อีกเพียง 100 วัน ก็จะถึงวันพิพากษาสำหรับทรัมป์ นั่นคือ วันที่ 3 พฤศจิกายน ที่จะเลือกตั้ง ปธน.และประชาชนจะตัดสินว่าจะเลือกผ่าน Electoral College ให้เขากลับมาเป็น Comeback Kid สมัยที่สองหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ได้กลับมาก็จะทำให้ทรัมป์เสียหน้าเอามากๆ เพราะได้คุยโวขนาดดึงเอาพระเป็นเจ้าเข้ามาสนับสนุนว่า เขาคือ “The Chosen One” ที่ประเสริฐเลิศสุดในโลก เพราะความเก่งกล้าเกินมนุษย์ จนพระเจ้าได้เลือกให้เขาลงมาบนโลกเพื่อกอบกู้โลกนี้ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐฯ ที่เขาสามารถทำให้เศรษฐกิจดีเลิศ (โดยวัดจากตลาดทุนวอลล์สตรีท ที่ได้ทำลายสถิติมาตลอด 3 ปีที่เขาเป็น ปธน.) จนกระทั่งมาชะงักงันก็ช่วงโควิด-19 นี้แหละ
ที่สำคัญคือ คู่อาฆาตของทรัมป์ได้แก่อดีตปธน.ผิวดำคนแรกของสหรัฐฯ ซึ่งเขาได้พยายามสกัดกั้นตั้งแต่โอบามายังไม่ได้เข้าทำเนียบขาวครั้งแรกด้วยซ้ำ ว่าไม่ได้เกิดในแผ่นดินอเมริกา โดยพยายามกล่าวหาว่า โอบามาไม่มีคุณสมบัติหรือสิทธิที่จะเป็นปธน. (ทั้งๆ ที่ความจริง คนอเมริกันที่มีพ่อหรือแม่เป็นอเมริกัน จะเกิดนอกสหรัฐฯ...เช่นกรณีของ John McCain ที่เกิดที่ประเทศปานามา...ก็ต้องเป็นคนอเมริกัน และมีสิทธิเข้าดำรงตำแหน่งปธน.สหรัฐฯ ได้เต็มภาคภูมิ) และกล่าวทับถมโอบามาในแทบทุกนโยบายชิ้นโบแดงของโอบามา เช่น การเปิดสัมพันธ์กับอิหร่าน, คิวบา และที่สำคัญคือจี้ใจดำคนงานผิวขาวระดับล่าง (ซึ่งเคยเป็นเดโมแครต) ว่า พวกเขาต้องตกงานเพราะสหรัฐฯ ขาดดุลการค้าถึงเกือบ 6 แสนล้านเหรียญกับประเทศจีน เพราะอดีตปธน.อเมริกันทั้งรีพับลิกันหรือเดโมแครต ต่างไม่แยแสต่อการขาดดุลการค้ากับจีน เพราะโรงงานอเมริกันแห่กันไปตั้งในจีน แล้วผลิตสินค้า (ราคาไม่แพงเท่าในสหรัฐฯ) ส่งกลับมาขายในสหรัฐฯ โดยทรัมป์หาเสียงมาตลอดว่า เขารู้ทันเล่ห์ของจีน (ทั้งทำให้เงินหยวนอ่อนค่าเกินจริง เพื่อช่วยขายสินค้าและขายการท่องเที่ยว-รวมทั้งการละเมิดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา) ยิ่งสมัยโอบามาก็ยิ่งขาดดุลการค้ามโหฬารที่สุดกว่าครั้งใดๆ...คือ ทุกๆ อย่างที่เกี่ยวกับคนผิวขาวระดับล่างตกงาน จะไปโทษโอบามาและประเทศจีนว่าโอบามารู้ไม่เท่าทันจีน เป็นต้น
ยิ่งโอบามาประสบความสำเร็จในการโน้มนำให้ปธน.สี มาร่วมลงนามในการช่วยโลกให้ฝ่าฟันออกมาจากภาวะโลกร้อน ในข้อตกลง Paris Accord...ทรัมป์กลับฉีกข้อตกลงนี้ เพื่อพยุงพลังงาน Fossil Fuel ต่อไป ซึ่งทำให้คนงานผิวขาวพอใจมาก ทั้งๆ ที่การตกงานของพวกเขานั้น มีต้นตอส่วนหนึ่งมาจากข้อตกลงการค้าเสรีนาฟตา ซึ่งทำขึ้นสมัยรัฐบาลปธน.บุช (ผู้พ่อ) แล้วมาลงนามในสมัยปธน.คลินตัน และอีกปัจจัยที่ทำให้พวกคนงานผิวขาวตกงาน ก็คือ เทคโนโลยี ทั้ง Robot, AI ที่มาทำงานแทนพวกเขา ทั้งในโรงงานและตามเหมืองแร่ต่างๆ รวมทั้งงานด้านบริการก็เปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว
