xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ม็อบปลดแอก” อันตราย ชำแหละขบวนการล้างสมอง “สมศักดิ์ เจียมฯ-ปวิน” คือศาสดา “แนวร่วม” โดดหนี- “ธร-ป๊อก-ช่อ” เชียร์สุดลิ่ม ใครกัน!? “ไอ้โม่ง” แอบหลังเด็ก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แรงกันสุดๆ หยุดกันไม่อยู่เสียแล้ว

กรณีข้อเรียกร้องของ “แฟลชม็อบ” ของกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” ซึ่งมีการจัดชุมนุมโดยเยาวชน นักเรียน นักศึกษาสถาบันต่างๆทั่วประเทศ ที่ชัก “เลยเถิด” ไปเกินกว่า 3 ข้อเรียกร้องเดิม อันได้แก่ 1.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่, 2.ยุบสภา และ 3.หยุดคุกคามประชาชน

หากแต่นับแต่การเรียกร้อง 3 ข้อเรียกร้องเมื่อวันที่ 18 ก.ค.63 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมขีดเส้นตายให้รัฐบาลปฏิบัติตามภายในวันที่ 2 ส.ค.63 ก่อนจะมีการยกระดับการชุมนุม ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามหรือยังไม่สามารถปฏิบัติได้ในเวลาอันสั้น

กลายมาเป็น “ข้ออ้าง” ที่ “ม็อบปลดแอก” หรือที่แตกแขนงไปเป็นกลุ่มประชาชนปลดแอก ยกระดับข้อเรียกร้องประเภท “ทะลุซอย-ทะลุฟ้า” ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่การเปิดหัวโดย อานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่ที่ผ่านมาอาศัยภาพความเป็นทนายด้านสิทธิมนุษยชนในการเคลื่อนไหว ด้วย “ประเด็นแหลมคม”

อย่างการเรียกร้องให้ยกเลิก-แก้ไขกฎหมายที่กระทบต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงเชิญชวนให้ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมือง เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา บนเวทีชุมนุม “เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตย” ในธีม “แฮรี พอตเตอร์” นวนิยายและภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลก ที่กลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มมอกะเสด ออกหน้าเป็นผู้จัดกิจกรรม ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

โดยเฉพาะ 10 ข้อเรียกร้อง “เกินงาม” บนเวที “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 ที่ใครต่อใครต่างเบือนหน้าหนี

แต่ก็ยังมี “ผู้ใหญ่” รวมไปถึง “ไอ้โม่ง” บางคนที่เห็นดีเห็นงามไปด้วย


 “อานนท์”ชงแรง-หมากกามิกาเซ
อ่านกันไม่ยากว่า สิ่งที่ “ทนายอานนท์” พ่นออกมาเมื่อวันที่ 3 ส.ค.นั้น เป็นปฏิบัติการ “กามิกาเซ” เพื่อ “ยั่ว” ให้ตัวเองโดนดำเนินคดีทางกฎหมายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

หวังให้เกิดเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” เพื่อเร่งอุณหภูมิให้ไปถึง “เป้าหมายสูงสุด” ตาม “ใบสั่ง” ของ “ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง” หรือไม่

ด้วย “ฝ่ายม็อบ” รู้ถึงแนวนโยบายของฝ่ายรัฐบาลแล้วว่า กำลังจะเริ่มไล่เล่นงาน “แกนนำม็อบ” ที่มีคดีติดพันค้างเก่า โดยเมื่อวันที่ 30 ก.ค.63 “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายในระหว่างการประชุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิจารณาบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสมเกี่ยวกับการชุมนุม

“ให้ตำรวจดำเนินคดีเด็ดขาดกับ “แกนนำผู้ชุมนุม” ที่มีหมายจับค้างเก่า มีคดีติดตัว หรือได้รับการประกันตัวออกมา แล้วกลับมายุยงปลุกปั่นให้การชุมนุมไม่เป็นไปตามกฎหมาย กลับมากระทำผิดซ้ำด้วยการจัดการชุมนุมตามสถานที่ต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ” พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย โฆษก สตช.เปิดเผยถึงแนวนโยบายที่ “นายกฯประยุทธ์” มอบให้ในวันนั้น

