ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “เมาคลีล่าสัตว์ เมาคลีล่าสัตว์ เมาคลีล่าสัตว์ ฆ่าแชร์คาน ฆ่าแชร์คาน ถลกหนังมันออกให้หมด ถลกหนังมันออกให้หมด มันฆ่าวัว มันฆ่าควาย...”
เนื้อเพลงเพลงประจำค่ายลูกเสือสั้นๆ ฟังติดหูติดปาก ที่กลับมาฮอตฮิตอีกครั้งใน พ.ศ. นี้ หลังจากเมื่อปีกลายมีไวรัลคลิป “ลูกเสือสำรองแดนซ์” ของกลุ่มครูจากสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร ปล่อยลงยูทูป ด้วยท่าร้องท่าเต้นที่ไม่ค่อยเข้ากับวัยครูผู้แสดง จนกลายเป็นคลิปที่ได้รับการแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก ไม่เท่านั้นยังไปดังต่อใน TIK TOK แอปพลิเคชั่นยอดนิยมชั่วโมงนี้อีกด้วย
ที่น่าสนใจคือ มาวันนี้ เพลงเมาคลีล่าสัตว์ ก็ดันมาเข้ากับสถานการณ์อย่างพอดิบพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญลักษณ์ “ชู 3 นิ้ว” ที่ไม่ต่างอะไรกับท่าทำความเคารพ “ลูกเสือ” เช่นกัน
มองแบบคนละเรื่องเดียวกัน “ม็อบปลดแอก” ที่ชู 3 นิ้ว คงเทียบได้กับ “เมาคลี” ในนวนิยาย โดยที่ “แชร์คาน” ตัวร้ายในสายตาม็อบ ก็คงไม่พ้น “รัฐบาล 3 ลุง”
ที่สำคัญ ปรากฏการณ์ “ชู 3 นิ้ว - ผูกโบขาว” กลายมาเป็น “สัญญะใหม่” ของการเคลื่อนไหวทางการเมืองยุคนี้
เฉกเช่นเดียวกับ “มือตบ-ตีนตบ” หรือล่าสุดกับ “นกหวีด” ของม็อบ กปปส.ที่ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์
ทราบกันดีว่า สัญลักษณ์ “ชู 3 นิ้ว” นั้นได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ดัง The Hunger Games ที่นางเอกได้ชู 3 นิ้ว หรือ “Three Finger Salute” ที่แทนความหมายว่า “ขอบคุณ-สรรเสริญ-ลาก่อน” เพื่อเป็นการแสดงการต่อต้านผู้ที่มีอำนาจ และเกิดการเลียนแบบแพร่หลายของผู้คนในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว
จากโลกเสมือนจริง ก็ลุกลามออกมาโลกแห่งความจริง เมื่อสัญลักษณ์ “ชู 3 นิ้ว” ถูกนำมาใช้ต่อต้าน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งแต่ช่วงปี 2557 เป็นต้นมา
แต่ความหมาย 3 นิ้วในมุมของ “กลุ่มชัง คสช.” นั้นแทนที่ด้วย “สันติภาพ-เสรีภาพ-ภราดรภาพ” ที่มีการกล่าวอ้างในยุค “ปฏิวัติฝรั่งเศส”
ขณะที่การติดโบขาว หรือริบบิ้นขาว นั้นเป็นสัญลักษณ์ในการรณรงค์ “ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก” ในช่วงยุค 90 และเพิ่งถูกนำมาใช้เคลื่อนไหวทางการเมืองในไทยอีกครั้ง เมื่อช่วงกลางปี 2563 ที่ผ่านมา เพื่อรณรงค์เกี่ยวกับการหายตัวไปของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะกลายมาเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในกลุ่มนักเรียนนักศึกษาในขณะนี้
อย่างไรก็ดีดูเหมือนฝ่ายรัฐบาลจะพยายาม “ตีความ” สัญลักษณ์การเคลื่อนไหวของ “ม็อบปลดแอก” ไปในทิศทางอื่น
โดยรายของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้ท่องคาถา “ไม่รู้ๆ” มาตลอด กลับโพล่งออกมาว่า “ลูกเสือ” หลังถูกถามถึงกระแสที่นักเรียนชู 3 นิ้วในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาหลายแห่ง จนทำให้อดไปนึกถึงเพลงและท่าเต้นของลูกเสือ “เมาคลีล่าสัตว์” ที่กำลังฮิตและกลายเป็น “มีม(meme)ร่วม” อยู่ในเวลานี้ไม่ได้
