวในระหว่างแถลงข่าวชี้แจงสถานการณ์การลาออกของผู้ประกาศข่าว สถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวีว่า การทำงานที่ผ่านมาของสถานีบิดเบี้ยว ผู้สื่อข่าวภาคสนามต้องหลบๆ ซ่อนๆ บางคนต้องปิดไมค์ ต้องไม่มีไมค์เนชั่น หรืออยู่ห่างจากม็อบ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการกลับไปสู่การทำหน้าที่สื่ออย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อฉายอ้าแขนรับอดิศักดิ์กลับมาเป็นใหญ่ พร้อมประกาศความเป็น “สื่อมืออาชีพ” สปอร์ตไลท์ก็ฉายจับไปที่ “จุดยืน” ของค่ายนี้ทันทีว่า จะเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะตัวอดิศักดิ์เองที่เมื่อย้อนกลับไปตรวจสอบ “จุดยืน” ที่เขาแสดงออกผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่เขาพูดคุยกับฉายก่อนยอมรับกลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมก็เห็นได้ชัดเจนว่า อดิศักดิ์มีทัศนคติอัน “เป็นมิตร” กับ “ม็อบ 3 นิ้ว” และไม่รู้ว่าจะเลยไปถึงเรื่อง “สถาบัน” ด้วยหรือไม่อย่างไร
“ช่องเนชั่นทีวีจะต้องยกระดับการทำข่าวให้ได้มาตรฐานของสถานีข่าวทั่วโลกพึงมี ด้วยการทำหน้าที่หลักๆ เช่น ทำหน้าที่ Gatekeeper “ผู้เฝ้าประตูข่าวสาร” เน้นการนำเสนอความจริง ความถูกต้องที่ผ่านการตรวจสอบ กลั่นกรองอย่างปราศจากอคติ ไม่เน้นความเร็ว เพราะปัจจุบันข่าวสารบนโซเชียลมีเดียจากทุกๆ คน ที่แข่งกันทำหน้าที่เสมือนนักข่าว ทำให้มีทั้งความเร็วและปริมาณ ปะปนไปกับข่าวที่ไม่น่าเชื่อ ไม่ถูกต้อง สื่อหลักอย่างเนชั่นทีวี จำเป็นจะต้องทำหน้าที่กลั่นกรอง ตรวจสอบความจริงและความถูกต้อง ก่อนนำเสนอผ่านช่องทางต่างๆ ภายใต้แบรนด์เนชั่นทีวี ทำหน้าที่เป็น “กระจก” ส่องสังคม ที่ไม่บิดเบี้ยว ซื่อสัตย์ในการทำหน้าที่ สะท้อนความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างรอบด้านมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
“ทำหน้าที่ “ตะเกียง” ส่องสังคม กำหนดวาระทางสังคม (Setting Agenda) เป็นดั่งตะเกียงส่องแสงสว่างแก่สังคม ให้มองเห็นวาระทางสังคมที่พึงมี ทำให้สังคมตื่นรู้ มองเห็นอย่างกระจ่างแจ้ง ถึงประเด็นปัญหาสำคัญๆ ของสังคม เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
“ทำหน้าที่ Watchdog หมาเฝ้าบ้าน ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน เฝ้ามอง ติดตาม และตรวจสอบกลิ่นที่มีความไม่ชอบมาพากลในการทำงานของภาครัฐ ย้ำเตือนให้ทำงานเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะ
“ทำหน้าที่ “โรงเรียนของสังคม” องค์กรเนชั่นจะต้องทำหน้าที่เสมือนเป็นโรงเรียนของสังคม เป็นแพลตฟอร์มทางสังคมที่เปิดกว้างสำหรับทุกภาคส่วนในสังคม ในการสร้างเสริมองค์ความรู้ใหม่ๆ นำเสนอออกไปสู่สังคม ให้สังคมได้เรียนรู้ร่วมกันเสมือนเป็นโรงเรียนของสังคม เพื่อขับเคลื่อนให้สังคมไทยก้าวทันโลกยุคดิจิทัล
“ข้อความที่ผมส่งถึง คุณฉาย บุนนาค ประธานเครือเนชั่น หลังจากได้มีโอกาสสนทนากันเป็นครั้งแรก เมื่อค่ำวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา ก่อนการแถลงข่าวเมื่อ 10 พ.ย. ที่แจ้งต่อผู้สื่อข่าวถึงการทาบทามผมให้กลับมาทำหน้าที่ซีอีโอ NBC เจ้าของเนชั่นทีวี ที่เป็นบริษัทลูกของเนชั่นกรุ๊ป ขอขอบคุณคุณฉายที่มีความเชื่อมั่นครับ”
นั่นคือสิ่งที่อดิศักดิ์บอกเล่าเอาไว้
แต่เมื่อสืบค้นทั้งโพสต์เก่าในเฟซบุ๊ก Adisak Limparungpatanakij และ บัญชีทวิตเตอร์ adisak limparungpata ก็ไม่แน่ใจนักว่า เนชั่นจะเป็น “สถาบันสื่อ-มืออาชีพ” อย่างที่ว่าไว้หรือไม่ เพราะอดิศักดิ์นั้น ติดตามการชุมนุมทางการเมืองของ “ม็อบ3นิ้ว”แบบตามติด รวมไปถึงเห็นดีเห็นงามกับ “การปฏิรูปสถาบันฯ” และอยากเห็นการต่อสู้นี้สำเร็จเหมือนบางประเทศ
อย่างไรก็ดี หลายคนเชื่อว่า “อดิศักดิ์” มีความเป็น “มืออาชีพ” พอตัว ขณะที่ตัว “ประธานฉาย” เองก็ประกาศเสียงดังฟังชัดต่อหน้าธารกำนัลว่า สื่อช่อง “เนฉาย” ของเขายังยึดมั่นแนวทาง “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าใช้ศัพท์ผู้ชุมนุมก็ต้องใช้คำว่า งานนี้ไม่มีแกง ซึ่งก็คงต้องพิสูจน์ต่อไป จะเป็นไปตาม “ลมปาก” ที่ว่าไว้หรือไม่ อย่างไร
โจทย์ใหญ่ของ “ฉายกับอดิศักดิ์” ก็คือที่ผ่านมาผู้คนแฮปปี้กับแนวทางเนชั่นยุคต้อย เมื่อ “ฉายกับอดิศักดิ์” ต้องการปรับสภาพไปเป็นสื่อมืออาชีพ จะตอบโจทย์ทางธุรกิจที่เขาคาดหวังไว้หรือไม่ อย่างไร.