“ปวิน” เหิมใหญ่ เทได้แม้แต่ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” กัลยาณมิตรคนสนิท เชิดใส่ “ดีอีเอส” แจ้ง “ปอท.” เอาผิด เท่ากับช่วยโปรโมต ด้าน “ไทยภักดี” เปิดตัวตามนัด “หมอวรงค์” ชู 6 จุดยืน และ 3 ข้อเรียกร้อง “ตีโต้” ม็อบปลดแอก “ปกป้องสถาบัน”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (19 ส.ค. 63) เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ผู้ต้องหาคดี ม.112 ลี้ภัยในประเทศญี่ปุ่น โพสต์ข้อความระบุว่า
“เตือนในฐานะกัลยาณมิตร คุณทักษิณ ยิ่งลักษณ์ คุณต้องยุติการอวยเจ้าได้แล้ว เพราะเยาวชนรุ่นใหม่เค้าไปไกลกว่าคุณแล้ว ถ้าคุณจับรถไฟเที่ยวนี้ไม่ทัน คุณจะตกรถไฟ เหมือนที่คุณพลาดมาแล้วหลายขบวน เด็กสมัยนี้เค้าไปไกลกว่าคุณมาก นักการเมืองที่ตามกระแสสังคมไม่ทัน คุณก็เป็นแค่สิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์เท่านั้นค่ะ With love ❤️”
นอกจากนี้ ในเวลาต่อมา ยังโพสต์เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ด้วยว่า
“เป็นโอกาสอันดีที่ช่วยโปรโมตกลุ่มเรา ใครที่ยังไม่รู้ว่ากลุ่มนี้คืออะไร โปรดเข้ามาดู ถ้าเราไม่แน่จริง ไม่สำคัญจริง คงไม่ถูกจัดการเช่นนี้ นี่คือ การยืนยันสิทธิการแสดงความเห็น ตามที่ได้รับการรับรองจากองค์การสหประชาชาติค่ะ เร่เข้ามา เร่เข้ามา แล้วคุณจะติดใจ #รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส”
โดยแชร์รายงานข่าวจาก “แนวหน้า” (19 ส.ค.63, 15.12 น.)
เนื้อหาระบุว่า “เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2563 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท) นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงกระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แจ้งความกับ พ.ต.ท.กฤช เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา รอง ผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท.ให้ดำเนินคดีกับแอดมินและผู้เกี่ยวข้องกับกลุ่มเฟซบุ๊ก “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” กรณีเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง จนอาจสร้างความสับสนให้กับผู้คนในสังคม
นายภุชพงค์ กล่าวว่า ได้รับมอบอำนาจจาก นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส ให้มาแจ้งความดำเนินคดีต่อแอดมิน หรือผู้ดูแลกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส โดยเฉพาะ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการและผู้ลี้ภัยทางการเมือง ในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเบื้องต้นตรวจสอบแล้วมี 6 ประเด็น ที่เข้าข่ายความผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะสืบสวนสอบสวนต่อไป
ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ประชาชน ไม่เผยแพร่ข้อมูลในกลุ่มต่อ เพราะอาจจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14(5)
อย่างไรก็ตาม ภายหลังรับเอกสารหลักฐาน พ.ต.ท.กฤช ระบุว่า หลังจากนี้ ทางตำรวจจะรับเรื่องไว้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย สำหรับกรณีที่นายปวิน พักอาศัยอยู่ต่างประเทศ แล้วอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินคดีนั้น ส่วนนี้ ปอท.จะประสานกับ ตำรวจ ตม.ต่อไป
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน วันนี้มีรายงานว่า เวลา 14:00 น. ที่โรงแรมยู สาธร กรุงเทพฯ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แถลงเปิดตัว “กลุ่มไทยภักดี” ที่มีผู้ร่วมก่อตั้งรวม 27 คน โดย นพ.วรวค์ ในฐานะหัวหน้ากลุ่มไทยภักดี แถลงจุดยืน 6 ข้อ และ 3 ข้อเรียกร้อง ได้แก่
1. ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ร่วมกับวัฒนธรรม วิถีไทย ที่มีรากเหง้า มากว่า 800 ปี
2. กลุ่มไทยภักดี ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับสังคมไทย ต่อต้านการปกครองระบอบประธานาธิบดี ต่อต้านระบบสมาพันธรัฐ การแบ่งแยกประเทศ แต่ไม่ปฏิเสธการกระจายอำนาจ ไปยังองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
3. ยืนยันพัฒนาประเทศบนพื้นฐานหลักวิถีไทย และสืบสานความเป็นไทย
4. กลุ่มไทยภักดี เชื่อว่า กลุ่มทุนผูกขาด เป็นปัญหาสำคัญต่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน
5. สนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัย ของคนทุกกลุ่มรวมทั้งเกษตรกร เพื่อสนับสนุนการประกอบอาชีพ
6. ไม่ปฏิเสธการลงทุนจากต่างชาติ ไม่ปฏิเสธทุนใหญ่ แต่ต้องวางรากฐานชาติด้วยการพึ่งพาตนเอง โดยใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียง เพราะอดีตที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไร ประเทศไทยก็อยู่รอดได้ บนหลักเศรษฐกิจพอเพียง