ไม่ทราบแน่ว่า เป็นการ “พูดไม่คิด” เหมือนที่ผ่านมา หรือเป็นเชิงชั้นเซียน เพื่อเบรกกระแสความร้อนแรงของผู้ชุมนุมก็เป็นไปได้
เพราะเดิมแค่การชุมนุม “กลุ่มเยาวชนปลดแอก” ก็ถือได้ว่าสร้างความปะหวั่นพรั่นพรึงให้กับรัฐบาลได้ไม่น้อย ตั้งแต่การยกระดับจาก “แฟลชม็อบ” ขึ้นมาเป็นการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา นำมาซึ่ง 3 ข้อเรียกร้องถึงรัฐบาล
1.หยุดการคุกคามประชาชน
2.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
และ 3.ยุบสภา
จากนั้นเป็นต้นมาก็เกิดเวทีคู่ขนานของนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ เลี้ยงกระแสมาจนนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งเมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ต้องยอมรับว่า กระแสจุดติดมีผู้เข้ามาร่วมชุมนุมมากขึ้นจากเดือนก่อนเป็นเท่าทวีคูณ
จากกระแสในวันที่ 16 ส.ค.นั้นเองที่เริ่มลุกลามเข้าไปในรั้วโรงเรียนมัธยม
และต้องยอมรับว่าการลุกลามขยายตัวเข้าสู่ “วงการขาสั้น” ระดับมัธยมศึกษา ก็ทำเอา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เก็กซิมไม่น้อย จน “ลุงตู่” ต้องถามตัวเองว่า อะไรทำให้กระแสม็อบมีพลังได้ขนาดนี้
ม็อบได้ใจ ออกล่า “ลุง”
หลากหลายเหตุผลที่อธิบายที่มาที่ไปของ “พลังม็อบ” และควรเป็นประเด็นที่ “รัฐบาลลุงตู่” ต้องทบทวนตัวเอง ตั้งแต่การอยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนาน และทำท่าว่าจะสืบทอดอำนาจออกไปได้อีกเป็น 10 ปี แต่ผลลัพธ์ที่มีต่อสังคมองค์รวมกลับไม่เห็นมรรคผลใดๆ ตั้งแต่วาระการปฏิรูปต่างๆ ที่ลูบๆ คลำๆ มาเกินกว่า 6 ปีทั้งที่ถืออำนาจเบ็ดเสร็จ
หรือหลังจากแปลงร่างมาเป็น “รัฐบาลเลือกตั้ง” ก็ไปเข้าวังวนน้ำเน่าของนักการเมือง ชัดๆก็การจัดตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ถูก “โควตา” กดทับจนกระดิกไม่ออก แถมถึงคราวปรับคณะรัฐมนตรี ก็ยังไปใช้หลัก “เล่นดีเปลี่ยนออก กระจอกเปลี่ยนเข้า” เสียอีก ทำเอาศรัทธาที่แห้งแล้งอยู่แล้วขาดแคลนไปกันใหญ่
ไม่เท่านั้นยังมีประเด็น “พวกพ้อง-วีไอพี” มาเป็นคลื่นแทรก ไม่ว่าคดีของ ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐหลายคนที่ค้านสายตาสังคม หรือคดีสะเทือนกระบวนการยุติธรรมอย่าง “บอส อยู่วิทยา” กระทั่งเรื่องคอขาดบาดตายอย่าง “โควิด-19” ที่ปล่อยให้ “แขกวีไอพี” เข้ามาสั่นประสาทคนไทย
ไม่นับรวมเศรษฐกิจที่ยังผงกหัวไม่ขึ้น แม้รัฐบาลจะกู้เงินรอบล่าสุดมาอีก 2 ล้านล้านบาทก็ตาม
ในภาวะที่รัฐบาลกำลังเป๋ๆ อีกทางม็อบกำลังได้ใจ โดยเฉพาะการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่มีผู้คนหลั่งไหลมาเข้าร่วมเรือนหมื่น และเมื่อได้ใจ ก็ต้องต่อยอด ตามคิวที่โปรเจ็กต์ย่อยของม็อบปลดแอก ในนาม “นักเรียนเลว” กับแคมเปญ “เลิกเรียนไปกระทรวง” บุกกระทรวงศึกษาธิการ ขับไล่ “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ โทษฐานที่ครูหลายโรงเรียนขัดขวางไม่ให้เด็กแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
