xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เนฉาย” VS ต้อย ลุงทีวี เฮ้! สองคนอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ฉาย บุนนาค  สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ฉัตรชัย ภู่โคกหวาย
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็น “บทสรุป”  ที่มีคาดการณ์กันไว้ตั้งแต่แรกว่า สุดท้ายแล้ว  “ฉาย บุนนาค”  กับ “ต้อย-สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม”  จะอยู่  “ถ้ำเดียวกันไม่ได้”  แม้ทั้งสองคนเป็น  “คนประเภทเดียวกัน”  แต่ลึกๆ แล้ว ก็มีความต่างอยู่พอสมควร เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกเขาเลือกที่จะ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” 

ดังนั้น จึงอย่าแปลกใจที่ทำไม “ต้อย-สนธิญาณ” และบรรดาพลพรรคของเขาจึงพากันทะยอยตบเท้าออกจาก “ค่ายเนชั่น” และย้ายไปรวมตัวกันอยู่ที่ “นิวทีวี” ช่อง 18 ไม่ว่าจะเป็น “ฉัตรชัย ภู่โคกหวาย”  ที่ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง  “กรรมการผู้จัดการ และกรรมการบริหาร” ของ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC  ผู้ดำเนินงานสถานีข่าวช่องเนชั่นทีวี 22

หรือผู้ดำเนินรายการชื่อดังอย่าง “เจ๊ปอง-อัญชะลี ไพรีรัก” หรือ “สันติสุข มะโรงศรี” 

ทั้งนี้ ความขัดแย้งที่เข้าสู่ขั้น “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ”  นั้น มีร่องรอยให้เห็นมาเป็นระยะๆ จากบริบทของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจาก  “จุดยืน”  ของ “ฉาย” และ “ต้อย”  ที่ถ่างกว้างมากขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งทั้งสองคนตัดสินใจแยกทางกันเดิน โดยต้อย-สนธิญาณย้ายไปปฏิบัติการอยู่ที่ “นิวทีวี” ช่อง 18 

นับจากปี 2561 ที่ “ฉาย บุนนาค"  ได้รับชัยชนะเหนือ  "ผู้ก่อตั้งเครือเนชั่น" และก้าวกระโดจากการบริหารสื่อเกิดใหม่อย่าง สปริงนิวส์  เข้ามาบริหารเครือเนชั่นที่ถือเป็นเครือสื่อยักษ์ใหญ่ที่มี ช่องทางอยู่ครบวงจร ฉายที่มีประสบการณ์ทำสื่อเพียงน้อยนิด จำเป็นต้องอาศัย เข้ามาบริหารจัดการต่อจากกลุ่มสุทธิชัย หยุ่น
ในช่วงที่ผ่านมาเกือบ 3 ปี หลังจากเข้าเทกโอเวอร์เนชั่นฯ “ฉาย” พึ่งพา “คนทำสื่อ” อยู่ 2 กลุ่มหลัก ๆ
กลุ่มแรกคือ  “กลุ่ม 3 บก.”  นำโดย   “ช้าง-นายสมชาย มีเสน”  ซีอีโอเครือเนชั่น  “วี-นายวีระศักดิ์ พงศ์อักษร” บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และ   “โอ-นายบากบั่น บุญเลิศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นส่วนผสมของคนเนชั่นเดิมตั้งแต่ยุคสุทธิชัย กับ คนสื่อจากภายนอกที่อาจไม่ได้ผูกพันกับทางเนชั่นมาก่อน