นอกจากนี้ ยังเสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ของกลุ่มไทยภักดี ได้แก่
1. ต้องไม่ยุบสภา เพราะวิกฤตโควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดหนักทั่วโลกและการแก้ปัญหาผลกระทบด้านเศรษฐกิจยังไม่ลุล่วง ความเสี่ยงต่อการระบาดซ้ำรอบสองในไทยยังมีขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตการระบาดอย่างหนัก ขณะที่ผลกระทบจากการหดตัวและล่มสลายทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวยังถือเป็นเรื่องใหญ่ การทำธุรกรรมและสภาพคล่องในระบบไม่อาจกลับมาเป็นปกติ ปัญหากับดักหนี้ทั้งธุรกิจรายใหญ่ รายย่อย คนตกงานเพิ่มขึ้นจากหลักแสนเป็นล้าน การพึ่งพิงการส่งออก การพึ่งพิงการท่องเที่ยวที่เป็นสัดส่วนหลักของจีดีพีประเทศไม่อาจทำได้ แนวทางแก้ปัญหาที่ต้องปรับเปลี่ยนมากระบวนทัศน์มาเน้นความเข้มแข็งของการแบบพึ่งพาตนเองตั้งแต่ระดับฐานราก จนถึงความมั่นคงของโลกาภิวัตน์แบบภูมิภาค สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องมีความต่อเนื่องของรัฐบาลและนโยบายต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ได้มีผลงานบริหารจัดการวิกฤตโควิดในประเทศจนเป็นที่ประจักษ์ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ติดอันดับ 1 ของประเทศที่ฟื้นตัวดีที่สุดในโลก
2. ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม กับกลุ่มบุคคลทุกอายุ ทุกกลุ่มที่เสนอการแก้ไขปัญหาว่าด้วยสถาบันกษัตริย์อันไม่ชอบด้วยหลักการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งแกนนำ ผู้ปราศรัย กลุ่มอาจารย์ กลุ่มการเมือง เพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายและการใช้เสรีภาพที่ไม่ก้าวล่วงขอบเขตใดๆ ตามอำเภอใจ
3. ต้องไม่แก้รัฐธรรมนูญ 2560 โดยปราศจากฉันทามติของประชาชนที่ลงประชามติไปแล้ว เพราะถือเป็นรัฐธรรมนูญที่เสริมสร้างกระบวนการประชาธิปไตยมากที่สุด ด้วยเหตุผลคือ
ระบบไพรมารี (primary vote) ในการเลือก ส.ส.เขต จะสร้างกระบวนการประชาธิปไตยในพื้นที่ สลายวัฒนธรรมผูกขาดของพรรคการเมืองเดิมและ ส.ส.เดิมที่มีอิทธิพลในพื้นที่ที่สืบอำนาจจากผัวสู่เมีย จากพ่อสู่ลูก เพราะเปิดโอกาสให้ผู้สมัครใหม่ที่ทำงานในพื้นที่สามารถเสนอตัวเป็นคู่แข่ง ซึ่งในแต่ละเขต ผู้สมัคร 5-6 คนจากพรรคต้องทำงาน “หาเสียง” จริงอย่างต่อเนื่องตลอดปีไม่ใช่หวังมา “ซื้อเสียง” ตอนเลือกตั้ง และทำให้ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ระบบ primary vote ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ จะกระจายอำนาจสู่สมาชิกพรรคทุกคนเพื่อร่วมเสนอชื่อและลงคะแนนเลือก ซึ่งเป็นการลดอำนาจรวมศูนย์ของเจ้าของพรรค นายทุนพรรค และผู้บริหารพรรคการเมือง
ซึ่งสอดรับกับระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม จะลดทอนอำนาจของระบบธนกิจการเมืองของนายทุนเลือกตั้ง นักเลือกตั้งอาชีพของพรรคการเมืองใหญ่ โดยทำให้พรรคเล็กที่มีอุดมการณ์ ความรู้ ความมุ่งมั่นเสนอตัวเป็นตัวเลือกที่มีโอกาสชนะได้ อีกทั้งยังเป็นการคัดกรองให้พรรคการเมืองเฟ้นหาตัวผู้สมัครด้วยอุดมการณ์ที่ตรงกัน ไม่ใช่ระบบมุ้ง ระบบสายที่พรรคไปทาง คนไปทาง รวมถึงทำให้พรรคการเมืองต้องให้ความสำคัญกับทุกเขตเลือกตั้งทั้งประเทศไม่ใช่เฉพาะเขตที่เป็นฐานเสียงเดิมของตนเท่านั้น (ข่าวจากไทยโพสต์ออนไลน์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจอาจอยู่ที่ กรณี “ปวิน” เททิ้ง นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเป็นที่รู้กันดีว่า ทั้งสองคนคือ คนที่ยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
จากกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 ที่พรรคก้าวไกล บอกว่า ไม่ควรจะล็อก แต่พรรคฝ่ายค้านซึ่งพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำบอกว่า ควรล็อกไว้ รวมทั้งเกิดกรณีพรรคก้าวไกล ถอนชื่อออกจากญัตติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ฝ่ายค้านส่วนใหญ่ก็ไม่อยากแตะเรื่อง “สถาบัน” นั่นเอง
เพราะนั่นเท่ากับย้ำให้เห็นว่า “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” เอง ก็ไม่พร้อมที่จะร่วมเสี่ยงไปกับรถขบวน “ล้มเจ้า” ด้วย ส่วนเรื่อง “อวยเจ้า” ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ทำมานานแล้ว ไม่เห็นมีปัญหา ทำไมมาเรียกร้องให้หยุดเอาช่วงนี้ นี่คือประเด็น
สำหรับ “ปวิน” เคยถูกแฉว่า พักหลังมักยกตนเป็นศาสดา “ล้มเจ้า” จนมีเรื่องทะเลาะกับคนที่เป็นฝ่ายเดียวกันมาแล้วหลายครั้ง แค่คนเหล่านั้น คิดและทำในสิ่งที่แตกต่างเท่านั้น
อย่างกรณี “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ที่ถูกเททิ้ง เพราะไม่ออกมาสนับสนุนการต่อสู้ของตน และม็อบเยาวชน ก็ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว!?