บรรดากองเชียร์ “นักเรียนโข่ง” ที่แอบอยู่ข้างหลัง ชอบอกชอบใจกับซีนของ “นักเรียนเลว” ที่เน้นไปที่ลูกย้อนศรเป่านกหวีดไล่ รมว.ศึกษาธิการ เพื่อให้เกิดภาพ “กรรมสนอง” จากอดีตที่ “ณัฏฐพล” เคยเป็นแกนนำคนสำคัญของ “ม็อบกำนัน” กลุ่ม กปปส.ที่ขับไล่รัฐบาล “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นอกจากนี้ ช็อตไล่ “เสี่ยตั้น” ไปท้ายแถว ยังเป็นที่ปลื้มปริ่มของบรรดาฝ่ายตรงข้าม เพราะมันไม่มีอะไรน่าสะใจเท่ากับการที่ รมว.ศึกษาธิการ ถูก “เด็กถอนหงอก”
แต่ม็อบอาจลืมคิด “มุมกลับ” เพราะอีกด้านก็มีเสียงชื่นชม “เสี่ยตั้น” ถือว่า ทำถูกต้องที่กล้าเผชิญหน้า เพราะหากเป็นคนอื่นอาจจะเตลิดเปิดเปิง หนีม็อบนักเรียนไปแล้ว
ในอาการที่แกนนำม็อบบางคน คาดไม่ถึงว่า “ณัฏฐพล” จะมาเล่นมุกนี้ แถมยอมทำตามกติกาทุกอย่าง ไม่ว่าจะไปต่อท้ายแถว หรือการถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเวทีก็ตาม ทำให้เนื้อหาบนเวทีที่เย้วๆ ให้ “ผู้ใหญ่” ลงมาฟังเด็กลดทอนน้ำหนักลงไปบ้าง
ไม่นับรวม “เด็กโข่ง” ที่มาเกาะข้างม็อบคอยโห่ฮา “เสี่ยตั้น” ด้วยผรุสวาจาทำให้ภาพ “ม็อบเด็ก” ดูแย่ลงไปอย่างน่าเสียดาย
คิวของ “เสี่ยตั้น” ที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ ไม่ใช่แค่ “วัดใจ” เด็กนักเรียนเท่านั้น ยังเป็นการ “หยั่งเชิง” ฝั่งผู้ชุมนุมไปในตัวว่า ที่เรียกร้องให้รัฐบาลออกมารับฟัง เอาเข้าจริงเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อขับไล่รัฐบาลกันแน่
การขยับเคลื่อนตัวออกจากสถาบันศึกษามาประชิดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นจังหวะที่ตั้งใจเขยิบเข้าใกล้ทำเนียบรัฐบาล ฐานบัญชาการของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างแน่นอน
สัญญาณแบบนี้ มันส่อเค้าว่าไม่แน่วันหนึ่งอาจจะมีกิจกรรมอะไรในลักษณะนี้ เพราะเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ก็มีขบวนย่อยแวะเวียนกันไปที่รัฐสภามาแล้ว
จับการเคลื่อนไหว ม็อบเยาวชนวันนี้ จากคิวที่ “เสี่ยตั้น” โดนบุกถึงกระทรวงศึกษาธิการ ลักษณะการเคลื่อนเริ่มมาในรูปแบบของการ “รุก” และ “ล่า” มากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้เน้นอยู่เป็นที่เป็นทาง
โดยธรรมชาติของม็อบ ต้องหาอีเวนต์กิจกรรมอะไรใหม่ๆ ออกมาเสมอ เพื่อดึงดูดและสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าร่วม เพราะวิธีการแสดงแฟลชม็อบมันเริ่มจะเลยจุดพีคมาแล้ว
เนื้อหาที่เคยใหม่ๆ พอถูกฉายซ้ำๆ ความน่าสนใจมันจะเริ่มน้อยกว่าการทำในครั้งแรกๆ แน่นอนว่า ไอ้โม่งผู้อยู่เบื้องหลังย่อมต้องขยับมากขึ้น เพื่อยกระดับ หรือให้ม็อบยังมีความน่าสนใจในการดึงดูดคนมาเรื่อยๆ
อีกทั้งวันนี้แฟลชม็อบในสถาบันการศึกษาแทบจะจัดกันครบทั่วประเทศอยู่แล้ว หากจัดซ้ำๆ ขึ้น ด้วยเนื้อหาเดิมๆ มันก็จะเข้าสู่ภาวะตีบตัน ไม่มีทางเลือกให้อยู่เฉยๆ โดยไม่ไต่ระดับ
ถ้าดูเหตุการณ์ที่กระทรวงศึกษาธิการ ภาพนักเรียนจำนวนมากที่มานั่งกองกันเต็มหน้ากระทรวง ดูจะเป็นอีเวนต์ที่ผู้อยู่เบื้องหลังถูกอกถูกใจ และน่าจะต่อยอดแน่นอน
คล้ายๆ กับตอนม็อบ กปปส. ที่แรกๆ ก็อยู่ในที่ตั้ง แต่หลังๆ พอมันไม่มีอะไรใหม่ ก็ต้องขยับเลเวลการชุมนุมให้มันไปถึงจุดที่บานปลายให้ได้
เหตุนี้อีเวนต์ต่อไป น่าจะใช้โมเดลที่กระทรวงศึกษาธิการ เปิดปฏิบัติการ “เมาคลีล่าสัตว์” วันนี้ระดับรัฐมนตรีโดนไปแล้ว หากจะเล่นใหญ่ เอาซะใจแฟนคลับ กองแช่งรัฐบาล คิวต่อไปต้องไต่ไปถึงระดับ “บิ๊กตู่” ซึ่งน่าจะเป็นข่าวใหญ่ข่าวดัง ไม่ใช่ในประเทศไทย แต่ไปไกลถึงทั่วโลก