กลุ่มที่สองคือ  “กลุ่มต้อย สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม” (หรือ กลุ่มทีนิวส์) ที่ถือว่าเป็น  “สื่อมือปืนรับจ้าง”  โดยอาศัยคอนเนกชันดั้งเดิม และมีจุดประสงค์ทางการเมืองค่อนข้างชัดเจน กลุ่มนี้มี “ต้อย-สนธิญาณ” เป็นหัวเรือใหญ่ และมีการดึงเอานักข่าว ทีมงาน พิธีกร ผู้ดำเนินรายการระดับแม่เหล็ก เข้ามาจัดรายการ โดยเฉพาะพิธีกรจากฝั่ง กปปส. อย่าง “เจ๊ปอง-อัญชะลี ไพรีรัก, สันติสุข มะโรงศรี ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมี “คนสื่อ”  ที่เป็นทั้ง กปปส. และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของทางเนชั่น อย่าง นายกนก รัตน์วงศ์สกุล  ที่มีภรรยา คือ  นางลักขณา รัตน์วงศ์สกุล  ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร บมจ. เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น” ทำงานเข้ามากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยในช่วงที่ผ่านมา

ส่วนตัวฉายเองนั้น ต้องบอกว่าเขาไม่ใช่ “คนสื่อ”  หากแต่เป็น “นักธุรกิจ” และ เป็น “นักเล่นหุ้น” ซึ่งมีบาดแผลจากการเล่นหุ้นและมีคดีคั่งค้างอยู่ไม่น้อย ดังนั้นการทำสื่อของฉาย ลึก ๆ แล้วจึงมีคำถามตามมามากมายว่า แท้ที่จริงแล้วคืออะไร

ใช่เพื่อปกป้องตนเองจากคดีความหรือไม่

(จากซ้ายไปขวา) สมชาย มีเสน วีระศักดิ์ พงศ์อักษรและบากบั่น บุญเลิศ

 สันติสุข มะโรงศรี อัญชะลี  ไพรีรัก
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็คือ ฉายส่ง  “เดียร์” วทันยา วงษ์โอภาสี ภรรยาเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งนำไปสู่ข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการสร้างฐานอำนาจทางการเมือง หรือรับใช้การเมืองเพื่อหวังผลบางประการ หรือไม่ อย่างไร

แรกๆ ทุกอย่างดูเหมือนส่วนผสมทุกอย่างจะลงตัวเพราะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ที่เคยถูกจัดวางเอาไว้ก็เริ่มมีปัญหา โดยเฉพาะ “กลุ่ม 3 บก.” กับ “กลุ่มต้อย-สนธิญาณ” ที่เริ่มขัดแย้งมากเป็นลำดับ ขณะที่ตัวของฉายเองก็เริ่มมีปัญหากับ  “สถานะของเครือเนชั่น”  ซึ่งถูกคนภายนอกมองว่าเป็น  “ทีวีเลือกข้าง” หรือ “ทีวีลุง”  ด้วยออกโรงเชียร์ผู้มีอำนาจแบบตะบี้ตะบัน

ทั้งนี้ ถ้าแยกแยะ “เบื้องหลัง” โครงสร้างดังกล่าวก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะแต่ละกลุ่มล้วนแล้วแต่มี  “คอนเนกชัน”  ในระดับที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะ “กลุ่ม 3 บก.” กับ “กลุ่มต้อย สนธิญาณ”

 กล่าวคือ กลุ่ม 3 บก. มีแรงสนับสนุนจากกลุ่มนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, นายอุตตม สาวนายน, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ 

 กลุ่มที่สอง : กลุ่มสนธิญาณ หรือ ต้อย ทีนิวส์ ก็มีแรงสนับสนุนจากฝั่ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉายต้องพยายามบริหารสมดุลกับขั้วการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ที่ต่อยอดมาจาก คสช. และคนทำสื่อทั้ง 2 กลุ่ม แต่ก็เป็นไปได้อย่างทุลักทุเล เพราะ “ฉาย” ไม่ได้พื้นเพเป็นคนทำสื่อ ทั้งยังมีบาดแผลเต็มตัว

และแล้ว  “รอยปริ” ที่นำไปสู่  “จุดแตกหัก” ก็ปรากฏให้เห็นต่อสาธารณชนเป็น “ครั้งแรก” เมื่อมีการแย่งชิงอำนาจในพรรคพลังประชารัฐระหว่างกลุ่ม 4 กุมารของทาง ดร.สมคิด กับ กลุ่มนักการเมืองภายใต้ปีกของบิ๊กป้อม ซึ่งท้ายที่สุดจบลงด้วยชัยชนะของ “กลุ่มบิ๊กป้อม” โดย พล.อ.ประวิตรได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2563

