ผู้จัดการสุดสัอดาห์ - ในจังหวะที่ฝ่ายรัฐบาลดูจะตกเป็นรอง หรือเพลี่ยงพล้ำในทางการเมือง “เดชะบุญ” ไม่น้อย ที่อีกฟาก “ฝ่ายแค้น-ฝ่ายค้าน” ก็ไม่ได้เป็นเอกภาพกันเท่าที่ควร
หลายเรื่อง-หลายประเด็น ก็ทำให้ “เสียขบวน” และเปิดหน้าซดกันเองอยู่ในตอนนี้
ฝ่ายแค้นแหกกันเอง
ทั้งนี้ ความไม่เป็นเอกภาพของ “ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล” นั้นสะท้อนผ่านการชุมนุม “กลุ่มเยาวชนปลดแอก” ที่มีการแตกไลน์ออกไปหลายรูปแบบทั่วประเทศ จนทำให้ 3 ข้อเรียกร้องเดิม อันประกอบด้วย 1.หยุดการคุกคามประชาชน, 2.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และ 3.ยุบสภา ที่เคยประกาศในการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 63 ชัก “เลยเถิด-เกินเลย” ไปมาก
กระทั่งกลายเป็น “แผลในใจ” ระหว่าง “เพนกวิน-พริษฐ์” - “สาวรุ้ง” - ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล - “ไมค์ ระยอง” ภานุพงศ์ จาดนอก ที่ถูกมองว่าเป็น "ปีกก้าวหน้า” และร่วมกันสนับสนุน “10 ข้อเรียกร้อง” กับทาง “ฟอร์ด” ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี เลขาธิการกลุ่มเยาวชนปลดแอก และ “เจมส์” ภานุมาศ สิงห์พรม แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก
ทว่า ความขัดแย้งของ “กลุ่มเพนกวิน-กลุ่มฟอร์ด” ก็กลายเป็นเรื่อง “เด็กๆ” ไปเลย เพราะกันมีความไม่ลงรอยกันในหมู่ “รุ่นใหญ่” ที่ว่ากันว่าเป็น “แรงบัลดาลใจ” ของ “ม็อบปลดแอก”
ตามคิวที่ “สศจ.” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ต้องการหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ออกจดหมายเปิดผนึกถึง “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจประธานคณะก้าวหน้า และ “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล ลขาธิการคณะก้าวหน้า
สาระสำคัญคือ “ท้าทาย” ให้อดีตผู้บริหารพรรคอนาคตใหม่ “เอานโยบาย 10 ข้อ (10 ข้อเรียกร้อง) เป็นนโยบายของคุณ”
เป็นจดหมายเปิดผนึกที่ออกมาหลังจากที่ “เสี่ยเอก-จารย์ป๊อก” สนับสนุนว่า 10 ข้อเรียกร้องบนเวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทนนั้น อยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ไม่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย
โดย “สมศักดิ์เจียม” ซัดไปตรงๆว่า “สิ่งที่ผมยืนยันมาโดยตลอด และคุณทั้งคู่ (ธนาธร-ปิยบุตร” ตระหนักแก่ใจดี แต่ด้วยความที่ไม่กล้า จึงไม่ยอมพูดออกไป ต้องให้เด็กรุ่นหลัง ออกหน้ามาแสดงเอง บัดนี้ พวกเขาได้ออกหน้า เสี่ยงภัยแล้ว เป็นหน้าที่ของพวกคุณที่จะรับหน้าที่ต่อ การยอมรับว่า สิ่งที่เสนอไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ยังไม่เพียงพอ จะต้องนำไปสู่การยอมรับเป็นหลักนโยบายของตน ประชาชนอดรนทนทรมานกับภาวะหลีกเลี่ยงปัญหามานานเพียงพอแล้ว เลิกพูดจาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเสียที”