ดังนั้น ต้องจับตาให้ดี ว่า “ม็อบเด็ก” จะขยายเพดานไประดับนี้หรือไม่ เพราะวันนี้ยุทธศาสตร์อยู่กับที่เริ่มไม่เปรี้ยง
ดันแก้ รธน. ชักฟืนจากกองไฟ
จริงๆแล้ว คนส่วนใหญ่รับกันได้การรวมตัวชุมนุมเพื่อแสดงออกทางการเมือง ถึงขนาดรัฐบาลผู้รับบทหนักโดยตรง ยังประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เฉพาะในส่วนของควบคุม “โควิด-19” เท่านั้น
ปล่อยให้มีการชุมนุมทางการเมืองได้ จะได้ไม่เป็นข้ออ้างว่าจำกัดเสรีภาพกันอีก
ทว่า เมื่อ “ปล่อยผี” ไปแล้ว ก็เป็น “ม็อบปลดแอก” ที่เริ่มเผย “ธาตุแท้” ยกระดับข้อเรียกร้องประเภท “ทะลุซอย-ทะลุฟ้า” ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ตามกลยุทธ์ “ขยายเพดาน” ให้สูง
ตั้งแต่การเปิดหัวโดย อานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่ที่ผ่านมาอาศัยภาพความเป็นทนายด้านสิทธิมนุษยชนในการเคลื่อนไหว ด้วย “ประเด็นแหลมคม” ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา บนเวทีชุมนุม “เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย” ในธีม “แฮรี พอตเตอร์” นวนิยายและภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลก ที่กลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มมอกะเสด ออกหน้าเป็นผู้จัดกิจกรรม ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ตามติดมาด้วย “10 ข้อเรียกร้อง” ที่ดูจะ “เกินงาม” ไปไกล บนเวที “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63
ที่กระทั่ง “กลุ่มปลดเแอก” ด้วยกันยังสะดุ้ง และเป็นเหตุให้ 3 เซเลปบริตี้ปลดแอก อย่าง “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ - “น้องรุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล - “ไมค์ ระยอง” ภานุพงศ์ จาดนอก ที่ร่วมกันสนับสนุน “10 ข้อเรียกร้อง” ถูกเบรกไม่ให้ขึ้นเวทีปลดแอก เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
จนต้องหอบพล๊อพที่เตรียมมาไปยืนประกาศ “10 ข้อเรียกร้อง” ไปยืนป่าวประกาศที่ปลายถนน และยันยันว่าจะไม่ลดเพดานลงมาเด็ดขาด ก่อนต้องขึ้นตุ๊กๆ กลับบ้านไปอย่างช้ำๆ
ถือเป็นการตัดสินใจที่ดีของ “เวทีใหญ่” ที่เบรกไม่ให้ “แก๊งไม่ทน” ขึ้นเวที เพราะรู้ว่าสิ่งที่จะพูดนั้นอาจทำให้สูญเสียแนวร่วม พร้อมกับยืนหลัก 3 ข้อเรียกร้อง “หยุดคุกคาม-รัฐธรรมนูญใหม่-ยุบสภา” เพิ่มเติมด้วย “2 จุดยืน” ไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ-ไม่เอารัฐประหาร
ส่วน “10 ข้อเรียกร้อง” มาวางไว้ในส่วน “1 ความฝัน” เท่านั้น
และพอแก้ปัญหาดังกล่าวออกไป ม็อบก็เดินหน้าได้ด้วยความชอบธรรมเพราะบรรดา “ผู้ใหญ่” และคนที่จำเป็นต้องเชียร์รัฐบาลด้วยมีเรื่อง “สถาบัน” เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง “เด็ก” อีกต่อไป
หันมาที่การแก้เกมของรัฐบาล ที่ไม่เลือกใช้ “ไม้แข็ง” กับม็อบ แม้จะมีบางส่วน “ยั่ว” แค่ไหนก็ตาม เลือกใช้กฎหมายเด็ดขาดเฉพาะบรรดาแกนนำ-เอ็นจีโอ โดยไม่แตะต้องนักเรียน นิสิต นักศึกษาเลย
