xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์กระหน่ำทุกเล่ห์ ใน 50 วันที่ยังเหลือ

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร



เหลืออีกเพียง 1 เดือนครึ่งก็จะถึงวันพิพากษาจากตัวแทนของประชาชนว่าทรัมป์หรือไบเดนจะได้เป็น ปธน.คนที่ 46 ของสหรัฐฯ ซึ่งโพลจากแทบทุกสำนักสื่อ และสถาบันการศึกษาให้ไบเดนมีคะแนนนำ แต่ทรัมป์ก็ไล่กวดมาติดๆ ระยะห่างที่เคยเป็นเลข 2 หลักเมื่อมิถุนา-กรกฎานั้น ตอนนี้เริ่มแคบลงเป็นเพียงเลขหลักเดียว (สำหรับโพลทั้งประเทศ) แต่ถ้าเป็นโพลในรัฐที่ยังต้องสู้กันดุเดือด (Battleground States) ที่มีอยู่ประมาณ 10 รัฐ คือ รัฐสนิม (Rust Belt) ได้แก่ วิสคอนซิน, มิชิแกน, เพนซิลเวเนีย เป็นต้น และรัฐแดดจ้า (Sun Belt) เช่น ฟลอริดา, เซาท์แคโรไลนา เป็นต้น คะแนนนิยมของทรัมป์กำลังรดต้นคอของไบเดน; ซึ่งรัฐเหล่านี้ ได้เคยให้คะแนนผู้เลือกตั้ง (Electors) แก่ทรัมป์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว, จนทำให้ฮิลลารีต้องแพ้คะแนนรวมคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) แก่ทรัมป์

ทรัมป์ได้เน้นการหาเสียงแบบตัวเป็นๆ พบปะและปราศรัยกับประชาชนกลุ่มใหญ่โดยไม่แยแสว่าฝูงชนที่มาฟังคำปราศรัยจะติดเชื้อโควิดหรือไม่ ส่วนตัวเขาก็ตรวจเชื้อ (test) วันละหลายรอบปลอดภัยอยู่แล้ว และพูดจาถากถางไบเดนว่ามัวแต่หลบอยู่ห้องใต้ดิน ไม่กล้าออกพบปะประชาชน คงเป็นเพราะสุขภาพไม่ดีหรืออ่อนแอกลัวติดเชื้อนั่นเอง

ตอนนี้ ไบเดนถูกกดดันจากเหล่าที่ปรึกษาของพรรคเดโมแครต จนค่อยๆ ทยอยออกมาหาเสียงพบปะผู้คน เพราะเดิมเขาเลือกกลยุทธ์รักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เห็นความแตกต่างกับทรัมป์ว่า เขาไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ผู้คนที่นิยมในตัวเขาต้องมาป่วยด้วยโควิด หลังมาฟังปราศรัย

ความเข้มข้นฟาดฟันของการหาเสียงในช่วง 50 วันสุดท้ายนี้ มีอยู่ 5 เรื่องที่กำลังร้อนแรงสุดๆ

1. ฐานเสียงกลุ่มทหาร (และครอบครัว) ปกติจะลงคะแนนให้แก่พรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยมมากกว่าเดโมแครต แต่ในการเลือกตั้งปี 2020 นี้ เกิดปรากฏการณ์ที่ทำให้โพลล่าสุดที่วัดจากหมู่ทหาร ได้มีคะแนนนิยมต่อรีพับลิกันลดลงมาก แม้ว่าในช่วงต้นสมัยของทรัมป์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์จะเอาใจทหารโดยเพิ่มงบให้มากมาย และออกนโยบายจะถอนกองทหารจากฐานทัพสหรัฐฯ ในที่ต่างๆ (ที่เยอรมนี, ที่อิรัก, ที่อัฟกานิสถาน เป็นต้น) กลับอเมริกา