เมื่อเลือกตั้งปี 2016 ทรัมป์ได้เริ่มหาเสียงโทษคนงานมาจากอเมริกากลางและอเมริกาใต้แอบลักลอบเข้ามาแย่งงานคนผิวขาวในสหรัฐฯ รวมทั้งสร้างความหวังว่า ถ้าเขาได้เข้ามาเป็นปธน. เขาจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโก (โดยรัฐบาลเม็กซิโกจะต้องจ่ายเงินสร้างกำแพงนี้) ไม่ให้คนงานข้ามเข้ามาหางานทำในสหรัฐฯ และหาเสียงเรื่องจีนปล้นงานไปจากคนงาน (ผิวขาว) ระดับล่าง ซึ่งเขาก็ประสบผลสำเร็จที่ได้เสียงจากคนงาน (ผิวขาว) จากรัฐอุตสาหกรรมที่ยังใช้พลังงานฟอสซิล รวมทั้งการตั้งความหวังว่าทรัมป์จะทวงงานที่ย้ายไปจีนให้กลับคืนมา
การเลือกตั้งครั้งนี้ (ปี 2020) เขาก็ยังจะเดินหน้าการปลุกปั่นให้คนงานผิวขาวยังต้องภักดีต่อเขา เพื่อสู้กับจีนต่อไป
ยิ่งมีไวรัสร้ายมาบุกอเมริกา และเขามัวชักช้าไม่ตั้งรับอย่างเต็มที่ เพราะเกรงว่า ถ้าไปตั้งรับไวรัสจะทำให้กระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในปีสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง
มารู้ตัวเอาก็เหลืออีกแค่ 100 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง กับคะแนนนิยมที่ตกลงเป็นเลข 2 หลัก (15-20%) ในทุกๆ โพล (รวมทั้ง Fox Polls ด้วย) โดยมีเรื่องการจัดการกับโควิด-19 เป็นปัจจัยหลักที่ดึงคะแนนนิยมของเขาอย่างมาก-บางโพลต่ำแค่ 37%
ไม่น่าสงสัยว่า คนผิวขาวใน Suburb ที่มีการศึกษาทั้งชายและหญิง เริ่มไม่พอใจการสู้กับโควิด-19 ของทรัมป์ ที่ไม่มีประสิทธิภาพสิ้นเชิง ไม่ว่าจะไม่เตรียมการด้านอุปกรณ์ PPE, หน้ากาก, เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น โดยเฉพาะบ้านพักคนชรา ซึ่งเป็นพ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ของคนผิวขาวที่มีฐานะดี ก็ต้องตายเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ยอดคนตายในสหรัฐฯ จากโควิด-19 สูงเกือบ 150,000 คน น่าตกใจมากสำหรับประเทศที่ทรัมป์หลอกประชาชนของเขาตั้งแต่โรคเพิ่งเข้ามาสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ (แค่ 15 รายที่ตรวจพบติดเชื้อ) ว่า โรคนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่น่าตกใจ ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย เพราะสหรัฐฯ มีความพร้อมดีที่สุดในโลกที่จะรับมือ
และปฏิเสธที่จะให้ประชาชนสวมหน้ากาก โดยเขาเองจะไม่ยอมสวมเด็ดขาด...ยิ่งในเดือนพฤษภาคม เขาต้องการให้ธุรกิจกลับมาดำเนินการเป็นปกติ เขายิ่งยุยงไม่ให้คนสวมหน้ากาก ขนาดการเดินทางไปหาเสียงสดๆ (ไม่ใช่ virtual) ที่เมือง Tulsa และที่ Mount Rushmore ก็ยิ่งทำให้โรคขยายติดเชื้อกันมากยิ่งขึ้น
เมื่อคะแนนนิยมตกลงมาตามหลังไบเดน ทั้งใน National Polls และใน Battleground States มากยิ่งกว่าสมัยที่ฮิลลารีเคยนำทรัมป์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ทรัมป์จึงตัดสินใจ (ส่วนหนึ่งมีแรงกดดันมาจากภายในพรรคเอง) ให้ต้องออกมาสวมหน้ากาก โดยหาเหตุผลจะไปเยี่ยมทหารบาดเจ็บที่โรงพยาบาล Walter Reed