เพราะรัฐบาลกับฝ่ายความมั่นคงเองก็รู้ การแอ็กชั่นแรงๆ กับของแสลงอย่างเยาวชน ไม่เป็นผลดี ยิ่งเข้าไปห้ามยิ่งจะทำให้เกิดแรงต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น จะกลายเป็น “เตะหมูเข้าปากหมา” เข้าทางผู้ใหญ่ที่พยายามปั่นกระแสก็เป็นได้
จะเห็นว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่ถือว่า มีเนื้อหาหมิ่นเหม่ “บิ๊กตู่” ค่อนข้างระมัดระวังคำพูดคำจา หรือการดำเนินการใดๆ ต่อตัวผู้ชุมนุม อันจะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ม็อบเติบโตมากกว่านี้
เช่นเดียวกับ “ณัฏฐพล” ที่เลือกใช้ “น้ำเย็น” ไม่ใช้ “น้ำมัน” ไปราดกองเพลิง หลังจากเกิดปรากฎการณ์ ชู 3 นิ้วระหว่างเคารพธงชาติในโรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศ
โดยการให้สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่อนหนังสือถึงโรงเรียนทั่วประเทศ ไม่ให้ปิดกั้นการแสดงออกของนักเรียน เพียงแต่ขอให้ทำในกรอบของกฎหมาย เข้าอีหรอบอยากชู 3 นิ้ว ชูไป ไม่ห้าม
พอๆ กับ “บิ๊กตู่” ที่อยากชุมนุม ก็ชุมนุมกันไป แถมเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ยังมาเหนือชั้น กำชับเจ้าหน้าที่ให้ดูแลความปลอดภัยให้ด้วย คือ นอกจากไม่ห้ามแล้ว ยังส่งคนไปรักษาความปลอดภัยให้อีกต่างหาก
รัฐบาล และฝ่ายความมั่นคง ไม่เอาเรือไปขวางทางน้ำเชี่ยว แบบนี้มันก็ยิ่งทำให้ “ไอ้โม่ง” ที่หลบอยู่ใต้กระโปรง กางเกง ย่อมต้องอึดอัด
“บิ๊กตู่” กับฝ่ายความมั่นคง เล่นบำเพ็ญเพียรอยู่ในตบะ ไม่ฟิวส์ขาด ยังไม่พอ ก็ต้องเดินเกม “ดึงฟืนออกจากกองไฟ” คู่ขนานไปด้วย
เป็นที่มาของความเคลื่อนไหวการแก้ไขรัฐธรรมนูญจาก “ฝั่งรัฐบาล” ผ่านคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “เดอะตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน ที่เห็นชอบให้แก้ไข “มาตรา 256” ของรัฐธรรมนูญ
นำมาเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลที่เตรียมเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร พร้อมเงื่อนไขสำคัญห้ามแตะต้อง “บทเฉพาะกาล” เด็ดขาด
ซึ่งก็ล้อไปในทิศทางเดียวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 5 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ได้ยื่นถึงมือ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กับการเสนอแก้ไขมาตรา 256 เปิดทางให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่จะมาจากการเลือกตั้ง
การนำวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาฯ เพื่อเปิดทางไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถือว่าตอบโจทย์ 1 ใน 3 ข้อ
อย่างน้อยก็เป็นการชักฟืนออกจากไฟ ยื้อไปได้หลายเดือนอยู่
แต่ก็ต้องจับตาท่าทีของ 2 พรรคใหญ่ร่วมรัฐบาลอย่าง “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” ว่าจะเดินตามแนวของ “พลังประชารัฐ” หรือจะออกแอ็กชันเป็น “เด็กดื้อ” เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในรัฐบาลหรือไม่
เพราะทั้ง 2 พรรครู้ดีว่า “กระทรวงหลัก” ที่ถือกันอยู่นั้น “ลุงตู่” ก็หมายมั่นอยากดึงกลับมาดูแลเองใจจะขาด โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งที่ผ่านมาถูกมองว่า เล่นคนละคีย์กับกระทรวงเศรษฐกิจกระทรวงอื่น