ชัยชนะของ “บิ๊กป้อม” ดังกล่าวเป็นสาเหตุให้ทางกลุ่มสนธิญาณ สร้างความได้เปรียบ สยายปีกเข้ากุมทิศทางกลุ่มเนชั่นฯ อย่างเต็มตัว และบีบจนกระทั่งใน วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 3 บก.เครือเนชั่น ประกอบไปด้วย  “สมชาย-วีระศักดิ์-บากบั่น”  ออกแถลงการณ์หลังผู้บริหารมีคำสั่งให้  “รายการเนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก.”  ยุติออกอากาศตั้งแต่วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป เนื่องจากเนื้อหารายการไม่ตรงกับจุดยืนของช่อง โดยเตรียมหาแพลตฟอร์มใหม่ดำเนินรายการ

กระทั่งเหตุการณ์ทางการเมืองพัฒนาไป และเริ่มร้อนแรงมากขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน-ตุลาคม โดย ม็อบกลุ่มปลดแอก-คณะราษฎร 2563 มีการรวบรวมเด็ก เยาวชน ประชาชน ลงท้องถนน ขณะที่กระแสม็อบขึ้นถึงจุดพีค เนชั่นฯ (ภายใต้การควบคุมทิศทางของต้อย สนธิญาณ) กลายเป็นสื่อ กลายเป็น IO ที่เข้าข้างรัฐบาลอย่างชัดเจน เป็นมือเป็นไม้ให้กับรัฐบาล

นอกจากนี้ เนชั่นฯ ยังทำงานตีคู่กับ สถาบันทิศทางไทย (Thai Move Institute; ที่สนธิญานเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง) อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ... จนกลายเป็นกระแสตีกลับ และเป็นภาพสะท้อนว่า ชื่อเสียงของเนชั่นฯ ที่สั่งสมมาหลายสิบปี แทบจะมลายสูญสิ้นไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหารายได้จากการ  “โฆษณา”  ที่มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง

กระแสตีกลับดังกล่าว ทำให้มีข่าวออกมาว่า ฉาย บุนนาค มองเห็นแล้วว่าสถานการณ์แบบเลือกข้างชัดเจนต่อไปอย่างนี้ไม่ดีแน่ ยิ่งในระยะยาวยิ่งไม่เป็นผลดีต่อการทำธุรกิจ โดยเฉพาะข้อครหาอันหนักหน่วงจากทั้งคนนอกและคนในองค์กรเองที่มองว่า เครือเนชั่นกำลังกลายเป็น  “ดาวสยามยุคใหม่” จึงตัดสินใจเรียกประชุมผู้บริหารและบรรณาธิการระดับแกนนำให้ลดโทนในการนำเสนอ ในการเลือกข้าง จนสร้างความไม่พอใจให้กับ “ต้อย สนธิญาณ” เป็นอย่างมาก

 แน่นอน คนอย่าง “ต้อย-สนธิญาณ” ย่อมไม่แคร์ฉาย เพราะเขาถือดีว่ามี “ซูเปอร์คอนเนกชัน” ที่ไม่เป็นสองรองใคร 

ส่วน  “จุดแตกหัก ครั้งที่ 2”  แหล่งข่าววงในระบุว่าปลายเดือนตุลาคม 2563 สนธิญาณกระซิบบอกผู้ใหญ่คนหนึ่งว่า ฉาย บุนนาค แปรพักตร์ และ ผู้ใหญ่รายนั้นได้โทรหาฉายโดยตรง ซึ่งจุดนี้สร้างความไม่พอใจให้กับฉายอย่างมาก และนำมาสู่การประกาศปลดนายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย ออกจากทุกตำแหน่งในเนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563

