อธิบดีกรมประชาฯ แจง กมธ.งบฯ เอง ยันเน้นส่งเสริมการสร้างรายได้ ปชช.มากกว่าการเมือง โต้ NBT ไม่ใช่ช่องสุดโต่ง ย้อนรองอธิบดีถูกตัดหน้าถึงโจมตี ปัดใส่ร้ายพรรคต่างๆ “ธนาธร” สวนใช้เครือข่ายเลือกข้างการเมือง พท.ข้องใจความเป็นกลาง
วันนี้ (18 ส.ค.) การประชุมกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2564 ในวันนี้ที่ประชุมมีการพิจารณางบประมาณในส่งนของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะกรมประชาสัมพันธ์ โดยมี พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ มาชี้แจงการขอจัดสรรงบประมาณด้วยตัวเอง โดยกรมประชาสัมพันธ์มีการขอจัดสรรงบประมาณทั้งสิ้น 1,640 ล้านบาท
พล.ท.สรรเสริญชี้แจงถึงภารกิจของกรมประชาสัมพันธ์ในส่วนของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ว่ามีหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาประเทศของรัฐบาล รวมถึงภารกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชน เน้นการส่งเสริมการสร้างรายได้ให้กับภาคประชาชนมากกว่าที่จะพูดเรื่องของการเมือง มีรายการที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน รายการต่อต้านยาเสพติด ยืนยันว่าช่อง NBT ไม่ใช่ช่องสุดโต่งที่จะนำเสนอแต่เรื่องการเมือง เห็นได้จากช่วงการเลือกตั้ง ช่อง NBT ก็มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนโดยไม่ได้ชี้นำ เชียร์หรือแช่งฝ่ายใด และในการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาช่วงนี้ก็มีการนำเสนอข่าวตามปกติ แต่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงประเด็นที่หมิ่นเหม่ผิดกฎหมาย
ส่วนการปรับตัวของกรมประชาสัมพันธ์ในการพัฒนาช่องทางการสื่อสารต่อประชาชนนั้น ยืนยันว่ากรมประชาสัมพันธ์ มุ่งเน้นการเสนอข่าวสารผ่าน 3 ช่องทาง คือ ออนแอร์ ได้แก่ทางโทรทัศน์และทางวิทยุ โดยเฉพาะวิทยุที่ปัจจุบันประชาชนยังให้ความสนใจฟังข้อมูลทางวิทยุมากถึงร้อยละ 32 นอกจากนี้ยังมีช่องทางออนไลน์ รวมทั้งออนกราวน์ และยังมีทีวีภูมิภาคอีก 11 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการควบรวมสถานีโทรทัศน์ในแต่ละจังหวัดเป็นสถานีโทรทัศน์ของภูมิภาคใช้ช่องสัญญาณดิจิทัลหมายเลข 11 ในการแพร่ภาพ
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษากรรมาธิการ มองว่าประเด็นที่ พล.ท.สรรเสริญ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ชี้แจงว่าช่อง NBT ไม่เข้าข้างฝ่ายใดนั้นมีปัญหา เพราะเรื่องนี้ถูกร้องเรียนมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะตัวอธิบดีเอง มีการใช้เครือข่ายของกรมประชาสัมพันธ์ในการเลือกข้างทางการเมือง นายธนาธรยกตัวอย่างว่า เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2562 รองอธิบดีท่านหนึ่งของกรมประชาฯ ได้มีการร้องต่อ ป.ป.ช.ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของอธิบดีมาแล้ว จากการใช้อำนาจสั่งการผ่านทางกลุ่มไลน์ เพื่อให้มีการสื่อสารโจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีในช่วงก่อนการเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังมีพฤติการณ์โฆษณาชวนเชื่อ เอื้อประโยชน์ให้บางพรรคการเมืองซึ่งเรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ป.ป.ช. ดังนั้น สิ่งที่ พล.ท.สรรเสริญพูดในที่ประชุมไม่ใช่ความจริงเบ็ดเสร็จ และพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้มีครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ พล.ท.สรรเสริญเคยยอมรับต่อศาลมาแล้วว่าเป็นผู้ที่มโนผังล้มเจ้า มีตนถูกระบุอยู่ในผังดังกล่าวด้วย เพื่อตีตราการชุมนุมปี 2553 ว่าเป็นการชุมนุมของกลุ่มล้มเจ้า แต่ พล.ท.สรรเสริญเป็นคนยอมรับเองในปี 2554 ว่าผังดังกล่าวไม่ได้มีอยู่จริง เป็นเพียงการปะติดปะต่อเรื่องราวเพื่อให้สังคมคิดเอาเอง
ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เพื่อไทย กล่าวว่า กรรมาธิการมีข้อสงสัยในความเป็นกลางของกรมประชาสัมพันธ์ เพราะเราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังมีการปลูกฝังลงไปจะไปทิศทางใด เป็นเรื่องที่น่าห่วง
โดยอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ชี้แจงถึงการร้องเรียนของรองอธิบดีตามที่นายธนาธรยกขึ้นมาว่า ต้องไปศึกษาก่อนว่ารองอธิบดีคนดังกล่าว ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใดหรือไม่ เพราะมาเป็นรองอธิบดีมา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2556 อาจมีความรู้สึกว่าตนมาเป็นอธิบดี ตัดหน้าทำให้รองอธิบดีคนดังกล่าวไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นอธิบดี แต่ส่วนตัวยืนยันว่าการมาเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ไม่เคยวิ่งเต้นกับนายกรัฐมนตรี เป็นการทำหน้าที่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาเพราะเคยเป็นทหาร
ส่วนเรื่องส่งข้อความทางไลน์ที่เป็นประเด็นนั้น ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดขณะเป็นโฆษกรัฐบาล ควบตำแหน่งรักษาราชการแทนในตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ขณะนั้นมีข้อมูลในหลายหน้าที่ และไม่ได้ศึกษาให้ครบถ้วนว่าเรื่องดังกล่าวเป็นนโยบายของพรรคการเมืองหนึ่ง แต่กลับกดส่งเข้าไปในกลุ่มไลน์ที่มีผู้บริหารของกรมประชาสัมพันธ์ แต่หลังจากนั้นภายใน 19 นาทีเมื่อดูรายละเอียดทั้งหมดแล้วจึงได้สั่งยกเลิก เพราะเพิ่งมาทราบว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองจึงไม่ใช่เรื่องสั่งการที่มีผลในทางปฏิบัติทันที
สำหรับปัญหาการโจมตีให้ร้ายพรรคการเมืองต่างๆ ในอดีตยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นคนทำ แต่มีหน้าที่ที่จะต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารจากสื่อที่เลือกข้างทางการเมือง เป็นการนำเสนอข้อมูลอีกด้านให้ประชาชนรับทราบและไม่ใช่เป็นเรื่องที่พาดพิงนักการเมืองคนใดหรือพรรคการเมืองหนึ่ง และที่นายธนาธรกล่าวหาว่าตนยอมรับต่อศาลเรื่องมโนผังล้มเจ้าในอดีตนั้นก็ไม่เป็นความจริง ในคดีนี้จบลงเพราะผู้ร้องถอนฟ้องคดีเอง ไม่ได้เกิดจากการยอมรับต่อศาลตามที่มีการกล่าวหา
ด้านนายวัฒนา เมืองสุข กรรมาธิการ กล่าวว่า หน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์คือการให้ข้อมูลข่าวสารต่อประชาชน ส่วนการวิเคราะห์นโยบายทางการเมืองของพรรคการเมืองว่าพรรคใดมีนโยบายอย่างไร ย้ำว่าไม่ใช่หน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์ ดังนั้น การจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกรมประชาสัมพันธ์ คือการเปิดให้มีการสื่อสารที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความเห็น เพราะการให้ความเห็นไม่ใช่หน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์