xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

ยุทธศาสตร์แก้จนฉบับนายสังศิต

เผยแพร่:   โดย: สังศิต พิริยะรังสรรค์



สังศิต พิริยะรังสรรค์
ประธานคณะกรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา

มีคำถามว่าทำไมคนไทยจำนวนมากจึงยากจนและมีความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้และโอกาศในการเข้าถึงทรัพยากรของภาครัฐอย่างไม่เท่าเทียมกัน?

วิธีมองและการอธิบายสาเหตุ ตลอดจนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายมีหลายมุมมอง (approach) แต่ที่นิยมใช้กันมากคือมุมมองแบบโครงสร้างนิยม (structuralism) ซึ่งผมเห็นว่าเป็นประโยชน์ดี เช่นการมองโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจและโครงสร้างทางด้านสังคมที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนที่มีอำนาจทุน อำนาจรัฐ และอำนาจทางการเมือง มากกว่าคนธรรมดาทั่วไปที่ไร้อำนาจต่อรองแต่การมองสาเหตุของความยากจนแบบข้างต้นนี้จะนำเสนอทางออกของประเทศอย่างไรนโยบายเพื่อหาทางออกให้กับประเทศจะใช้นโยบายปฏิรูปหรือปฏิวัติ? หากไม่ใช่นโยบายทั้งสองแบบนี้ เรามีทางเลือกอื่นๆที่ดีกว่านี้อีกหรือไม่? 

สำหรับนโยบายการปฏิรูปประเทศอย่างที่เราเห็นอยู่ในเวลานี้ว่าไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง แม้ว่าจะมีรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่กำหนดให้มีการปฏิรูปการศึกษาและตำรวจ แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องกล่าวถึงแผนปฏิรูปประเทศ 20 ปีที่สภาพัฒน์ทำหน้าที่รายงานต่อทั้งสองสภาทุก 3 เดือน แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ให้งบประมาณสนับสนุนแผนต่างๆเหล่านี้เลย สำหรับเรื่องนี้ ผมเห็นว่าแผนที่ปราศจากงบประมาณจากรัฐบาล ก็เป็นเพียงเอกสารที่เป็นความรู้ชุดหนึ่งเท่านั้นเอง เนื้อหาสาระของมันจะมีความหมายต่อการแก้ปัญหาความยากจนได้หรือไม่ ผมก็ไม่แน่ใจนอกจากนี้พรรคการเมืองต่างๆที่เข้าร่วมเป็นรัฐบาลดูจะสนใจนโยบายของพรรคตัวเองที่ใช้หาเสียงมามากกว่าแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่คสช.ผลักดันให้เกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นข้าราชการส่วนใหญ่อาจไม่เคยอ่านตัวแผน มิใยต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะผลักดันแผนนี้หรือไม่ ผมคิดว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนายกรัฐมนตรีไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ผมสามารถพยากรณ์ได้เลยว่าแผนปฏิรูปประเทศ 20 ปีจะถูกนำไปเก็บไว้บนหิ้งตลอดไป แผนการปฏิรูปประเทศจะกลายเป็นชุดความรู้ชุดหนึ่งที่จะไม่ถูกนับรวมว่าเป็นความรู้ของรัฐบาลอีกต่อไป มันจะกลายเป็นความรู้ที่คนในสังคมไม่ได้อ่าน ไม่ได้ฟังและถึงแม้มีโอกาศได้ฟัง คนก็จะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะมันจะกลายเป็นชุดความรู้ที่ล่องลอยอยู่ในสูญญากาศ เมื่อไม่มีอำนาจทางการเมืองมารองรับชุดความรู้นี้ ความรู้ชุดนี้ก็จะไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ให้กลายเป็นความจริง (truth) ของสังคมได้อีกต่อไป

คำถามว่าการปฏิรูปจากข้างบนลงสู่ข้างล่างหรือจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบน อันไหนดีกว่ากัน? สำหรับผมแล้วยอมรับได้ทั้งสองทาง ขอเพียงให้การปฏิรูปนั้นเกิดประโยชน์สุขแก่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้จริง และการเปลี่ยนผ่านของระบอบการปกครองขอให้เป็นไปอย่างสันติ และปราศจากการใช้ความรุนแรง

