ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เอาปริมาณเข้าว่า คุณภาพไว้ทีหลัง
สะเปะสะปะ เลอะเทอะไปเรื่อยแล้ว “ม็อบปลดแอก” ไม่ว่าวงไหน ทั้งเยาวชน-ประชาชน-เด็กนักเรียน หรือในรั้วมหาวิทยาลัย ที่เอามันดันเพดาน ตั้งแต่เวที “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” เมื่อ 10 ส.ค.63 โยน “10 ข้อเรียกร้อง” ออกมาครื้นเครงกันในหมู่ “แกนนำ” ตรงกันข้ามกับ “แนวร่วม” ที่ชักเริ่มไม่สนุกด้วย
ยอมรับว่า หากเอาแค่ภาพการชุมนุมใหญ่หนล่าสุด เมื่อ 16 ส.ค.63 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ “ชาวปลดแอก” แห่แหนกันไปร่วมอุ่นหนาฝาคั่ง ก็ยังพอกระชุ่นหัวใจ “แกนนำ” รวมไปถึง “เบื้องหลัง” ที่ให้การสนับสนุนอยู่
เพราะหากกระแส “จุดติด” ดังที่โวกันจริง ป่านนี้ปักหลักพักค้างกันไปแล้ว ไม่ต้องเหนื่อย “แฟลชม็อบ” ดาวกระจายไปที่ต่างๆ ไม่เท่านั้นยังมีขบวนการตัดต่อเอาของเก่ามารีรันไลฟ์สดให้เข้าใจว่า มีม็อบทุกวันๆ ละหลายจุด เลี้ยงกระแสไปเรื่อยด้วย
และหากวิเคราะห์เจาะลึกแล้ว เชื่อว่า “ม็อบปลดแอก” ชัก “หมดมุก” ด้วยข้อเสนอ 3 ข้อหลัก อันประกอบด้วย 1.หยุดการคุกคามประชาชน, 2.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และ 3.ยุบสภา ที่เคยประกาศในการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 63 เริ่มไร้น้ำหนัก
ทั้งข้อเรียกร้อง “หยุดการคุกคามประชาชน” ที่ระยะหลังฝ่ายรัฐก็เปิดกว้างให้ใช้พื้นที่ และแสดงออกเต็มที่มากขึ้น ซึ่งก็ตามมาด้วยคดีความติดตัวเหล่าแกนนำผู้กล้าทั้งหลายเข้ามาแทน ซึ่งก็เข้าทำนอง “แกว่งเท้าหาเสี้ยน” เคลื่อนไหวหมิ่นเหม่ล้ำเส้นอาญาแผ่นดิน ที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็เฉยไม่ได้เช่นกัน
ส่วนเรื่อง “ร่างรัฐธรรมนูญใหม่” ทางฝ่ายการเมือง ทั้งรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ก็กำลังขับเคลื่อน “ในระบบ” ไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้มีการเริ่มกระบวนการแก้ไขรับธรรมนูญได้ ผ่านการมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่กันโควตาไว้ให้ภาคประชาชนและเยาวชน ตามข้อเรียกร้องของผุ้ชุมนุมแล้ว
จะมีก็แต่ “แก๊งก้าว” ทั้งพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า ที่ทำตัวเป็น “ไอ้เข้ขวางคลอง” พยายามเบี่ยงประเด็นไม่ยอมรับ และพาออกนอกลู่จ้องจะแก้ไขหมวด 1-2 ที่ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ไม่แตะต้อง และยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดคุยในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากนาทีนี้ต้องทำให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นำไปสู่การร่างฉบับใหม่ให้ได้เสียก่อน
เข้าใจว่า “แก๊งก้าว” คงรู้ดีว่า หากปล่อยให้กระบวนการแก้ไขและร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการ “ในระบบ” ได้ ก็เท่ากับปิดสวิตซ์ “การเมืองนอกระบบ” ไปโดยปริยาย