ฉัตรชัยถือเป็นคนสนิทของ “ต้อย-สนธิญาณ” ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการบริษัทฯ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2561 เคยเป็นบรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวสปริงนิวส์, กรรมการผู้อำนวยการ สำนักข่าวทีนิวส์ กระทั่งเข้ามาบริหารเครือเนชั่นตามนายสนธิญาณ หลังจากกลุ่มนายฉาย เข้ามาบริหารเครือเนชั่นแทนกลุ่มนายสุทธิชัย หยุ่น ที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทและกรรรมการผู้จัดการ ก่อนที่จะเป็นกรรมการบริหาร

นอกจากนี้ ยังเป็นประธานกรรมการบริษัท อะราวเดอะเวิล์ด จำกัด ธุรกิจจัดนำเที่ยว ร่วมกับ นายวิทเยนทร์ มุตตามระ และนายเถกิง สมทรัพย์ และประธานกรรมการบริษัท แฮปปี้ โปรดักส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ธุรกิจโฮมชอปปิ้ง ภายใต้ชื่อ “แฮปปี้ ชอปปิ้ง” ร่วมกับ น.ส.อภิรวี พิชญเดชะ และ น.ส.ดวงกมล เกียรติสุขเกษม อีกด้วย

จากนั้นจึงนำมาสู่ข่าวการย้ายค่ายแบบช็อกวงการของ “อัญชะลี ไพรีรัก”  ผู้ดำเนินรายการเนชั่นทันข่าวเที่ยง และ  “สันติสุข มะโรงศรี” ผู้ดำเนินรายการขยี้ข่าวเช้า เนชั่นทันข่าวเย็น ขยี้คดีโกง และข่าวมีระดับ ซึ่งสร้างเรตติ้งให้กับสถานีมานานกว่า 2 ปี โดยจะยกทีมงานและพิธีกรรวมประมาณ 6-7 คน ไปทำรายการข่าวใหม่เพื่อออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์นิว 18 ของ  นางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด ซึ่งจะเริ่มแพร่ภาพออกอากาศรายการข่าวใหม่เป็นครั้งแรก วันที่ 1 ธ.ค. 2563

ก่อนหน้านี้ น.ส.อัญชะลี เคยร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์นิวทีวี หรือ นิว 18 มาก่อน หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครองเมื่อปี 2557 จัดรายการหมายข่าวนิวทีวี ภายหลังนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เข้ามาบริหารงานเครือเนชั่น แทนกลุ่มนายสุทธิชัย หยุ่น จึงได้ชักชวนให้ น.ส.อัญชะลี มาร่วมงาน ก่อนที่จะดำเนินรายการเนชั่นทันข่าว เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา ภายหลัง นายสันติสุข มะโรงศรี ที่เคยจัดรายการหมายข่าวนิวทีวีด้วยกัน ได้มาเป็นพิธีกรเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2561 แทนนายศุภโชค โอภาสะคุณ ที่ตอนหลังลาออกไปอยู่สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี อย่างไรก็ตาม ได้มีการให้ น.ส.อัญชะลี แยกมาจัดรายการเนชั่นทันข่าวเที่ยง เริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. 2563 เป็นต้นมา

ทั้งนี้ ฉายให้สัมภาษณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยสรุปความได้ว่า เนชั่นเป็นสถาบันข่าวที่เก่าแก่ ย่อมมีทั้งคนเข้าคนออกเป็นเรื่องปกติ เนชั่นไม่ได้ขายดารา หรือขายผู้ดำเนินรายการ แต่ขายความน่าเชื่อถือ ขายความรับผิดชอบต่อสังคม ขายเนื้อหาสาระข่าว โดยมั่นใจว่า การลาออกไปของอัญชะลี และสันติสุขจะไม่กระทบต่อยอดผู้รับชม พร้อมยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากความขัดแย้ง และหลังจากนี้จะมีการปรับ โดยจัดส่วนผสมระหว่างผู้ประกาศ-ผู้จัดรายการทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ เพราะเนชั่นมีอยู่เกือบ 30 คน ต่อไปจะมีพื้นที่ให้ผู้ประกาศเด็กๆ ได้เติบโต พร้อมย้ำว่าเรื่องที่เกิดขึ้น จะไม่ส่งผลกระทบในด้านธุรกิจ เพราะเนชั่นมีฐานะการเงินและโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่เข้มแข็ง

