จากหนังสือเปิดโปงของ Bob Woodward (อดีตนักข่าวหัวเห็ดที่เคยมีวีรกรรมเปิดโปงจนอดีตปธน.นิกสัน ต้องลาออกจากตำแหน่ง-ก่อนที่จะถูกถอดถอนจากสภา) ที่ปรากฏล่อนจ้อนว่า ทรัมป์รู้เต็มอกว่า โรคไวรัสใหม่นี้ มีอันตรายร้ายแรงถึงตาย และติดต่อทางอากาศที่อันตรายกว่าติดต่อผ่านการสัมผัส แต่ทรัมป์ได้ปกปิดความจริง โดยโกหกกับประชาชนว่า เป็นโรคไม่ร้ายแรง-เป็นเรื่องเล็ก-คล้ายๆ กับโรคหวัดธรรมดา
อดีตคู่หูของบ็อบ วูดเวิรด์ คือ Carl Bernstein ก็ได้ออกมาชี้ว่า ทรัมป์ทำผิดร้ายแรงและเป็นอาชญากร ที่มาโกหกประชาชนทำให้คนอเมริกันตายเป็นใบไม้ร่วง เพราะไม่รู้ความจริงว่ากำลังเผชิญกับโรคร้ายแรง รัฐบาลก็ไม่มีการเตรียมรับมืออย่างทันการณ์ จนยอดคนอเมริกันตายถึงเกือบ 2 แสนคนใน 5 เดือนจากการรับมือที่ผิดพลาดของรัฐบาลทรัมป์
ทรัมป์ออกมาแก้ตัวทันทีว่า เขาไม่ต้องการให้เกิดการแตกตื่นของประชาชน (ทั้งๆ ที่ความจริงคือ เขากลัวการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอลง โดยเฉพาะตลาดวอลล์สตรีทที่กำลังทำ New High แทบทุกวัน-จากดอกเบี้ยที่ธนาคารกลาง fed ลดดอกเบี้ยจนต่ำเรี่ยดิน เพื่อปลุกปล้ำไม่ให้เศรษฐกิจตกต่ำไปกว่านี้-จากผลของไวรัสที่ทำให้คนต้องอยู่ห่างๆ กัน)
ทรัมป์ได้ยกเอา 2 ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษและอเมริกา ที่ได้ร่วมกันปราบฮิตเลอร์ คือ อดีตนายกฯ วินสตัน เชอร์ชิล และอดีตปธน.แฟรงกลิน เดลาโน โรสเวลต์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
โดยยกคำพูดของเชอร์ชิล ที่ออกมาพูดกับชาวลอนดอนและชาวอังกฤษทั้งหมดว่า การถูกโจมตีจากฮิตเลอร์นั้น ชาวอังกฤษจะต้องร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ฝ่าข้ามความยากลำบากไปด้วยจิตใจแข็งแกร่ง
ทรัมป์บอกว่า เขาทำแบบเชอร์ชิลที่พูดเพื่อไม่ให้คนอเมริกันตื่นตระหนกกับโรคร้ายนี้
แต่เขาจงใจตัดคำพูดของเชอร์ชิลออกมาเพียงเสี้ยวเดียว ที่ให้กำลังใจประชาชนให้ยืนหยัดอดทนสู้ต่อไป
เพราะในช่วงแรกของสุนทรพจน์ของเชอร์ชิลนั้น เขาพูดถึงความยากลำบากที่ชาวอังกฤษกำลังเผชิญอยู่ เขาได้ออกไปเดินสำรวจความเสียหายทั่วลอนดอนที่ตึกรามถูกระเบิดของฮิตเลอร์พังพินาศ จนชาวลอนดอนไม่มีบ้านอยู่ ขาดน้ำ, ไฟ และอาหาร
เป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว และเทียบตัวเองเท่ากับเชอร์ชิลทีเดียว
สำหรับ FDR ซึ่งก็เช่นเดียวกับเชอร์ชิลที่ออกมายอมรับ และเตือนถึงความทุกข์ยากที่คนอเมริกันจะต้องเผชิญหน้า หลัง Pearl Harbor ถูกโจมตี ขณะเดียวกัน ก็ให้กำลังใจให้ชาวอเมริกันต้องอดทนและยืนหยัดเพื่อฝ่าข้ามช่วงที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน โดยพูดประโยคเด็ดวรรคทองว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความกลัวนั่นแหละ เพราะถ้าเราฝ่าความกลัวไปได้ ก็จะไม่กลัวต่อไป และจะเดินหน้าต่อสู้จนกว่าจะได้ชัยชนะ