ไม่เพียงเท่านั้น “ศาสดาล้มเจ้า” ผู้เป็นไอดอลของ “ม็อบไม่ทน” ยังไล่ติดตาม “จิกกัด” หรือเป็นพฤติกรรม “บูลลี่” ในทุกๆ ความเคลื่อนไหวของ “ปิยบุตร” อย่างต่อเนื่อง
คงด้วยความที่ “สมศักดิ์ – ปิยบุตร” เคยอยู่ใน “รั้วเหลืองแดง” ร่วมกันมา และมี “มายด์เซต” คล้ายๆ กัน อดีตในรั้วมหาวิทยาลัย ก็คงเคยนั่งถก “ประเด็นล่อแหลม” กันอย่างออกรสมาก่อนเป็นแน่
มาวันนี้ “ปิยบุตร” ออกตัวสนับสนุน “10 ข้อเรียกร้อง” ของม็อบไม่ทน ซึ่งเอาเข้าจริงล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นที่ “อดีต ส.ส.ป๊อก” เคยอภิปรายไว้สภาฯ เมื่อครั้งยังไม่ถูกตัดสิทธิ์แทบทั้งสิ้น
แต่ก็กลายเป็นว่า “ไม่สาแก่ใจ” กองเชียร์ที่ “ลอยตัว” อยู่แดนไกลอย่าง “สศจ.”
“ปิยบุตร พูดมากกว่าตอนเป็น ส.ส. และเมื่ออานนท์ เพนกวิน รุ้ง ฯลฯ พูดไปแล้ว พูดง่ายๆ รอให้พวกนั้นลงมือทำไปก่อน ... ปล่อยให้ พวกเด็กๆ ทำหน้าที่นำไปเรื่อยๆ แล้วดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆ … ชาตินี้ เราคงไม่ได้เห็นปิยบุตร ผู้แทนมวลชนออกนำหน้า ชูประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นแน่แท้”
หรืออย่าง “ปรามาส” การบรรยายที่ จ.เชียงใหม่ ของ “ปิยบุตร” อย่างสาดเสียเทเสียว่า “ปิยบุตรพูดที่เชียงใหม่ บัดนี้เขา (และกลุ่มก้าวไกล-พรรคก้าวหน้า) ได้ perfect วิธีการปรากฏตัวแบบหล่อๆ คือ ดูเหมือนเอาด้วยกับมวลชน แต่ขณะเดียวกันไม่ทำ ถ้าคุณจะทำ ทำเองตลอดประวัติศาสตร์ไทย เราพบแต่อย่างนี้ พวกตัวเล็กตัวน้อย ทำไปเสียสละไป พวกตัวใหญ่ๆ รอให้ปลอดภัยเต็มที่”
ขณะที่ “ป๊อก-ปิยบุตร” ถึงกับ “งอนตุ๊บป่อง” แล้วทวีตตอบโต้ว่า "ผมรู้ตัวเสมอว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมคิด ตัดสินใจ และมีวิธีการแบบของผม ไม่เหมือนอาจารย์ อาจารย์จะด่า จะไม่พอใจผม ผมไม่เคยโกรธ แต่ถ้าถึงขนาดว่า humilate (ทำให้ขายหน้า) ผมในโซเชียล เพื่อหวังให้มีคนมาตามด่าผมว่า ขี้ขลาด ไม่สู้ เปลี่ยนจุดยืนไป แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับผมครับ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่เอากรณีที่อาจารย์ตามด่าผมทุกวันมาเป็นปัจจัยการประเมิน หรือแรงกดดันด้วยหรอกครับ ดังนั้น อาจารย์ด่าผมไปเถอะครับ ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก นอกจากอาจารย์อาจได้สะใจ ได้ humilate ผมบ้าง"
การห้ำหั่นงัดกันของ “สมศักดิ์ – ปิยบุตร” ก็ทำเอา พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ในฐานะอดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคนเดือนตุลาฯ ที่เป็นนักวิชาการโทนแดงในปีกเดียวกับ “สมศักดิ์ – ปิยบุตร” อดรนทนไม่ได้ต้องออกมาหวดกลับ “สมศักดิ์” ว่าติดนิสัยมาจาก “พรรคคอมฯ” ที่นิยม “ล่าแม่มด” หรือ “อินเตอร์เน็ตบูลลี่” พร้อมกับโพล่งออกมาว่า “ฉายา สตาลินบนอินเตอร์เน็ต เผด็จการทางความคิดไม่ได้มาเพราะโชคช่วย”