นำมาซึ่งปฏิบัติการ “กามิกาเซ” ของ “ทนายอานนท์” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั่นเอง

พูดได้ว่าปฏิบัติการ “ยั่ว” ได้ผลในระดับหนึ่ง เพราะไม่กี่วันจากนั้น “ทนายอานนท์” ก็ถูกออกหมายจับและจับกุม เมื่อวันที่ 7 ส.ค.63 ตามหมายจับที่ 1176/2563 ออกโดยศาลอาญา ลงวันที่ 6 ส.ค. 63 โดยมีพนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ เป็นผู้ขอออกหมายจับ

หมายจับระบุข้อกล่าวหาทั้งหมด 8 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) มาตรา 116, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ตาม ป.วิอาญา มาตรา 215, กีดขวางทางสาธารณะ ตาม ป.วิอาญา มาตรา 385, ฝ่าฝืนพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) เรื่องการชุมนุมมั่วสุม, ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติโรคติดต่อ (พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ), วางสิ่งของกีดขวางทางจราจร ตามมาตรา 114 ของ พ.ร.บ.จราจรฯ, ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ มาตรา 19

แต่ต้องเข้าใจว่าเป็นหมายจับที่ออกจากกรณีการร่วมกิจกรรมชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 63 ซึ่งมีชื่อ “ทนายอานนท์” เป็นผู้ต้องหาลำดับที่ 7 เช่นเดียวกับ “ไมค์ ระยอง” ภาณุพงษ์ จาดนอก เยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตยที่ชูป้ายด่า “นายกฯตู่” ขณะลงพื้นที่ จ.ระยอง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในลำดับที่ 5 ในหมายจับเดียวกัน ก็ถูกจับกุมในวันเดียวกัน

โดยมีผู้ถูกออกหมายจับรวมทั้งสิ้น 31 รายด้วยกัน

ว่ากันว่าเหตุที่ “อานนท์” ถูกจับกุมนั้น ก็เพื่อปรามไม่ให้สถานการณ์ “เลยเถิด” ไปมากกว่านั้น เพราะ “อานนท์” มีกำหนดการเดินทางไปปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 9 ส.ค. 63 ในหัวข้อ “การขยายอำนาจของสถาบันกษัตริย์ ที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย”

อย่างไรก็ดีภายหลังจากก่อดรามาข้ามคืน จนมีมวลชนไปปิดล้อม สน.ห้วยขวาง ที่ควบคุมตัว 2 ผู้ต้องหา ก่อนได้รับความเมตตาจากศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราว “อานนท์” ก็ยังเดินทางไปร่วมชุมนุมและปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ โดยได้ไปร่วมชุมนุมที่ลานอเนกประสงค์ ข่วงประตูท่าแพ

ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าที่ “ทนายอานนท์” ถูกจับในวันนั้น เป็นคดีการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ก.ค.เท่านั้น ยังไม่เกี่ยวกับการปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันที่ 3 ส.ค.แต่อย่างใด

เพราะกรณีปราศรัย “จาบจ้วง” นั้นได้ถูก อภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง และเพื่อน แจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สน.สำราญราษฎร์ เมื่อวันที่ 5 ส.ค.63 และอยู่ในระหว่างขั้นตอนของตำรวจ ยังไม่มีการออกหมายจับหรือหมายเรียกแต่อย่างใด

โดย “ทนายอภิวัฒน์” ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษว่า “ทนายอานนท์” จัดชุมนุมปราศรัยละเมิดกล่าวหาสถาบันชัดเจน ก่อนที่วันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านจะเดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปร้องทุกข์ “ทนายอานนท์” ที่ร่วมชุมนุมที่ จ.เชียงใหม่ ละเมิดเงื่อนไขประกันตัว ไว้อีกกระทงหนึ่ง