“ค่ายสีน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทย ที่ออกตัวสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีคีย์เวิร์ดสำคัญคือ เมื่อได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแล้ว ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่
แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” ย่อมไม่มี “บทเฉพาะ” หรือไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ดีไซน์เพื่อ “ลุงตู่” อีกต่อไป หากทอดเวลาไปถึงเวลานั้น “แต้มต่อ” ที่ “พรรคลุงตู่-ลุงป้อม” เคยมีอย่าง 250 ส.ว.ที่ร่วมโหวตนายกฯ ได้ก็จะหมดไปทันที เท่ากับว่าทุกพรรคการเมืองมาอยู่ที่จุดสตาร์ทเท่ากัน
ดังนั้นเรื่องแก้ไข หรือร่างรัฐธรรมนูญ อาจต้องคุยกันอีกตั้งว่า จะ “ยุบก่อนแก้” หรือ “แก้ก่อนยุบ” เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะกับพรรคพลังประชารัฐและ “ลุงตู่”
ยุบก่อนแก้ ทีมลุงอาจจะกลับมา เพราะเงื่อนไขเรื่อง “ส.ว.” มีสิทธิโหวตนายกรัฐมนตรียังมีอยู่ เว้นเสียแต่ว่า ยุบแล้วแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัดทิ้งไปก่อนจะจัดให้มีการเลือกตั้ง
แต่ถ้าแก้แล้วยุบ ก็ต้องวัดใจกันว่า จะแก้กันอย่างไรและจะ “ลากถ่วง” กันไปยาวนานแค่ไหน เพราะถ้าเป็นเพียงพิธีกรรม สุดท้ายแล้วอาจจะกลายเป็น “ชนวนใหญ่” ที่ลุกลามบานปลายถึงขั้นกลายเป็นชุมนุมใหญ่เหมือนเมื่อครั้ง “ถนอม-ประภาส” ก็เป็นได้
“แก๊งก้าว” ได้คืบ เอาอีกศอก
นาทีนี้ต้องบอกว่าวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายเป็น “ไฟต์บังคับ” ที่ไม่น่าจะหลีกเลี่ยงได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลด้านการเมือง หรือจะเป็นรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับรูปแบบการเลือกตั้งที่ดีไม่ดี พลิกขั้วอำนาจเมื่อไรอาจมี คนติดคุกได้
เหลือเพียง วัน ว. เวลา น. อยู่ที่ว่าจะเริ่มแก้ไข แล้วเสร็จกันเมื่อใดเท่านั้น
และหลังแก้ไขรับธรรมนูญให้มี ส.ส.ร.แล้ว ก็ยังมีกระบวนการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ทั่วประเทศ กว่าจะตั้งหลักร่างรับธรรมนูญกันใหม่ กว่าจะแล้วเสร็จ กลายเป็นเกมยาวๆ อาจไปจนถึงหมดเทอมรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นได้
แต่อย่างน้อย “ฝ่ายการเมือง” ก็มองว่า ได้เริ่มต้นดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เป็นท่าทีของ 5 พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แตะแค่มาตรา 256 ให้มี ส.ส.ร.เท่านั้น เพราะรู้ดีกว่าหาก “ล้ำเส้น” ไปแตะเรื่อง ส.ว. อาจทำให้รัฐบาล หรือ ส.ว.ที่ต้องการอย่างน้อย 84 เสียงย่อมไม่เอาด้วย
วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผลักดันกันมาก็กลาย “เป็นหมัน” ทันที
อย่างไรก็ดีญัตติที่เสนอไปนั้นเป็นไปในนาม 5 พรรคฝ่ายค้าน หากใช่ 6 พรรคฝ่ายค้านอย่างที่ควรจะเป็น
ที่ขาดไปก็ไม่ต้องเดา เป็น “ค่ายเฮียธร” พรรคก้าวไกล ที่กระโดดลงรถในนาทีสุดท้าย จากเดิมที่มี 37 ส.ส.ในทั้งหมด 54 ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ร่วมลงชื่อในญัตติแล้วแท้ๆ แต่เกิดเปลี่ยนใจถอนชื่อออกในภายหลัง
เหตุเพราะไม่อินกับญัตติของ 5 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ไม่ทะลวงไปถึงไส้ใน คสช.อย่างที่ต้องการ