เอาเข้าจริง แนวทางของ “ธนาธร-ปิยบุตร” รวมไปถึง “แก๊งก้าว” ทั้งพรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า ก็ไม่ได้ “เบามือ” อย่างที่ “สมศักดิ์” เย้ยหยัน โดยเฉพาะการยืนยันว่า การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องไม่จำกัดสิทธิในการรื้อหมวด 1-2 ของรัฐธรรมนูญ
สำคัญที่ “หมวดที่ 2 ที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์” ซึ่งอย่างที่ทราบสมัย “อดีต ส.ส.ป๊อก” ผู้คลั่งไคล้เหตุการณ์ “ปฏิวัติฝรั่งเศส” เป็นทุน ทำหน้าที่ผู้แทนฯก็แสดง “จุดยืน” เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
หรือล่าสุดที่ “ปิยบุตร” สวมหมวก “นักวิชาการ” ไปบรรยายพิเศษในรายวิชา “TU 101 : โลก อาเซียน และไทย” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ก็ยังเจาะจงเนื้อหาแบบที่หลายคน “ฟังไม่ได้” โดยเฉพาะข้อเรียกร้องการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ในทางสาธารณะ
ทั้งๆที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการบรรยายเลย
ซึ่งในมุมมอง “คนทั่วไป” ถือว่า จุดยืนของ “ปิยบุตร” หรือการจ้องจะแตะต้องหมวด 1-2 ของ “แก๊งก้าว” นั้น “เลยเพดาน” หรือ “ทะลุหลังคา” ไปแล้ว
แต่ก็ยังไม่สาแก่ไจ “ศาสดาล้มเจ้า” ที่ลอยตัวอยู่ต่างประเทศ ที่คงหวังให้แตกหักไปเลย ซะอย่างนั้น
“3เกลอ” ภัยมั่นคงลอยตัว
เมื่อ “ศาสดาล้มเจ้า” เปิดก่อนขนาดนั้น มีหรือ “สาวก” จะไม่ผสมโรง ตามคิวที่ “แกนนำม็อบไม่ทน” ออกมารัวคีย์บอร์ดกระแทกไปถึง “ปิยุบตร”และ “แก๊งก้าว” รวมไปถึงพรรคร่วมฝ่ายค้าน
ทั้งรายของ “ทนายอานนท์” ที่ว่า “นักการเมืองล้วนผลักนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนลงถนนเผชิญอำนาจมืดโดยลำพัง น่าเสียดายไฟฝันที่ถูกจุดโดยไม่มีรัฐสภารับไม้ต่อ น่าเสียดายเสรีภาพที่พวกเรายอมสละไป"
หรือ “เพนกวิน - พริษฐ์” ก็ว่าในทำนองเดียวกัน “วันนี้ ผมเสียใจมากที่ทราบว่า ทุกพรรคการเมือง รวมถึงเพื่อไทยและก้าวไกลด้วยนั้น จะไม่แก้รัฐธรรมนูญในหมวดสอง หรือหมวดพระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นหมวดที่มีปัญหามากและเป็นรากเหง้าของปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในหลายสิบปีที่ผ่านมา … ขอเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลให้ไม่ละเลยการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดสอง เพราะนี่คือต้นตอของปัญหาการเมืองไทย ถ้าพวกคุณไม่สู้ในประเด็นนี้ คุณก็จะแก้ปัญหาไม่จบเบ็ดเสร็จ และถ้าคุณไม่แก้ไขที่ต้นตอ คุณก็อาจจะโดนยุบพรรคซ้ำแล้วซ้ำอีก เราสามารถสู้ได้โดยไม่กราบครับ” เป็นต้น
แสดงให้เห็นว่า แค่ “ศาสดา” กระดิกไปทางไหน “สาวก” ก็พร้อมเดินตามอย่างพร้อมเพรียง โดยไม่คำนึงถึง “ความเสี่ยง” ที่แตกต่างกันใดๆ เพราะ “คนยุ” สบายตัวอยู่ต่างประเทศ ขณะที่ “คนรับลูก” ก็ตกพุ่มซวย มีคดีติดตัวกันเป็นแถว