 “ม็อบธรรมศาสตร์” ตามรอย “เรดการ์ด”
แต่ที่ “จัดหนัก-จัดเต็ม” กว่า จนทำให้ “ทนายอานนท์” ดูเบาๆไปเลย คงเป็นที่เวที “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63

กับ 10 ยื่นข้อเรียกร้องที่ยิงตรงไปที่ “สถาบันพระมหากษัตริย์” แล้วยังเหิมเกริมประกาศจัดการนัดชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 12 ส.ค.63 อันเป็น “วันมหามงคล” ของคนไทยทั้งชาติ ก่อนจะพับแผนในภายหลัง

แต่เอาแค่ 10 ข้อเรียกร้องที่ว่า ก็ทำให้ใครหลายคน “ไม่สบายใจ” และ “อันตรายอย่างยิ่ง” หากไม่ระงับสถานการณ์

และถือเป็นการสิ้นสุดการแอบอ้าง “พลังบริสุทธิ์” ที่ใช้บังหน้ามาตลอด ก่อนถูกจับได้ไล่ทัน และเสื่อมลงแล้วตั้งแต่คำปราศรัยของ “ทนายอานนท์” เมื่อวันที่ 3 ส.ค.63 มาจนถึงเมื่อวันที่ 11 ส.ค.63

โดย 10 ข้อเรียกร้องที่ออกมา ก็ตอกย้ำวาทกรรมที่ว่า “เด็กธรรมศาสตร์ถูกล้างสมอง” นั้นอาจจะใกล้เคียงความเป็นจริง

คำถามมีต่อว่า ใครอยู่เบื้องหลัง ใครล้างสมอง ให้เด็กและเยาวชน ส่งสารท้าทายสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยถึงขนาดนี้

หรือมี “ผู้ใหญ่” หวังใช้กลุ่มผู้ชุมนุมเป็นแค่ “ตัวประกอบ” เพื่อประกาศข้อเรียกร้องที่ออกจากก้นบึ้งจิตใจตัวเองหรือไม่

การยกย่องเชิดชู สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล - ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ที่เป็น 2 ผู้ต้องหาหนีคดีมาตรา 112 และลี้ภัยต่างประเทศ บนเวทีที่มีการฉายภาพทั้งคู่บนโปรเจคเตอร์ขนาดยักษ์ พร้อมข้อความและตราสัญลักษณ์ที่ส่อไปในทางหมิ่นสถาบัน

น่าจะเป็นคำตอบส่วนหนึ่ง และยิ่งถอดรหัส “ประกาศกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ฉบับที่ 1” ที่ “สาวรุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ได้อ่านในวันนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นที่ “สมศักดิ์ เจียมฯ” ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น “ศาสดา” ของ “กลุ่มล้มเจ้า” เคยวิพากษ์ และเชิญชวนให้เกิดการอภิปรายในทางสาธารณะมาแล้วทั้งสิ้น

การเชิดชู “บุคคลต้องห้าม” อย่าง “สมศักดิ์ เจียมฯ” ที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาก่อน ก็ทำให้คิดได้ว่า เด็กนักศึกษาถูก “ล้างสมอง” ผ่านการเรียนการสอนหรือไม่อย่างไร