ด้วยพรรคก้าวไกลมองว่า หากรื้อรัฐธรรมนูญทั้งทีก็ต้องรื้อแบบ “สุดซอย” ตามที่ “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค ชงแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญออกมา 5 มาตรา ประกอบด้วย มาตรา 269, 270, 271 และมาตรา 272 เป็นบทเฉพาะกาลที่เกี่ยวกับ ส.ว. ทั้งเรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการได้มาซึ่ง ส.ว. อำนาจหน้าที่ ส.ว.ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ และการโหวตเลือกนายกฯ เป็นต้น
รวมถึงการยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 279 เกี่ยวกับการรับรองบรรดาประกาศและคำสั่ง คสช. ให้ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
ซึ่ง “ก้าวไกล” ก็รู้ทั้งรู้ว่า ถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน และรู้ดีว่าในการแก้รัฐธรรมนูญจะต้องมี ส.ส.ร่วมลงชื่อทั้งสิ้น 1 ใน 5 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมดในสภา หรือราว 98 คนในตอนนี้
เพราะพรรคก้าวไกลมี ส.ส.ตอนนี้แค่ 54 คน ครั้นจะไปขอเสียงจากพรรคอื่นก็เป็นไปได้ยาก
คำถามจึงมีว่าแล้วเหตุใดพรรคก้าวไกลถึงปิดโอกาสในการร่วมยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญของตัวเอง
จะเป็นด้วยความเห็นของ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และประธานคณะก้าวหน้า ที่มองว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังเริ่มอิยู่ในขณะนี้ เป็นแค่ “ปาหี่” ถ่วงเวลาไปเรื่อยๆเท่านั้น ที่สุดแล้ววาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจถูก “คว่ำ” ได้ในวาระ 2-3 หากกระแสม็อบต้านรัฐบาลสร่างซาลง
โดยใช้เป็นเหตุผลในการกระตุ้นให้ “ม็อบเด็ก” ยืนระยะให้อยู่ กดดันรัฐบาลไปเรื่อยๆ
แล้วก็มีคำตอบที่ชัดกว่า ออกมาจากปาก ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่จู่ๆ ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงเหตุที่พรรคก้าวไกลไม่ได้ร่วมลงชื่อเสนอญัตติด่วนขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยบอกว่า ร่างของพรรคร่วมฝ่ายค้านมี “รายละเอียดบางประการ” ที่พรรคก้าวไกลต้องขอสงวนไว้ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลพยายามจะผลักดันต่อไป
ซึ่ง “รายละเอียดบางประการ” ก็ไม่ใช่แค่ประเด็น “ปิดสวิทซ์ ส.ว.” แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 269-272 เท่านั้น
“บังเอิญว่าในร่างแก้ไขของพรรคเพื่อไทยมีการระบุไว้ว่าจะไม่มีการแก้ไขในหมวดที่ 1-2 ด้วยเหตุจำเป็นและในสภาพปัจจุบันรัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 ซึ่งเป็นหมวดทั่วไป ไม่ใช่ไม่เคยมีการแก้ไขเลย แต่มีการแก้ไขหลายครั้งทั้งปี 2540 และปี 2550 ข้อถกเถียงหนึ่งที่เคยพูดคุยกันคือ เช่น อำนาจอธิปไตยเป็นของหรือมาจากประชาชนชาวไทย เราไม่อยากให้มีการปิดล็อกในหมวดดังกล่าวไว้ ส่วนหมวดที่ 2 เป็นหมวดที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ มีการตั้งคำถามว่า ถ้าหากมีการแก้ไข เกรงว่า ส.ส.ร.จะนำข้อความแก้ไขเลยเถิดออกไป ตามกรอบที่เราไม่อาจกำหนดได้ ขอเรียนว่าในหมวดพระมหากษัตริย์ยังมีมาตรา 255 ที่ระบุไว้อยู่แล้วว่า รูปแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ ขณะเดียวกันจะไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐได้ จริงๆสิ่งเหล่านี้ถูกล็อกไว้แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องไปเขียนเพิ่มเติม จะยกเว้นการแก้ไขเพิ่มเติมในหมวดที่ 1 และหมวดที่ 2” นายณัฐวุฒิ กล่าว