และได้จัดให้มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของ Task Force ด้านโควิด-19 ของทำเนียบขาว (ที่ว่างเว้นไม่ได้แถลงมาตั้งแต่เดือนเมษายน ที่โรคเริ่มระบาดหนักในหลายรัฐ และทรัมป์ได้ปล่อยไก่แถลงว่า น้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ในห้องน้ำเช่น Lysol น่าจะหาวิธีนำมาฉีดฆ่าไวรัสร้ายในร่างกายมนุษย์ได้...ก็ง่ายนิดเดียว!...ทำเอาฐานเสียงรีพับลิกันที่มีการศึกษา รวมทั้งเหล่า Independent ถึงกับส่ายหน้าไม่เอาทรัมป์สูงมากขึ้นทันที)
การสวมหน้ากากกลายเป็นประเด็นการเมืองอย่างไม่น่าเชื่อ พวกบูชาทรัมป์จะปฏิเสธไม่ยอมสวม โดยอ้างเสรีภาพในร่างกายที่จะไม่ยอม (บางรัฐออกเป็นกฎบังคับ) สวมคลุมปากและจมูก และบางคนก็อ้างเลยไปถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น, การพูด ซึ่งการสวมหน้ากากเป็นการละเมิดสิทธิอันนี้ (ทั้งๆ ที่การสวมหน้ากากไม่ได้สกัดกั้นการพูดจาแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด)
การแถลงข่าวของ Task Force ครั้งนี้ ไม่เห็นเงาของคุณหมอเฟาชี เพราะทรัมป์เริ่มดิสเครดิตความคิดเห็นของคุณหมออย่างออกนอกหน้า และคุณหมอกลับกลายเป็นได้รับการนิยมอย่างสูง พวกทีมเบสบอลที่จะแข่งประจำปี 2020 ได้เชิญเขาไปเขี่ยลูกเปิดงานทีเดียว
ทรัมป์พูดใน 2 เรื่องที่คิดว่าเขากัดฟันต้องอ่านตามบทที่มีคนเขียนให้ (แทนการพูดเองสดๆ) คือ
การสวมหน้ากากเป็นการแสดงถึงความรักชาติ เพื่อไม่แพร่เชื้อไปให้คนอื่น และเขาก็กำลังจะสวมหน้ากากต่อจากนี้ จนบางคนตั้งคำถามว่า นี่ยังเป็นทรัมป์คนเดิมรึเปล่า หรือเป็นทรัมป์คนที่สองกันแน่
อีกเรื่องคือ สถานการณ์ติดเชื้อและตายจะเลวร้ายยิ่งขึ้น ก่อนที่จะดีขึ้นในที่สุด (ตรงข้ามกับที่เขาพูดโกหกหลอกมาตลอดว่า โรคนี้ไม่ร้ายแรง และเหตุการณ์ไม่น่าห่วง...ประเทศสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของเขารับมือได้ดีที่สุดในโลก... รวมทั้งตัวเลขคนตายเพราะไวรัสในสหรัฐฯ ก็เยี่ยมที่สุดในโลก!!!) -ยังมีสำเนียงวางชั้นเชิงไม่ให้ตัวเองผิดอยู่ดี
เป็นการพลิก 180 องศา ของทรัมป์ เพื่อให้รอดจากการเพลี่ยงพล้ำกำลังคะแนนตกขณะนี้
ในพรรครีพับลิกันเอง นอกจาก ส.ว.Mitt Romney และยังมี ส.ว.จากรัฐอะแลสกา และจากรัฐเมนแล้ว ตอนนี้มี ส.ส.รัฐไวโอมิงคือ Liz Cheney นักกฎหมายจบจาก U.of Chicago ก็เริ่มแสดงจุดยืนเข้าข้างคุณหมอเฟาชีเรื่องการรับมือกับโควิด-19 ทั้งด้านการสวมหน้ากาก (อดีตรองปธน.Dick Cheney สวมหน้ากากที่เขียนที่ตัวหน้ากากว่า ขอให้ทุกๆ คนสวมหน้ากาก (“Wear a Mask” ได้ปรากฏรูปนี้ผ่านทางลูกสาวของเขานั่นเอง)
การออกมาเปลี่ยนนโยบายต่อโควิด-19 ของทรัมป์ครั้งนี้ น่าจะสายเกินแก้หรือไม่ เป็นเรื่องน่าติดตามยิ่ง