ตลอดจนคณาจารย์จำนวน 105 คนจากหลายมหาวิทยาลัย ที่ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุน 10 ข้อเรียกร้อง ก็ยิ่งตอกย้ำว่ายังมี “แม่พิมพ์” จำนวนมากที่เห็นดีเห็นงามด้วยกับพฤติกรรมหมิ่นสถาบัน จนอดถามไม่ได้ว่า คณาจารย์เหล่านี้อยู่ในขบวนการ “ล้างสมอง” เด็กนักเรียนนักศึกษาด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีการตั้งคำถามดังๆจาก ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวเว็บไซต์ข่าวสดอิงลิช ที่มีจุดยืนตรงข้ามกับ “รัฐบาล คสช.” ที่ได้ทวีตข้อความถึงกรณีกรารชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ รังสิต ว่า “1.เวทีแสงสี+ทีมถ่ายทอดสดจ้างทีมมืออาชีพทำ ซึ่งไม่ถูก เงินจากไหน? ใช้แบบนี้คุ้มไหม? 2.กันแกนนำอยู่เต็นท์หลังเวที+ห้ามสื่อถ่าย+มี รปภ.+ขอนักข่าวลงทะเบียนพิเศษ ทำให้นึกถึงม็อบ นปช. กปปส. และ 3.เด็กมัธยมปิดป้ายชื่อ+โรงเรียน เพราะกลัวล่าแม่มด”

อย่าลืมว่านอกจากฐานะสื่อแล้ว “ประวิตร” ยังเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง ก็ยกม็อบธรรมศาสตร์จะไม่ทน เทียบเคียงกับม็อบ นปช.-กปปส. ที่สะท้อนว่ามี “แกนนำ” ที่มีศักยภาพอยู่เบื้องหลัง แต่ต่างจากม็อบการเมืองในอดีตตรงแค่ ให้ “เด็ก” ออกหน้าแทนเท่านั้น

คำถามมีไปถึงแสงสีเสียงของเวทีคอนเสิร์ตขนาดย่อมๆ จัดแสงสีเสียงครบครัน หรือการจัดทำคลิป และกราฟิกต่างๆ บนเวที ที่ดูแล้วราคาค่างวดย่อมไม่ธรรมดา และเชื่อได้ยากว่า ใช้เพียงแค่เงินบริจาคที่เรี่ยไรกันมา ตลอดจนศักยภาพในการชุมนุมทั่วประเทศแทบไม่เว้นแต่ละวัน ก็สะท้อนอีกว่ามี “นายทุน” อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน

ถามต่อว่า “ไอ้โม่ง” ที่อยู่เบื้องหลังเด็ก คือใครกันแน่

หากศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองโลก คงจะคุ้นๆกับโมเดลให้ “เด็กออกหน้า” นั้น บังเอิญไม่ต่างจาก “ยุวชนแดง-เรดการ์ด” ที่เคยเป็น “หัวหมู่ทะลวงฟัน” ของ เหมา เจ๋อ ตุง อดีตประธานาธิบดี และผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้เปิดศักราชจีนใหม่”

ในความยกย่องชื่นชม “ประธานเหมา” ก็ยังแปดเปื้อนไปด้วยวีรกรรมของ “เรดการ์ด” ที่เป็นกลไกสำคัญในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ทั้งยังมีส่วนในการทำลายสัญลักษณ์ของจีนในอดีตก่อนยุคคอมมิวนิสต์ รวมถึงศิลปวัตถุโบราณ และสุสานของบุคคลสำคัญของจีน

ว่ากันว่าหลังจากที่ “เรดการ์ด” ซึ่งได้รับการสนับสนุนส่วนตัวจาก “ประธานเหมา” จนขยายตัวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เกิดพฤติกรรมเหิมเกริม มีการทำร้ายต่อผู้เห็นต่าง คุกคามความมั่นคงของประชาชน จนเกินกว่าจะควบคุม ก่อนที่จะขัดแย้งกับ “ผู้มีอำนาจ” ที่พยายามเข้ามาควบคุม “ยุวชนแดง” จนถูกลบออกจากหน้าประวัติศาสตร์ในที่สุด
เป้าหมายที่แท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง “ม็อบเยาวชน” ก็ดูท่าจะไม่ต่างจากการปั้น “เรดการ์ด” เพื่อให้มาทำลาย “รากเหง้า” ของชาติไทยอย่างไรอย่างนั้น