ส่วนเรื่อง “ยุบสภา” นั้นก็เป็นคิวถัดจากข้อ 2 เพราะหากยุบสภาตอนนี้ ก็เท่ากับต้องไปเริ่มคุยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการร่างฉบับใหม่ นับหนึ่งกันใหม่หลังการเลือกตั้ง ประตูยุบสภาเวลานี้ก็เท่ากับปิดตายไปโดยปริยาย
พูดง่ายหากมีการยุบสภา ก็เท่ากับ “ล้มกระดาน” แก้ไขรัฐธรรมนูญนั่นเอง
ขั้นตอนยุบสภา จึงจำเป็นต้องรอให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปแล้ว เป็นธรรมเนียมที่รัฐบาลในขณะนั้นต้องยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งหากไม่มี “อุบัติเหตุ” คาดการณ์กันว่าคงใช้เวลาราว 2 ปีนับจากที่ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ที่ประชุมร่วมรัฐสภาในช่วงปลายเดือน ก.ย.นี้ ที่จะเป็นช่วงปิดสมัยประชุมพอดี
เมื่อ 3 ข้อเรียกร้องถูกแก้โจทย์ได้หมด “ฝ่ายม็อบ” จึงจำเป็นต้องสร้างเงื่อนไขเพิ่ม สังเกตได้ว่า ในแต่ละเวทีชุมนุมแฟลชม็อบ มักมีการโยนข้อเรียกร้องออกมาอย่าง “สะเปะสะปะ” เพิ่มเป็น 5 ข้อบ้าง 7 ข้อบ้าง 10 ข้อบ้าง เหมือนจงใจไม่ให้มีความเป็นเอกภาพ เพื่อให้รัฐบาลแก้เกมไม่ได้
และก็ไม่ลืมที่จะสร้างประเด็น “ทะลุหลังคา” เพื่อให้เกิดการโต้ตอบ รวมทั้งสะสมแต้มเป็นคดีความติดตัว เพื่อเอาไว้เป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ให้เกิดภาพถูกกลั่นแกล้งคุกคาม ทั้งที่เป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมาย
จึงมีความพยายามในการเลื้ยงประเด็นที่ “เลยเถิด-เกินเลย” กันไว้ ทั้งที่รู้ดีว่า ทำให้เสียแนวร่วมก็ตาม
นึกย้อนไปถึงเมื่อค่ำคืนวันที่ 20 ส.ค.63 ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัว “แกนนำเยาวชนปลดแอก” ที่ร่วมขึ้นปราศรัยเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ส.ค.63 มาดำเนินคดี วันนั้น “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือโอกาสเข้าไปให้กำลังใจ และพูดคุยกับแนวร่วมเยาวชนหลายคน
หลักใหญ่ใจความตอนหนึ่งที่ “พี่เอก” ขอให้น้องๆ “ยืนระยะการชุมนุมให้ได้ ด้วยมองว่าหากสถานการณ์เข้าสู่โหมดแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้ความชอบธรรมในการชุมนุมกดดันรัฐบาล หรือ “การเมืองนอกระบบ” ขาดความชอบธรรมนั่นเอง
เพราะ “แก๊งก้าว” ที่ทำการเมืองในสภามาตลอด 1 ปี รู้แล้วว่า ด้วยระบบประชาธิปไตยที่ยึด “เสียงส่วนใหญ่” การเป็นฝ่ายค้านที่มีเสียงน้อยกว่า รวมทั้งแนวทางยังไม่ตรงกับฝ่ายค้านด้วยกันเองด้วย ยิ่งทำให้ “ความฝัน” และ “เป้าหมาย” ที่วางไว้ ไม่มีทางสำเร็จเป็นแน่
ไม่เท่านั้นยังเกิดรายการ “หักกันเอง” กับแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยเสียอีก ทำให้หลายเรื่องที่พรรคก้าวไกลอยากผลักดันในกลไกรัฐสภาไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย เห็นได้ชัดจากกรณีร่างแก้ไขรับธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทยไม่ร่วมลงชื่อให้อย่างไร้เยื่อใย