 “การนำเสนอข่าวในช่วงความขัดแย้ง สิ่งที่เนชั่นระวังมากที่สุดคืออะไร เราต้องตรวจสอบข้อมูลในการนำเสนอและปฏิบัติตามจริยธรรม จรรยาบรรณของอาชีพ เราไม่ต้องการให้สังคมนำไปสู่ความขัดแย้งและความเกลียดชังเราต้องคู่ขนานไปกับการรับผิดชอบของสังคมอย่างตรงไปตรงมาและเป็นประโยชน์กับทุกคนในสังคม องค์กรเรายึดมั่นในปกป้องสถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นี่คือหน้าที่และความยึดมั่น ผมไม่สนใจกระแสข่าวที่บอกว่า เนชั่นเปลี่ยนอุดมการณ์ ผมเองที่เป็นประธานบริษัท ต้นตระกูลรับใช้ประเทศชาติและสถาบันมากกว่า 300 ปี การปล่อยข่าวลือหรือเจตนาร้ายต่าง ๆ เป็นความไม่หวังดี เป็นการกลั่นแกล้งทางธุรกิจ อุดมการณ์และจุดยืนเราไม่เคยแปรเปลี่ยน อุดมการณ์เราเหมือนเดิมการทำหน้าที่ก็ยังเหมือนเดิม แต่เราจะระมัดระวังในข่าวทีวีมากขึ้น” ฉายแจกแจง 

อย่างไรก็ดี การลาออกของ “ทีมงานต้อย”  ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาของเครือเนชั่น โดยเฉพาะ “เจ๊ปอง” กับ “สันติสุข” ซึ่งถือเป็นตัวชูโรงสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็เป็นที่จับตาจากสังคมด้วยว่า ทิศทางของ  “สื่อในเครือฉาย”  ทุกแพลตฟอร์มในยุคที่ปราศจาก  “คนของต้อย”  จะดำเนินไปในทิศทางใด

ทั้งแพลตฟอร์มทีวี แพลตฟอร์มออนไลน์และแพลตฟอร์มสื่อสิ่งพิมพ์ คือ “กรุงเทพธุรกิจ” และ “ฐานเศรษฐกิจ” 

เฉกเช่นเดียวกับสถานีใหม่ของ  “ต้อย เจ๊ปองและชาวคณะ”  ว่าจะเปลี่ยนจาก  “นิวทีวี”  เป็น  “ลุงทีวี”  หรือไม่ เพราะ เมื่อมีทีมใหม่ซึ่งมี  “เป้าหมายชัด” เข้ามาเทกโอเวอร์ ก็คงจะเดินตรงแน่วไปสู่ความเป็น “ลุงทีวี” เต็มตัว ไม่เช่นนั้นคงดีลไม่ลงตัวกันมาตั้งแต่แรก

 ที่สำคัญคือมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างดังไปทั่วทั้งคุ้งน้ำด้วยว่า งานนี้ได้รับ “กระสุนดินดำ” ขนาด “200 กิโล” จาก “ทีมลุง” มาเป็นทุนรอนในการทำงานกันเลยทีเดียว 

มหากาพย์ความสัมพันธ์ของ “ต้อย-ฉาย” ที่นำไปสู่ความแตกหักครั้งนี้ จึงถือเป็นปรากฏการณ์ในแวดวงสื่อที่ไม่ธรรมดาและจำต้องบันทึกไว้ รวมทั้งจับตาดูต่อไปว่า สื่อภายในการบริหารของทั้งสองคนจะเป็นไปในรูปลักษณ์ใด.


กำลังโหลดความคิดเห็น