แต่ในบทความวิเคราะห์ที่เขียนโดยผู้สื่อข่าวอาวุโสสายการเมืองของ NYT ที่ลงในวารสารรายเดือนเก่าแก่อายุ 163 ปี และเป็นเสาหลักของนิตยสารที่ทรงคุณค่า ทั้งด้านวรรณศิลป์, ศิลปวัฒนธรรม, เทคโนโลยี, การสังเคราะห์และโต้เถียง-ทางการเมืองชื่อ The Atlantic ได้เปิดโปงว่า ในพิธีเฉลิมฉลองการลงนามสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ชานกรุงปารีส ซึ่งปธน.ทรัมป์ได้เข้าร่วมพิธีพร้อมผู้นำฝรั่งเศส และอีกหลายๆ ชาติ (รวมทั้งจากไทย-ที่เป็นประเทศร่วมชนะสงคราม) โดยในกำหนดการสำหรับผู้นำสหรัฐฯ จะให้ทรัมป์เดินทางไปวางหรีดในสุสานทหารอเมริกันที่ตายที่ยุโรป มีทั้งที่มีชื่อและที่นิรนาม แต่ปรากฏว่า ทรัมป์ไม่ได้เดินทางไปวางหรีด ด้วยเหตุผลคือ พายุฝนทำให้เฮลิคอปเตอร์ขึ้นลงลำบาก และก็ไม่ได้นั่งรถไป (ประมาณ 100 กม.) ด้วย และทรัมป์ได้กล่าวด้วยคำพูดที่นักข่าวต้องสะดุ้ง คือ ทรัมป์บอกว่า ไม่จำเป็นต้องไปวางหรีดสำหรับเหล่าทหารที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้น เพราะพวกเขาเป็น “losers” และ “Suckers” คือ เป็นพวกที่พ่ายแพ้หรือห่วยแตก จึงต้องตายในสงคราม ไม่สามารถนำชีวิตรอดกลับไปบ้านเกิดได้!

คำพูดนี้มีการยืนยันจากนักข่าวหลายสำนักที่อยู่ในที่เกิดเหตุ รวมทั้งนักข่าวหญิงอาวุโสของสถานีฟ๊อกซ์ ที่ออกมายืนยันด้วย ขณะที่ทรัมป์ออกมาปฏิเสธว่าตนไม่ได้พูด และอ้างว่าได้ยกหูพูดโทรศัพท์กับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งว่า เขาอยากไปวางหรีดแต่ไปไม่สะดวกเพราะติดปัญหาฝนตกหนัก

พวกนักข่าวก็จับโกหกเขาอีกว่า เขาตัวติดอยู่กับภรรยาในช่วงนั้น เพราะเธอได้ร่วมเดินทางมาปารีสด้วย ไม่ใช่อยู่ที่ดี.ซี.-ไม่มีการโทรศัพท์ไปหาภรรยาตามที่อ้าง!

เมื่อวานนี้เอง ทรัมป์ได้ออกมาบิดจากรับกลายเป็นรุก โดยปราศรัยว่า พวกทหารชื่นชมรักเขามาก (หลังจากโพลสะท้อนความชื่นชมของทหารในตัวเขาได้ลดลง) โดยเฉพาะเหล่าทหารชั้นผู้น้อย ที่เห็นเขาเพิ่มงบให้ทหาร รวมทั้งติดอาวุธทันสมัยให้แก่ทหารที่ออกรบในสนามรบต่างๆ (เช่น อัฟกานิสถาน, อิรัก เป็นต้น) ต่างกับสมัยโอบามาที่ตัดงบมหาศาล (ไม่เป็นความจริงเช่นกัน) และปล่อยให้ทหารชั้นผู้น้อยไปออกรบโดยปราศจากอาวุธและเครื่องป้องกันที่ทันสมัย (ก็ไม่จริงอีก!)