ทรัมป์ก็ไปตัดเอาแค่ข้อความเสี้ยวเดียวสุนทรพจน์ของ FDR มา ในแง่การให้กำลังใจ...แต่เขาแกล้งทำลืมที่จะเน้นเนื้อหาของ FDR ที่ออกมาเตือนถึงความยากลำบากที่รออยู่ข้างหน้าสำหรับคนอเมริกัน ในการต้องปราบฮิตเลอร์ ก่อนที่ฮิตเลอร์จะขยายวงสงครามเข้าทำลายสหรัฐฯ แบบที่ทำกับยุโรป
ด้านความเป็นนักแสดง (Reality Show) และนักประชาสัมพันธ์ตัวฉกาจของทรัมป์ ถึงขนาด ส.ว.คนดัง Marco Rubio (ของฟลอริดา) ที่เรียกขานหาบนเวทีหาเสียง (คัดเลือกตัวแทนพรรคลงสมัครปธน.เมื่อ 4 ปีที่แล้ว) ว่าทรัมป์เป็น Con-Artist คือนักต้มตุ๋นหลอกลวง จนคนที่ฟังเขาจะถูกตุ๋นจนเปื่อยยุ่ย
ทรัมป์จึงยกตัวเองเทียบผู้นำยิ่งใหญ่ในอดีตเพื่อเสริมบารมีตนเอง
รวมถึงในช่วงถูกพิจารณาเพื่อถอดถอน (Impeachment) ช่วงมกราคม เขาก็ได้ออกมาเทียบตัวเขาเหมือนลินคอล์นที่ทำให้คุณประโยชน์ให้แก่สหรัฐฯ มากมาย แต่ก็ยังถูกยิงตาย เทียบกับทรัมป์ที่ปลุกปล้ำเศรษฐกิจ (ที่พังพินาศก่อนเขาเข้ามา!!) จนฟื้นดีวันดีคืน แต่ก็ยังถูกสกัดกั้นหาเรื่องใส่ความ (เรื่องยูเครน) ต่างๆ มากมาย
ทรัมป์บอกว่า เขาโดนหนักกว่าลินคอล์นเสียอีก คือ ลินคอล์นถึงกับถูกยิงตาย แต่เขาก็ถูกตามล่าแบบพ่อมด
เป็นการยกตัวเองว่าทำดีมหาศาลเยี่ยงลินคอล์น แต่ประชาชนไม่เห็นความดีของเขาเลย
และล่าสุด ทรัมป์ถูกเสนอชื่อ (โดย ส.ส.ขวาสุดๆ ของนอร์เวย์) เพื่อให้ทรัมป์เข้าแข่งรับรางวัลโนเบลสันติภาพ ในวีรกรรมสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง จากการเป็นตัวกลางผลักดันให้เกิดสัญญาสันถวไมตรีระหว่างอิสราเอล และยูเออี; อิสราเอล และบาห์เรน
ทรัมป์เรียกการลงนามที่ทำเนียบขาวว่าเป็น peace deals แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่… เพราะคู่อิสราเอลกับยูเออี และกับบาห์เรนนั้น ไม่ใช่คู่สงครามกัน...จึงไม่มีสัญญาสันติภาพ...เพียงแต่เขายังไม่ได้เปิดสัมพันธ์อย่างเป็นทางการเท่านั้น (โดยมีการติดต่อค้าขายกันอยู่ก่อนแล้ว)
เป็นพิธีลงนามสันติภาพแบบกำมะลอของ Con-Artist ที่ทรัมป์สามารถโกยคะแนนจากชาวยิว (บางส่วน) ในอเมริกา พอๆ กับนายเนทันยาฮู ก็โกยคะแนนนิยมให้ห่างจากคู่แข่งการเมือง-(นายพลเบนนี แกนตซ์) นั่นเอง
ภาพพิธีลงนามครั้งนี้ เป็นการเทียบชั้นกับสัญญาสันติภาพของผู้นำอียิปต์จับมือกับผู้นำอิสราเอลในช่วงที่ปธน.คาร์เตอร์ จัดที่แคมป์เดวิด และอีกครั้งเมื่อปธน.คลินตัน จัดขึ้นระหว่างผู้นำปาเลสไตน์ (อาราฟัด) จับมือกับผู้นำอิสราเอล (ยิตซาค ราบิน) จนได้รางวัลสันติภาพโนเบลในปี (1994)
แท้จริง ทั้งยูเออีและบาห์เรนจะได้ซื้ออาวุธทันสมัยจากสหรัฐฯ เป็นรางวัลจากการเปิดสัมพันธ์กับอิสราเอล