และมองว่าพลังการชุมนุมสามารถกดดันฝ่ายผู้มีอำนาจได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ครั้นจะกระโดดลงมา “นำทัพ” ด้วยตัวเองอย่างที่มีคนท้าทาย ก็รู้ดีว่าเท่ากับเป็นการทำลายภาพลักษณ์ “พลังบริสุทธิ์” ของผู้ชุมนุมอย่างแน่นนอน
จึงพยายามกระตุ้น เพื่อให้ “ม็อบเด็ก” ยืนระยะให้ได้ และเพื่อยืมมืออาศัยพลัง “ม็อบเด็ก” ในการกดดันฝ่ายผู้มีอำนาจนั่นเอง
กระทั่ง “สศจ.” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ต้องการหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ออกจดหมายเปิดผนึกถึง “เสี่ยเอก-ธนาธร” และ “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า
สาระสำคัญคือ “ท้าทาย” ให้อดีตผู้บริหารพรรคอนาคตใหม่ “เอานโยบาย 10 ข้อ (10 ข้อเรียกร้อง) เป็นนโยบายของคุณ”
ราวกับประจานคนเกล่านั้นว่ากำลัง “ทำนาบนหลังเด็ก”
ขณะที่ภายในผุ้ชุมนุมเองก็เพิ่มดีกรีการเคลื่อนไหว แสดงสัญลักษณ์ “เลอะเทอะ” อย่างการ “สาดสี” ใส่ตำรวจชั้นผุ้น้อย ที่หน้า สน.สำราญราษฎร์ ของนักร้องมีชื่อ “แอมมี่ บอตทอมบลู” ที่ทำไปทำมาเกิดกระแสตีกลับ ภายในฝ่ายต่อต้านรับบาลเองก็ไม่ยอมรับการกระทำดังกล่าว
แล้วยังออกแคมเปญ “ล่าแม่มด” ปลุกกระแสไม่อุดหนุนสินค้าที่ให้การสนับสนุนอีกฝ่าย ที่กลายมาเป็นบทเรียนคนทำการตลาด ที่นึกพิเรนทร์ประกาศตัวผ่านโลกออนไลน์ว่า “ไม่ใช่สลิ่ม” และ “ปลอดเชื้อสลิ่ม” จนเจอกระแสตีกลับจนดับอนาถคาชั้นวางในห้าง
หรือพฤติกรรม “ย้อนแย้ง” เรียกร้องไม่ให้ฝ่ายผู้มีอำนาจคุกคามสิทธิเสรีภาพ แต่กลับ ย้อนศรปั่นแฮชแท็ก “#ตามหาลูกประยุทธ์” ชนิด “คุกคาม” กันอย่างชัดเจน รวมทั้งยังปล่อย “เฟกนิวส์” ถล่ม “พลอย-เพลิน” ธัญญา - นิฏฐา จันทร์โอชา บุตรสาวฝาแฝดของ “บิ๊กตู่” กันอย่างไม่ยั้ง คิดว่าจะอีกฝ่ายไม่ตอบโต้เป็นแน่
ทว่าล่าสุด "พลอย-เพลิน" ที่เก็บตัวมาหลายปี ก็ลุกขึ้นมา “สไตรค์แบ็ค” มอบอำนาจให้ทนายไปแจ้งความเอาผิดผู้ที่บิดเบือนให้ร้ายเป็นหางว่างนับร้อยราย โดยว่ากันว่าหนึ่งในนั้น มี "เจ๊เจี๊ยบ นครปฐม" ตัวแรงจากแก๊งก้าวรวมอยู่ด้วย เฉกเช่นเดียวกับ “ชาวปลดแอก” ที่แชร์กันสนั่น
แถมเจอ “ลูกพ่อตู่” งัดไม้แข็งประกาศไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุดเสียด้วย ทำเอาไล่ลบกันแทบไม่ทัน
ในภาวะที่ฝ่ายม็อบชักสะเปะสะปะ ไม่มีเอกภาพ ก็ต้องจับตาชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย.ที่จัดขึ้นก่อนวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาว่าจะไปในทิศทางไหน
อย่างที่บอกเมื่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าตามระบบ ความชอบธรรมของการชุมนุมก็อาจหมดไป
ดังนั้นการชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย.นี้ อาจจะเป็น “เฮือกสุดท้าย” ของ “ชาวปลดแอก” ว่า จะปังหรือจะแป้ก
โจทย์ใหญ่คือเลี้ยงกระแสต่อ และยืนระยะให้ได้ ตามคำบัญชา หรือคำแนะนำของ “ลูกพี่เอก ณ แก๊งก้าว” ให้ได้
เชื่อแน่ว่า วันนั้น “แก๊งปลดแอก” คงต้องงัด “ไม้ตาย” แผลงๆมาเล่นแน่นอน.