การปฏิรูปจากข้างบนลงสู่ข้างล่างสามารถให้ประโยชน์สุขแก่ประชาชนได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นในประเทศฝรั่งเศสเคยเกิดขึ้นในสมัยจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ตที่ได้ใช้อำนาจเผด็จการประกาศนโยบายการปฏิรูปที่ดินด้วยการแจกจ่ายที่ดินให้แก่เกษตรกรทั้งประเทศ ทำให้เกษตรกรชาวฝรั่งเศสได้ครอบครองที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยจนกลายเป็นมรดกตกทอดมาตราบจนถึงทุกวันนี้ ส่วนในเยอรมันบิสมาร์กในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยให้ชนชั้นแรงงานมีความพร้อมที่ปฏิวัติสังคมนิยมด้วยการใช้กำลังและความรุนแรงเป็นเครื่องมือ ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกว่าจะใช้การปราบปรามหรือหาทางออกอย่างสันติวิธี บิสมาร์กตัดสินใจเลือกนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมอย่างกว้างขวางแทนการใช้กำลัง ด้วยการปฏิรูประบบราชการให้เป็นแบบสมัยใหม่ซึ่งเป็นการทำลายล้างความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ และทำลายล้างการคอรัปชั่นในระบบราชการ ประชาชนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงชาติตระกูลและความมั่งคั่ง รวมทั้งการปฏิรูปยังได้ทำลายความเชื่อไสยศาสตร์และนำความคิดแบบวิทยาศาสตร์เข้าแทนที่ เป็นต้น นอกจากนี้เขายังได้สร้างระบบประกันสังคมที่ดีที่สุดในโลกขึ้นให้กับประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งได้ปฏิรูปด้านเศรษฐกิจที่ทำให้เยอรมันที่ล้าหลังกลายเป็นชาติที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วจนไล่ทันความเจริญของอังกฤษและฝรั่งเศสที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมไปก่อนหน้านานแล้ว

สำหรับตัวอย่างการปฏิรูปจากข้างล่างได้เกิดขึ้นในราชวงศ์แมนจูของจีนที่นำโดยดร.ซุนยัตเซ็นที่สามารถเปลี่ยนประเทศจีนจากประเทศกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาเป็นระบบสาธารณรัฐได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นจีนต้องเผชิญหน้ากับสงครามกลางเมืองและสงครามต่อต้านญี่ปุ่นอย่างยาวนานอีกหลายสิบปีตราบจนกระทั่งพรรคคอมมิว. นิสต์แห่งประเทศจีนได้รับชัยชนะในปีพศ. 2494 และสามารถนำพาประเทศจีนก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ในที่สุด อีกตัวอย่างหนึ่งคือการต่อสู้ของมหาตะมะคานธีและเนลสัน แมนเดลาที่สามารถปลดปล่อยอินเดียและแอฟริกาใต้ให้เป็นประเทศเอกราชจากอังกฤษอย่างสันติวิธี ถือเป็นแบบอย่างของการใช้พลังประชาชนไปปลดปล่อยและเปลี่ยนแปลงประเทศให้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยทางการเมืองได้สำเร็จ แต่การปฏิรูปเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศดำเนินไปได้ค่อนข้างจะล่าช้าและประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยากจนข้นแค้น

ผมคิดว่าสำหรับประเทศไทยแล้วการปฏิรูปประเทศที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ เพื่อบรรลุภารกิจนี้

1.เราต้องปฏิรูประบบการศึกษาให้เกิดความเป็นธรรมโดยยึดหลักการว่าคนมีน้อยรัฐต้องอุดหนุนมากเป็นพิเศษ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม

2.ต้องปฏิรูประบบราชการให้เกิดธรรมาภิบาล ส่งเสริมคนดีและเก่งในภาครัฐให้มีโอกาสเจริญก้าวหน้าในอาชีพได้