ขณะเดียวกัน “ตัวละครสำคัญ” อีกตัว อย่าง “เฮียสุรชัย” ปวิณ ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ผู้ต้องหาหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มี “ความชิงชัง” ใน “แก๊งก้าว” มาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ก็ “ดูแคลน” แนวทางการต่อสู้ของ “ธนาธร และชาวคณะ” มาโดยตลอด
ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ดูจะปลาบปลื้มกับ “10 ข้อเรียกร้อง” บนเวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 เป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าตัวได้รับการเชิดชูฉายรูปขึ้นบนจอพร้อมๆกับ “ศาสดาเจียม”
ไม่แค่อวยม็อบเด็กอย่างเดียว ยังถือโอกาสเหน็บแนม แก๊งก้าว และพรรคฝ่ายค้าน ไปในตัวด้วยว่า “นักศึกษาออกมาแล้ว และกำลังถูกคุกคาม พรรคฝ่ายค้านจะไม่ออกมาปกป้องหรอ หรือหน้าด้านรอตีกินอย่างเดียว”
หากติดตามอย่างใกล้ชิด ก็จะพบว่าเดิม “ปวิน” ก็มีมูฟเมนต์ทางสังคมออนไลน์ต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่การโจมตีรัฐบาลเท่านั้น ยังถนัด “จิกกัด” พวกเดียวกันเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นแก๊งก้าว หรือพรรคเพื่อไทย แม้เจ้าตัวจะนิยมชมชอบ ทักษิณ ชินวัตร เป็นทุนก็ตาม
ระยะหลัง “ปวิน” ยิ่งพยายามแสดงบทบาทรัว ด้วยความปลื้มปริ่มกับ “เรตติ้ง” ของตัวเอง ที่จู่ๆ ก็มีผู้ติดตามผ่าน “กลุ่มตลาดหลวง” เป็นหลักล้านคน และเมื่อถูกปิดเวอร์ชั่น 1 ก็เปิดเวอร์ชั่น 2 พร้อมกับมีผู้แห่ไปเข้ากลุ่มหลักหลายแสนคน
จริงๆแล้วนอกจาก “สมศักดิ์ - ปวิน” แล้ว ใน “ขบวนการ” ยังมี แอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล (Andrew MacGregor Marshall)* อดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ประจำเอเชียและตะวันออกกลาง ที่เป็นชาวสกอตแลนด์ ซึ่งมีภรรยาเป็นชาวไทย อีกคน ที่มีพฤติกรรม “จ้องทำลาย” ประเทศไทยในทำนองเดียวกัน
ย้อนไปเมื่อเดือน เม.ย.60 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ออกประกาศเรื่องการงดเว้นการติดต่อกับบุคคลบนสื่ออินเทอร์เน็ต โดยระบุว่า ด้วยศาลอาญา ได้มีคำสั่งให้ระงับการแพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันไม่เหมาะสม ตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จึงขอให้ประชาชนโดยทั่วไป งดการติดตาม ติดต่อ เผยแพร่ หรือกระทำการใดๆ ที่มีลักษณะเป็นการเผยแพร่ เนื้อหา ข้อมูล ของ “สมศักดิ์ - ปวิน- แอนดรูว์” บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อมิให้เป็นการกระทำความผิดว่าด้วย พ.ร.บ.ดังกล่าว ทั้งเจตนา และไม่เจตนา
ล่าสุดในการชุมนุมของ “ม็อบปลดแอก” ยังมีการนำรูป “แอนดรูว์” ไปเชิดชูบูชา เคียงคู่กับ “สมศักดิ์ - ปวิน” อีกต่างหาก ขึ้นขั้นที่ ไมเคิล ยอน (Michael Yon) สื่อมวลชนชาวอเมริกันในประเทศไทย ที่รู้ตื้นลึกหนาบางของ “แอนดรูว์” ยังอดแปลกใจไม่ได้ พร้อมเขียนเตือนว่า “ประเทศไทย: ระวัง อดีตผู้สื่อข่าว คอมมิวนิสต์ติดยา แอนดูร์ แมคเกรเกอร์ มาร์แชล ส่งภาพที่แสดงว่าตัวเองไปฮีโร่ของประเทศไทย”
“ฝ่ายค้าน”แตกคอแก้ รธน.
ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญนั้น ในส่วนของ “รัฐบาล” ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก แม้จะต้องขยับเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาเร็วขึ้น แต่ก็ยังมี “เซฟตี้คัท” ในส่วนของเสียง ส.ว. 1 ใน 3 หรืออย่างน้อย 84 เสียง ที่ต้องเอาด้วย และล็อคไว้อยู่ในมาตรา 256 เมื่อรับบาลและ ส.ว.เป็นเนื้อเดียวกัน อย่างไรก็ถือว่า “คุมเกม” ได้อยู่แล้ว
กลับกลายเป็น “ฝ่ายค้าน” ที่ดัน “เสียงแตก” เล่นกันคนละคีย์ โดยรอบนี้ “พรรคก้าวไกล” เลือกที่จะโดดเดี่ยวตัวเอง พร้อมกลับชนกับ “พรรคเพื่อไทย” อย่างไม่ไว้หน้า
เรื่องของเรื่องมากจากการที่ “พี่ใหญ่ฝ่ายค้าน” พรรคเพื่อไทย ในฐานะ “อาบน้ำร้อนมาก่อน” มองว่า หาก “รุกหนัก” ไปเล่นเกม “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ตามที่ “น้องใหม่” อย่างพรรคก้าวไกล เสนอแบบ “สุดซอย” อาจทำให้รัฐบาล หรือ ส.ว.ที่ต้องการอย่างน้อย 84 เสียงย่อมไม่เอาด้วย
วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้อานิสงส์จากแรงกดดันของ “ม็อบเด็ก” ก็กลาย “เป็นหมัน” ทันที
อีกทั้งยังมองว่า พรรคก้าวไกล ภายใต้อาณัติของ “เสี่ยเอก - ธนาธร” กับ “เฮียป๊อก - ปิยุบุตร” มี “วาระซ่อนเร้น” ไม่แทงเต็ง “เกมในสภาฯ” แต่หวังผลจาก “เกมนอกสภาฯ” มากกว่า
เพราะเดิม “ค่ายเฮียธร”ให้ ส.ส. 37 คนจากทั้งหมด 54 ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ร่วมลงชื่อในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่แก้ไขเฉพาะมาตรา 256 เปิดทางให้ ส.ส.ร.เท่านั้นแล้วแท้ๆ โดยประนีประนอมในส่วนของ “บทเฉพาะกาล” ไว้ในรูปแบบ “สงวนความเห็น” ว่าต้องยกเลิกทั้งหมด ทั้ง ส.ว. และการรับรองประกาศ-คำสั่ง คสช.