 ใครกัน!? “ไอ้โม่ง” แอบหลังเด็ก
จากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมเลือกเล่นเกมแรง โดยใช้เนื้อหาการปราศรัยที่หนักข้อขึ้น ส่งผลให้ยุทธการละมุนละม่อม ไม่แตะต้อง “ม็อบปลดแอก” ของ “นายกฯลุงตู่” ดูจะได้ผล เพราะหากรัฐบาล หรือฝ่ายความมั่นคง รีบแอ็กชั่นเข้าไปจับกุม ดำเนินคดี กับนักศึกษา มีแต่จะเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ

เข้าทาง “ไอ้โม่ง” ที่ชักใย ยุยง อยู่เบื้องหลัง

หากเกิดความไม่พอใจ หรือเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงกับผู้ชุมนุม มีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน กลับปล่อยให้การชุมนุมเดินไปให้ “สุดทาง” ของตัวเอง โดยดูเฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ แบบไม่แตะต้อง เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกว่า ประเทศกำลังจะกลับมาสู่การเผชิญหน้าในเร็ววัน

แน่นอนว่า ในส่วนของผู้ชุมนุมเองอาจ “สะใจ” ที่จัดหนักจัดเต็มได้ ในวันที่ 10 ส.ค.ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แต่ในยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวถือว่า “ผิดพลาด”

หากการชุมนุมในวันดังกล่าว มีเนื้อหาที่พุ่งเป้าเฉพาะรัฐบาล การเติบโตของม็อบอาจไปไกลกว่านี้ แต่การเลือกที่จะจาบจ้วง โดยใช้ความกล้าที่ผิดๆ ทำให้ม็อบเจอตอ

“ตอ” ที่ไม่ใช่การดำเนินคดี หรือถูกจับกุม หากแต่เจอกระแสตีกลับจากสังคมที่กำลังพุ่งแทงไปยังผู้ชุมนุมว่า มันเกินขอบเขตของพลเมืองทั่วไป

อย่าลืมว่า แม้บางส่วนในประเทศจะไม่ชอบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ไม่ได้หมายความว่า คนเหล่านี้จะเห็นด้วยกับการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง

ไม่ต้องดูไกล ขนาดหัวหอกฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย หรือเหล่าสมาชิกในพรรค ยังต้องเทคแอ็กชั่นออกมาว่า เห็นด้วยกับการชุมนุมตามสิทธิเสรีภาพ แต่ไม่เห็นด้วยกับการจาบจ้วงเบื้องสูง

จน “หญิงหน่อย” ที่เคยเป็นที่รักของ “ม็อบเด็ก” โดนถล่มไปหลายขนานเหมือนกัน ขนาด “บอล” ธนวัฒน์ วงค์ไชย แกนนำวิ่ง ไล่ ลุง และอดีตประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เคยเยินยอ “เจ๊” ว่า “คุณแม่” ทุกคำ ยังอดฟาดงวงฟาดงาที่ “สุดารัตน์” ทิ้งทุ่นไม่ได้

หลายคนที่คอยให้การสนับสนุนม็อบ ทั้งจากการให้สัมภาษณ์หรือการไปร่วมชุมนุมก่อนหน้านี้ ต่างรีบ “เด้งเชือก” ออกมา เมื่อเจอของร้อน เพื่อแสดงตัวว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ย้อนกลับไป “ประธานตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เป็น “ไอคอนคนเสื้อแดง” ยังต้องออกมา “แตะเบรก” ตั้งแต่หลังการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 ก.ค.แล้วว่า ทั้งรับบาลและนักศึกษา ต้องใช้ความอดทนในการควบคุม และการชุมนุม ที่สำคัญฝ่ายกลุ่มผู้ชุมนุมต้อง “อย่าล้ำเส้นสถาบันพระมหากษัตริย์”