ที่สำคัญ เขาได้สร้างความแตกแยกในหมู่ทหารทันที (ดังเช่นเคยทำมาแล้วกับหน่วยงานเอฟบีไอ และความแตกแยกในสังคมอเมริกัน) โดยพูดเน้นตำหนิกล่าวหานายทหาร (นายพล) ชั้นผู้ใหญ่ว่า เป็นพวกที่หมกมุ่นแต่จะทำสงคราม หมกมุ่นที่จะสร้างอาวุธระเบิดสารพัดอย่าง และตัวเองใกล้ชิดอยู่กับบริษัทผลิตและพัฒนาอาวุธ แทนที่จะสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของทหารระดับล่างที่ถูกส่งไปรบแนวหน้า!

อดีตนายทหารแม่ทัพทั้งหลาย ต่างดาหน้ากันออกมาสับทรัมป์โดยทั่วหน้า เพราะทหารที่ตายในสงครามก็คือ ผู้เสียสละชีวิตตัวเองและควรแก่การยกย่อง

สำหรับทรัมป์แล้ว วีรบุรุษคือคนที่ต้องรอดชีวิตกลับมาโดยไม่เคยถูกศัตรูจับได้ในที่รบ เหมือนที่เขาทั้งโกหกปรับเปลี่ยนทุกท่าเพื่อเอาตัวรอด โดยไม่ให้ใครสามารถเอาผิดกับเขา ไม่ว่าในเรื่องการเลี่ยงภาษี, เลี่ยงกฎหมาย, บิดเบือนหลักฐานทุกๆ อย่าง และเขาเคยถล่มนักรบเหรียญกล้าหาญอย่าง ส.ว.จอห์น แมคเคน ว่า ไม่ใช่วีรบุรุษ เพราะถูกเวียดกงจับเข้าคุก 5 ปีที่ฮานอย ฮิลตัน และมีนักข่าวได้รายงานว่า ทรัมป์ไม่ยอมลงนามให้ลดธงครึ่งเสาเหนือทำเนียบขาว และรัฐสภาเมื่อ ส.ว.อาวุโสแมคเคน เสียชีวิต

เขาดึงอยู่ 2 วัน จนทนแรงกดดันของสังคมไม่ไหว เพราะที่รัฐแอริโซนา (บ้านพักของจอห์น แมคเคน) และอีกหลายๆ รัฐทั่วสหรัฐฯ ได้ยกธงครึ่งเสาตั้งแต่วันแรกที่แมคเคนเสียชีวิต

2. เรื่องโควิดที่ทรัมป์บริหารผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์และรับมือ จนทำให้คนตายไปเกือบ 2 แสนคนตอนนี้ และมีโมเดลทางระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันว่า ยอดคนตายจะเป็น 2 เท่าหรือ 4 แสนคนในปลายเดือนมกรานี้ด้วย ซึ่งทรัมป์ได้พลิกจากรับ (ทำไม่รู้ไม่ชี้ถึงตัวเลขนี้-ไม่เคยเอ่ยถึง) โดยพูดซ้ำๆ ว่า อเมริการับมือได้ดีที่สุดในโลก ไม่งั้นจะตายมโหฬารกว่านี้ และกลับมาเป็นรุก; โดยประกาศว่า เขาได้เร่งรัดให้บริษัทยา 3-4 แห่ง ที่เขามอบเงินให้สามารถผลิตวัคซีนได้สำเร็จ พร้อมแจกจ่ายไปยังรัฐต่างๆ ก่อนเลือกตั้งได้! ทั้งๆ ที่พวกคุณหมอต่างออกมาเตือนว่า วัคซีนจะยังไม่ปลอดภัยถ้าเร่งรัดเกินไปก็ตาม