แต่เกิดเปลี่ยนใจให้ ส.ส.ทั้ง 37 คน ถอนชื่อออกจากร่างแก้ไขของฝ่ายค้านใน “นาทีสุดท้าย” และจุดพลุเสนอร่างแก้ไขของพรรคก้าวไกล ขึ้นมาอีก 1 ฉบับ ที่เน้นไปที่การ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” และ “ล้างมรดก คสช.” แถมยังพ่วงด้วยการเปิดกว้างไม่จำกัดสิทธิ ส.ส.ร.ในการแก้ไขหมวด 1-2
โหนไปกับข้อเรียกร้องของ “ม็อบปลดแอก” พ่วงด้วย “1 ความฝัน” ผ่านการแก้ไขหมวด 1-2 และหวังใช้แรงกดดันของการชุมนุมดันประเด็น “ปิดสวิตช์ ส.ว.” และ “ล้างมรดก คสช.” ให้ถึงฝั่ง หรืออย่างน้อยที่สุดต้องยกเลิกมาตรา 272 เพื่อไม่ให้ ส.ว.โหวตเลือกนายกฯได้อีก
ทั้งๆ ที่ “ก้าวไกล - ก้าวหน้า” ก็รู้ดีว่า มี ส.ส.แค่ 54 คน ไม่สามารถยื่นเองพรรคเดียวได้ เพราะต้องใช้เสียง ส.ส.ในการยื่นไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสภาฯ หรือปัจจุบันก็ราว 98 เสียง
ที่หลงลืมไม่ได้เลย คือแนวทางแก้ไขของพรรคก้าวไกลนั้นถูกเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แต่ “แพ้โหวต” ตามหลักประชาธิปไตยไปอย่างขาดลอย 5 พรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เอาด้วยเลย
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ หรือกฎหมายทั่วไป ก็เข้าอิหรอบ “ผลัดกันเกาหลัง” ต่างพรรคต่างลงชื่อให้กันและกัน แต่รอบนี้พรรคเพื่อไทย “ไม่เล่นด้วย” โดยมีมติพรรค 99.9% ไม่ร่วมลงชื่อกับร่างแก้ไขของพรรคก้าวไกล
และดูท่าพรรคก้าวไกลจะไม่ยอมง่าย เอาหลังพิง “ม็อบ” ทันที เมื่อ “เดอะต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล ประกาศไม่ขอพึ่งเสียงสนับสนุนในสภาฯ แต่หันไปใช้ช่องทางการเข้าชื่อของประชาชน 5 หมื่นชื่อ
ผลที่ตามมาคือ พรรคเพื่อไทย ถูก “แก๊งก้าว - ชาวม็อบ” ตาม “แหก” ทันทีว่า ไม่จริงใจ-ไม่ฟังเสียงประชาชน อย่าง อานนท์ นำภา แกนนำม็อบ เองก็โพสต์ในเชิงตำหนิพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกัน
ขณะที่ สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ก็ “สอนมวย” ผ่านสื่อไปยังพรรคก้าวไกลว่า “เมื่อเรายื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ไปแล้ว แล้วจะมายื่นแก้ไขมาตรา 272 อีก ก็จะมองว่าขัดกันเอง ถามว่าเราอยากปิดสวิตช์ส.ว.หรือไม่นั้น ยืนยันว่าเราอยากปิด และอยากทำอย่างรวดเร็ว หากคำนึงถึงความเป็นไปได้ ส.ว.จะยกมือให้ผ่านหรือไม่ เพราะต้องใช้เสียง ส.ว. 84 เสียง”