3.ส่งเสริมการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องของคนเป็นสำคัญ และ

4.ต้องปฏิรูประบบเศรษฐกิจตลาดเสรีให้เป็นระบบเศรษฐกิจตลาดเพื่อสังคม ที่เน้นการให้ประโยชน์แก่ประชาชนส่วนข้างมาก ส่งเสริมธุรกิจขนาดจิ๋ว เล็กและกลางให้เติบโตได้ ให้ธุรกิจสามารถแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม และรัฐบาลต้องสนับสนุนธุรกิจของคนไทย เน้นการใช้วัตถุดิบของไทยในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และหากกลไกตลาดสร้างความเดือดร้อนและความไม่เป็นธรรมให้แก่ประชาชน รัฐบาลสามารถใช้อำนาจแทรกแซงการทำงานของกลไกตลาดได้

สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการเรียกร้องเรื่องการปฏิรูประเทศและการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่สำหรับผมการปฏิรูปที่สำคัญคือการปฏิรูปทางด้านเศรษฐกิจต้องมาก่อนการปฏิรูปทางการเมืองและควรมาก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป แต่หากมีผู้ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมจะไม่คัดค้าน แต่ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย หากจะแก้ไรัฐธรรมนูญ ผมอยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆที่ได้กล่าวถึงข้างต้นมากกว่า ที่สำคัญการปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต้องมีผู้นำประเทศที่มีความคิดปฏิรูปด้วย

เฉพาะหน้าสิ่งที่ผมอยากเห็นการปฏิรูปมากที่สุดคือการขจัดความยากจน และเครื่องมือที่สำคัญคือการสร้างแหล่งน้ำขนาดเล็กให้ครอบคลุมทั้งประเทศให้แล้วเสร็จภายใน 2-4 เดือน 24 ลุ่มน้ำของไทย ไม่ว่าจะเป็นปิง วัง ยม น่าน และที่เหลือทั้งหมดควรสร้างฝายแกนซอยซีเมนต์ตามสภาพความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์โดยมีระยะห่าง 2-5 กิโลเมตรต่อฝาย 1 ตัว ความสูง 2- 4 เมตร เนื่องจากเป็นฝายขนาดเล็กจึงไม่ติดขัดเรื่องการเวนคืนที่ดิน และการทำ EIA ทุกลำน้ำในประเทศไทยจะกลายเป็นแหล่งเก็บนำ้ที่สมบูรณ์ตลอดปี น้ำปริมาณมหาศาลนี้จะช่วยพยุงน้ำใต้ดิน พยุงระดับน้ำบนดินตลอดทั้งสองฟากฝั่งให้มีความชุ่มชื้นยาวนาน คืนความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ช่วยรักษาสภาพของลำน้ำ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ลดปัญหาไฟป่า ลดปัญหาโลกร้อนฝายแกนซอยซีเมนต์ยังทำหน้าที่เหมือนคลองกระจายน้ำขนาดใหญ่ได้ด้วย ซึ่งสามารถสูบน้ำขึ้นจากทั้งสองฝั่งไปเติมแหล่งน้ำบนดินได้ นอกจากนี้ตลอดสองฟากฝั่งของทุกลำน้ำยังสามารถสูบน้ำด้วยโซลาเซลล์ขึ้นไปใช้เพื่อการอุปโภค บริโภคและเพื่อการเกษตรกรได้อีกด้วย

ผมคิดว่าถ้าเวลานี้เรามาช่วยกันสร้างแหล่งเก็บกักน้ำขนาดเล็กๆให้เต็มทั้งประเทศ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำให้ตกไปให้ได้ภายใน 1 ปี เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศไทยจะกลายเป็นคนชั้นกลาง( ในความหมายถึงรายได้ ไม่ใช่จิตสำนึก) ไปทันที กำลังซื้อและกำลังการบริโภคภายในประเทศจะมากขึ้น เศรษฐกิจไทยจะโตอย่างมีคุณภาพครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น