ฟังดูดีกับเหตุผลที่ว่าหมวดที่ 1-2 ไม่จำเป็นต้องเขียนล็อกไว้ แต่ใครจะรับประกันว่าจะไม่ “เกินเลย” กันไปอีก
ในอารมณ์ “อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่”
สำคัญที่ “หมวดที่ 2 ที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์” ซึ่งสมัยที่ เลขาธิการคณะก้าวหน้า “เดอะป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ยังมีโอกาสทำหน้าที่ ส.ส.ในสภาฯ ก็มักใช้เวทีสภาฯ อภิปรายแสดง “จุดยืน” ที่ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจหลายครั้ง
ตลอดจนมีการตั้งคำถามด้วยว่า “10 ข้อเรียกร้อง” บนเวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่ “ม็อบเด็ก” ขยายเพดานไว้ ก็ถอดมาจาก “จุดยืน” ที่ “อาจารย์ปิยบุตร” อดีตอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ แสดงจุดยืนไว้ใช่หรือไม่
จึงไม่แปลกที่ภายหลังเกิดประเด็นถกเถียงเรื่อง “10 ข้อเรียกร้อง” แล้ว “คณะก้าวหน้า” จะออกมาสนับสนุนว่า ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ตั้งแต่ “อาจารย์ป๊อก” ที่ออกจดหมายเปิดผนึกถึง 10 ข้อเรียกร้องของ “ม็อบปลดแอก” ด้วยว่า เป็น “ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ” ของบางคน บางกลุ่ม ที่ใครต่างก็เคยซุบซิบนินทากันกันใน “วงข้าว-วงเหล้า-วงสังคม” มาไม่มากก็น้อย
“ไม่ควรบิดเบือนให้พวกเขากลายเป็นพวกล้มเจ้า หรือชังชาติ หรือถูกล้างสมอง” ปิยบุตรว่าไว้อย่างนั้น สะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาไปกับ “สัญญาณอันตราย” ที่ส่งออกมาจากม็อบเยาวชนปลดแอกเลย
เช่นเดียวกับ “เสี่ยเอก-ธนาธร” ที่กางปีกปกป้อง “เนื้อหา” ที่ปราศรัยในวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่ได้เกินเลยจากที่กฎหมายกำหนด
ขาดไม่ได้ “สาวช่อ” พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ที่ทวีตข้อความว่า “ช่วยกันยืนยันว่า 10 ข้อเสนอของนักศึกษา ไม่ใช่อาชญากรรม ไม่ใช่การล้มล้างสถาบัน ได้เวลาที่สังคมจะต้องคุยเรื่องนี้กันด้วยเหตุผลและหลักการ การแปะป้ายว่าชังชาติ หรือด่าทอด้วยอารมณ์ ไม่สามารถลบแผลที่เปิดออกแล้วได้”
ความเห็นของ “ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์” ที่ว่า 10 ข้อเสนอไม่ได้ “ล้มเจ้า-ชังชาติ” เหมือนกับอยู่ใน “มิติคู่ขนาน” กับคนไทยส่วนใหญ่
จึงไม่แปลกที่ “ส.ส.ก้าวไกล” ที่ต้องยอมรับว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “ประธานเอก” จะออกมาพุ่งเป้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปที่หมวดที่ 1-2 สอดรับกับการสนับสนุน “10 ข้อเรียกร้อง” ของ “3 เกลอก้าวหน้า”
เพราะจะ “ก้าวหน้า” หรือ “ก้าวไกล” ก็หน่อเนื้อเดียวกัน
งานนี้ดูท่าจะใช้ “ม็อบเด็ก” ขยายเพดาน ส่วน “แก๊งก้าว” ก็จ้องเล่นใหญ่เอาให้ทะลุหลังคาไปเลย.