ด้าน “ปิยบุตร” เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่พูดแทน “ค่ายก้าวไกล” ก็สวนทันทีว่า หากกังวลว่าหา ส.ว. 84 คนไม่ได้ หรือ ซีกรัฐบาลไม่ยอม ส.ส. ไม่ต้องกังวลใจไป นักเรียน นิสิต นักศึกษา พี่น้องประชาชนที่อยู่นอกสภาพร้อมรวมพลังกดดันต่อไป ต้องเลิกคิดว่า ส.ว.จะยอมหรือ แต่ต้องคิดว่าการแก้รัฐธรรมนูญที่ ส.ว. จะยอมได้ ต้องมีพลังกดดันไปที่ ส.ว. และเจ้าของ ส.ว. ให้ยอม เวลานี้ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ได้รวมพลังกันจน ส.ว. และเจ้าของ ส.ว. ต้องถอย จนมีโอกาสแก้รัฐธรรมนูญเรื่อง ส.ว. แล้วเหตุใด ส.ส. จึงไม่ช่วยกันเข้าชื่อเสนอแก้รัฐธรรมนูญยกเลิก ส.ว. 250 คน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ยกเลิกมาตรา 272 ก่อนก็ได้ ทำไมถึงไม่ใช้ห้วงจังหวะเวลานี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ขอแรง ส.ส. ด้วยครับ มาร่วมมือกัน “ปลดแอก” ที่ชื่อว่า ส.ว. 250 คน ด้วยกัน
นัยว่าจะยืมมือ “ม็อบเด็ก” ในการกดดัน ส.ว. และ “เจ้าของ ส.ว.” ตามที่ว่าไปข้างต้น
ตามมาด้วยเสียงประสานจาก รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่บอกว่า วิปฝ่ายค้านจะมีการประชุมหารือ กรณีพรรคเพื่อไทยชื่อเสนอการอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ภายใต้หัวข้อ “ล้มเหลวแก้พิษเศรษฐกิจ ส่งผลต่อวิกฤตการเมือง” โดยไม่ปรึกษาพรรคร่วมฝ่ายค้าน และถามความชัดเจนในการเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2562
จงใจเจาะยางพรรคเพื่อไทยเต็มๆ และตั้งแง่ค้านทุกเรื่อง
จนเจอ “ก๊วนฮาร์ดคอร์เพื่อไทย” ทั้ง “เสี่ยหนุ่ม” วัน อยู่บำรุง ส.ส.บางบอน โพสต์สอนมวยว่า ว่า “อยู่ฝ่ายเดียวกันแท้ๆอย่าเหิมเกริมอวดดีถือเด่นว่าข้าแน่ให้มันมากเกินไป...เจ้ายังเด็กเล็กนัก ประสบการณ์ต้องใช้อายุและความเจ็บปวดแลกมา!! ... พรรคการเมืองบางพรรคจะทำอะไรหัดเห็นหัวผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนบ้างอย่าปั่นสร้างกระแสไปวันๆผลงานก็ยังไม่เคยมีได้แต่ขายฝันไปวันๆ … ก่อนจะก้าวไปได้ให้ไกลก้าวใกล้ๆให้ผ่านก่อนนะ...กลัวหกล้ม."
หรือ “เสี่ยเก่ง” การุณ โหสกุล ส.ส.ดอนเมือง ใส่ไปอีกดอกว่า “ผมขอยืนยันครับว่า พรรคเพื่อไทยเรา ไม่เคยเห็นพี่น้องในฝ่ายเราเป็นอื่นเลยนอกจากมิตรที่จะต้องร่วมกันสู้เพื่อความหวังอันสูงสุดของพี่น้องประชาชน คือ ...“ประชาธิปไตย” ไม่มีหรอกครับ ใครเหนือใคร ใครเป็นผู้นำใครเป็นผู้ตาม ใครได้ซีนมากกว่ากัน ใครสู้มากกว่าใคร ... เราร่วมกันเดินครับ เห็นไม่ตรงกันตรงไหนก็หาจุดตรงกลางร่วมกัน ถ้าชนะก็ชนะด้วยกันทั้งหมด เพื่อประชาชน ถ้าจะแพ้ก็ร่วมกันแพ้ไปกับประชาชน”
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึง “ความไม่ลงรอย” กันของ 2 พรรคหลักฝ่ายค้าน “เพื่อไทย – ก้าวไกล” อย่างชัดเจน.