ต้องไม่ลืมว่า “จตุพร” ไม่ได้พูดในฐานะคนทำม็อบมืออาชีพเท่านั้น แต่คงมี “ข้อมูลอินไซด์” มาแล้วว่า “เป้าหมายที่แท้จริง” ของกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมนั้นคืออะไร

เพราะ “ประธานตู่” พูดยังไม่ขาดคำดี หลังพ้นเส้นตาย 2 ส.ค. แฟลชม็อบเยาวชนปลดแอก ที่เดิมอาศัยธีม “แฮททาโร- แฮรีพอตเตอร์” ทำให้ดูเป็นม็อบใสๆ หรือที่โดนค่อนขอดว่า “ม็อบมุ้งมิ้ง -ม็อบฟันน้ำนม” แต่ภาพลักษณ์เหล่านั้นก็สร้างขึ้นมาเพื่อ “บังหน้า” แล้วปล่อยซีนให้คนอย่าง “ทนายอานนท์” เป็นคน “เปิดหัว” ก่อนตามที่กล่าวไว้ข้างต้น

การแสดงออกของผู้ชุมนุมยังเป็นไปในลักษณะของการก้าวร้าว โดยเฉพาะแฮชแท็กในทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊ก ที่ขนาดพวกเดียวกันยังมองว่า รุนแรงเกินไป เกิดเป็น “กระแสตีกลับ” ว่า บางอย่างไม่เหมาะไม่ควร




ทุกคนต่างโดดหนี เพราะรู้ว่า การต่อสู้ในลักษณะนี้มีแต่ผลลบ ไม่ใช่เฉพาะแค่การถูกดำเนินคดี หรือถูกจับกุมเท่านั้น

เห็นก็มีเพียงแต่ ส.ส.พรรคก้าวไกล แกนนำคณะก้าวหน้า ที่ถือเป็นเนื้อเดียวกันภายใต้การนำของ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้ากลุ่มห้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ออกมากางปีกปกป้อง “เนื้อหา” ที่ปราศรัยในวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า ไม่ได้เกินเลยจากที่กฎหมายกำหนด อาจจะรวมไปถึงกลุ่มคณาจารย์ 100 กว่าคนที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนการชุมนุม และเนื้อหาในวันดังกล่าวว่า อยู่ในกรอบกฎหมายเช่นกัน

รายของ “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มองว่า “ประเด็นอันตราย” ในสายตาคนทั่วไปเป็นแค่ “สิทธิขั้นพื้นฐาน” เท่านั้น แล้วยังเรียกร้องให้รัฐบาลฟังเสียงม็อบเยาวชนอย่างมีวุฒิภาวะ

ทั้งที่เห็นๆอยู่ว่า ข้อเรียกร้องที่ “เกินเลย” ไปนั้น เป็นข้อเรียกร้องที่ “ไร้วุฒิภาวะ” มากกว่า

หรืออย่าง “อาจารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการกลุ่มก้าวหน้า และอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้ออกจดหมายเปิดผนึกกรณี 10 ส.ค.ย้อนรำลึกถึงความผูกพันกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี จนกลับมารับราชการเป็นอาจารย์สอนหนังสือ รู้จักกับความกระตือรือร้นของนักศึกษา

คล้ายกับยืนยันว่าคุ้นเคยดีกับ “แกนนำปลดแอก”

“ปิยบุตร” ร่ายไปถึง 10 ข้อเรียกร้องของ “ม็อบปลดแอก” ด้วยว่า เป็น “ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ” ของบางคน บางกลุ่ม ที่ใครต่างก็เคยซุบซิบนินทากันกันใน “วงข้าว-วงเหล้า-วงสังคม” มาไม่มากก็น้อย

“ไม่ควรบิดเบือนให้พวกเขากลายเป็นพวกล้มเจ้า หรือชังชาติ หรือถูกล้างสมอง” ปิยบุตรว่าไว้อย่างนั้น สะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาไปกับ “สัญญาณอันตราย” ที่ส่งออกมาจากม็อบเยาวชนปลดแอกเลย