3. เรื่องที่ทรัมป์โจมตีรัฐต่างๆ (ขณะนี้มี 9 รัฐแล้ว) ที่มีมติให้ประชาชนลงคะแนนด้วยการ mailing อยู่ถึง 100% โดยทรัมป์กล่าวหาว่าจะมีการโกงอย่างมากมาย และเขาเคยกล่าวว่า เขาจะแพ้เลือกตั้งมีอยู่กรณีเดียว คือ-เขาถูกโกงการเลือกตั้ง; และเขาพูดกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานว่า ผู้ว่าการรัฐที่เป็นเดโมแครตกำลังวางแผนโกงการเลือกตั้งโดยวิธี mailing พร้อมกับส่งให้ ผอ.องค์การไปรษณีย์ให้ลดงบทันที (แทนที่จะเพิ่งงบเพื่อรองรับการลงคะแนนแบบ mailing) รวมทั้งให้ลดการใช้เครื่องจักรแยกเมล ซึ่งจะทำให้ใบลงคะแนนเสียงที่ประชาชนส่งกลับมา จะมาถึงเขตเลือกตั้งช้ากว่าที่กฎหมายกำหนด และจะกลายเป็นบัตรเสียทันที! นับเป็นแผนแยบยลที่ทรัมป์จะโกงการเลือกตั้งอย่างหน้าตายเฉย!

4. สำหรับเรื่องเศรษฐกิจที่ทรัมป์ตอกย้ำว่า เขาทำให้เศรษฐกิจเติบโตรุ่งเรืองมาตลอด 3 ปีครึ่ง จนมาโดนโควิดที่มาหยุดเศรษฐกิจ เขาสร้างความหวังกับประชาชนว่า เขาสามารถนำพาเศรษฐกิจให้กลับมาฟูเฟื่องได้อีก ถ้าเขาได้รับเลือกมาอีกครั้ง

เรื่องนี้ไบเดนได้ออกมาชี้ให้เห็นว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากโควิดนั้น การฟื้นตัวมีลักษณะเป็นรูปตัว K ซึ่งถ้าเป็นบางอุตสาหกรรมที่สามารถเติบโตได้เมื่อผู้คนต้องรักษาระยะห่างทางสังคม (เช่น อุตสาหกรรมไอที, ซอฟต์แวร์, ค้าปลีกออนไลน์, ดูหนังฟังเพลงออนไลน์, การออกกำลังกาย-ทั้งอุปกรณ์และเสื้อผ้า, รองเท้า, การบันเทิงออนไลน์ รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ และต้นไม้ประดับออนไลน์ เป็นต้น) ได้มีการฟื้นตัวอย่างตัว V ซึ่งก็คือส่วนบนของตัว K นั่นเอง...ขณะที่อุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เช่น การบินพาณิชย์, การเดินทาง, รถยนต์, น้ำมัน, การท่องเที่ยว, โรงแรม, ร้านอาหาร, สวนสนุก, ค้าปลีกแบบดั้งเดิม เป็นต้น กลับทรุดหนักแบบตัว V หัวคว่ำ

ยิ่งสภาพคล่องล้นเกินจากดอกเบี้ยต่ำที่ธนาคารกลาง Fed ได้อำนวยไว้ แต่เงินจากธนาคารกลับไปไม่ถึงเหล่าเอสเอ็มอีที่อยู่ในส่วนล่างของตัว K; เงินกลับไปช่วยธุรกิจยักษ์ที่ยังเติบโต (พวกไอที) ได้โตมาตลอด 5 เดือนที่ผ่าน...และรวมทั้งโครงการของรัฐที่อาจช่วยแต่ผู้ประกอบการใหญ่ เช่น ลดภาษีต่างๆ ก็ยิ่งทำให้คนรวยกลับรวยขึ้นๆ เป็นเงินต่อเงิน ขณะที่คนจนส่วนใหญ่กลับต้องถูกลดเงินเดือน, เลิกจ้าง, บ้านถูกยึด ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ที่โจ ไบเดน กำลังเป็นห่วงว่า นโยบายของทรัมป์ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจฟื้นโดยทั่วหน้า

5. เรื่องสุดท้ายคือ การระดมห้ำหั่นโจมตีจีนอย่างยิบตาไม่เว้นแต่ละวัน เพื่อมากลบความผิดพลาดของเขาที่ไม่สามารถรับมือโควิดได้ตั้งแต่ต้นๆ และเขาเหมาให้เป็นความผิดของจีนทั้งหมด ถึงกับห้ามบริษัทอเมริกันซื้อชิปจากจีนทีเดียว


กำลังโหลดความคิดเห็น