ที่พลาดไม่ได้อีกคน “สาวช่อ” พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ที่ทวีตข้อความว่า “ช่วยกันยืนยันว่า 10 ข้อเสนอของนักศึกษา ไม่ใช่อาชญากรรม ไม่ใช่การล้มล้างสถาบัน ได้เวลาที่สังคมจะต้องคุยเรื่องนี้กันด้วยเหตุผลและหลักการ การแปะป้ายว่าชังชาติ หรือด่าทอด้วยอารมณ์ ไม่สามารถลบแผลที่เปิดออกแล้วได้”

ความเห็นของ “ธนาธร-พิธา-ปิยบุตร-พรรณิการ์” ที่ว่า 10 ข้อเสนอไม่ใด้ “ล้มเจ้า-ชังชาติ” เหมือนกับอยู่ใน “มิติคู่ขนาน” กับคนไทยส่วนใหญ่ แล้วยังเห็นต่างกับ “คุณหญิงสุดารัตน์” ที่มองว่า จาบจ้วงสถาบันฯชัดเจน

กระนั้นผู้ใหญ่ที่เป็น “กองเชียร์” เหล่านี้ก็ถูกจับไต๋ว่า เป็นเพียงพวกที่ขอเกาะกระแสนักศึกษาเท่านั้น เพราะทำแค่เพียงให้การสนับสนุนส่งเสียงผ่านการให้สัมภาษณ์ แต่กลับนั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง รอรับอานิสงส์อย่างเดียว

คล้ายโมเดล “เรดการ์ด” ที่ส่งออกมาทำลาย “รากเหง้า” ของประเทศอย่างไรอย่างนั้น

เพราะคนเหล่านี้ ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมกับนักศึกษา หรือต่อให้ไปก็ไม่ได้ขึ้นไปบนเวที หรือร่วมปราศรัย ในเนื้อหาเดียวกับนักศึกษา กลับกันการออกมาสนับสนุนการชุมนุมให้เดินหน้าต่อ ไม่ต่างอะไรกับการยั่วยุให้นักศึกษาเดินลงเหว
คนพวกนี้เอาแต่เชียร์ แต่ไม่ยอมเปลืองตัว ซึ่งใครก็ทำได้ สุดท้ายหากเกิดคดีความขึ้นมา มีแต่นักศึกษาเท่านั้นที่ถูกดำเนินคดี ส่วนตัวเองนอนสบายอยู่บ้าน อย่างเก่งก็โพสต์ไม่เห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่เท่านั้น

ย้อนดูจดหมายเปิดผนึกของ “ป๊อก-ปิยบุตร” ก็จะสังเกตได้ว่า พยายามวางระยะห่างกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยใช้คำว่า ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของ “พวกเขา” ทั้งที่ในเนื้อหาทั้งหมดราวกับเห็นดีเห็นงามกับ 10 ข้อเสนอเหล่านั้น

หากคนเหล่านี้เป็นตัวจริง และอยู่เคียงข้างนักศึกษาจริง เหตุใดจึงปล่อยให้นักศึกษาสู้อย่างลำพัง โดนดำเนินคดีลำพัง แต่ตัวเองเสวยสุข ประหนึ่งว่า หากสำเร็จก็ร่วมอิ่มเอมกับชัยชนะ หากว่าแพ้ก็ตัวใครตัวมัน

ส่วนคนที่กล้า ก็แหกปาก โพสต์ด่าอยู่ต่างประเทศ ไม่ได้เผชิญความเสี่ยงเหมือนนักศึกษาที่อยู่ในประเทศ สุดท้ายแล้วต่างต้องการใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือสู่วัตถุประสงค์ของตัวเองเท่านั้น


หรือหากใครแน่ ก็ออกมาชูธง อย่าแอบอยู่ใต้กระโปรง หรือข้างหลังเด็ก.


กำลังโหลดความคิดเห็น