"บิ๊กตู่" ยันละมุมละม่อมชุมนุมการเมือง เชื่อมีคนอยู่เบื้องหลัง นศ. เมิน 105 คณาจารย์หนุนม็อบ วอนหยุดแบ่ง “พวกเค้า-พวกเรา” ด้านผู้บริหาร มธ.ย้ำจุดยืนหนุนปกครอง ปชต.อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เสรีภาพต้องอยู่ใต้ รธน.
วานนี้ (13 ส.ค.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก และกลุ่มธรรมศาสตร์จะไม่ทน อ้างว่ารัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ติดตามเพื่อที่จะจับกุมว่า การโพสต์ข้อความใครก็เขียนได้ โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ติดตามเพื่อจับกุม ถามว่าแล้วจับหรือยัง ถ้าทำความผิด ละเมิดกฎหมายแล้วจะต้องทำอย่างไร เรื่องนี้ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยที่รัฐบาลที่อาจจะไม่บังคับใช้กฎหมาย เรื่องแบบนี้มี 2 ทางเสมอ รัฐบาลก็พยายามระมัดระวังอย่างยิ่ง
“อย่าใช้โอกาสนี้ทำให้บ้านเมืองไม่สงบก็แล้วกัน ต้องดูหลายๆอย่าง ต้องไปดูข้อเท็จจริงว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า บริสุทธิ์ใจหรือไม่ การชุมนุมตามสิทธิขั้นพื้นฐานก็ต้องไปดูว่าการชุมนุมสามารถชุมนุมได้ แต่ละเมิดกฎหมายหรือไม่ ก็ต้องไปดูตามกฎหมายที่มีอยู่ ผมเองก็ไม่อยากไปพูดให้เกิดปัญหาอีก ดังนั้นต้องหาวิธีในการแก้ปัญหาอย่างละมุนละม่อม” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ส่วนกรณีกลุ่มนักวิชาการและคณาจารย์ 105 คน ที่ออกแถลงการณ์สนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่มนักศึกษา บนเวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า “ก็เป็นเรื่องของท่าน ผมหวังว่าในประเทศไทยเราคงไม่มีนักวิชาการเพียง 105 คน เราจะมีคนเก่งเพียงเท่านี้หรือ เรามีอีกตั้งเป็น 1,000 เป็น 10,000 คน ก็ต้องดูว่าคนเหล่านั้นมีความคิดเห็นอย่างไรก็ต้องว่ากันมา แต่ข้อสำคัญก็ต้องไม่ไปก้าวล่วงหรือล่วงละเมิดอะไรต่างๆ ผมไม่แปลกใจรายชื่อตรงนี้ที่ผมเห็นเพราะแนวความคิดและการขับเคลื่อนของเขาที่ผ่านมามันก็เป็นแบบนี้ แต่มันหมิ่นเหม่เกินไปในขณะนี้ ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของการจัดกิจกรรมก็ต้องไปดูว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เงินเหล่านี้มาจากไหน ต้องตรวจสอบทั้งหมด
จากนั้นในช่วงเย็น พล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งระบุว่า การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง ซึ่งกีดขวางการร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยในการแก้ปัญหาต่างๆ เป็นสิ่งที่ควรจะมีอยู่แค่ในอดีต เราต้องหยุดพูดคำว่า “พวกเค้า” หรือ “พวกเรา” คนที่พูดว่า “ฉันไม่ฟังเค้า เพราะเค้ามีความเชื่อต่างกับฉัน” หรือ “ฉันจะไม่ไปเจอเค้า เพราะเค้ามีความเชื่ออีกทางหนึ่ง” เป็นคนที่ยังติดอยู่ในโลกการเมืองของเมื่อวาน เป็นยุคที่ผ่านไปแล้ว แนวคิดแบบ พวกเค้า-พวกเรา ไม่ควรจะมีที่ยืนอีกต่อไป ในโลกปัจจุบัน ควรจะมีแต่คำว่า “คนไทยด้วยกัน”
อีกด้าน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ออกเอกสารประชาสัมพันธ์สำหรับเผยแพร่ทันที ในหัวข้อเรื่อง ข้อสรุปจาการประชุมสภา มธ. ที่มี นายนรนิติ เศรษฐบุตร เป็นนายกสภาฯ โดยเนื้อหาระบุว่าสภา มธ.ได้มีการประชุมในวันนี้ เพื่อรับฟังรายงานของคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 ส.ค. สภา มธ.ได้มีข้อสรุปจากการประชุม จำนวน 4 ข้อ คือ 1. มธ.ยังยืนยันในจุดยืนของการเป็นสถาบันศึกษาที่สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, 2. มธ.ยอมรับในสิทธิเสรีภาพและการแสดงออกของนักศึกษาภายใต้ขอบเขตแห่งรัฐธรมนูญและกฎหมาย, 3. คณะผู้บริหารของ มธ.ขอรับไปดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างรอบด้านเพื่อชี้แจงให้สังคมได้ทราบต่อไป และ 4. มธ.จะพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในมหาวิทยาลัย โดยเชื่อในแนวทางการปรึกษาหารือแบบสันติวิธี
วันเดียวกัน ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี กลุ่มรักแผ่นดินเกิด นำโดย นายบัญชา บุญพยุง หัวหน้ากลุ่ม ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีต่อ รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มธ., ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มธ. และคณะผู้จัดชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 ฐานให้การสนับสนุนการชุมนุม และการปราศรัยที่จาบจ้วงก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งยุยงปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกภายในประเทศ โดยมี พ.ต.อ.ศิวาพัชญ์ สนิทนวนธนรัฐ ผกก.สอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.ภ.1 เป็นผู้รับเรื่อง
นายบัญชากล่าวตอนหนึ่งว่า ขอเรียกร้อง รศ.เกศินี ในฐานะอธิการบดี และ ผศ.ดร.ปริญญา รองอธิการบดี ผู้อนุญาตให้ใช้สถานที่จัดการชุมนุมทราบและรับรู้ถึงพฤติกรรมในการปราศรัยของกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ไม่ระงับยับยั้งกลับปล่อยให้มีการปราศรัยจาบจ้วงล่วงละเมิดลิดรอนพระราชอำนาจ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักสักการะของปวงชนชาวไทย ถือได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว นอกจากนี้ทั้ง รศ.เกศินี และ ผศ.ดร.ปริญญา จะกระทำเพียงการออกมาชี้แจงและแสดงความเสียใจขออภัยและขอโทษต่อประชาชนไม่ได้ ควรแสดงความรับผิดชอบอย่างสูงสุดด้วยการขอพระราชทานอภัยโทษ และควรลาออกจากตำแหน่งในระดับบริหารทั้งหมดของ มธ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้น นายสนธิญา สวัสดี อดีตผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้เดินทางมาร้องทุกข์กล่าวโทษผู้จัดการชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่ สภ.คลองหลวง จากกรณีเดียวกันด้วย
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 12 ส.ค. น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำนักศึกษาธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าหอพักเพื่อเตรียมกำลังบุกจับ ก่อนจะรับุว่าปลอดภัยแล้วในช่วงเช้า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี จากคดียุบพรรค และประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ว่า “การจับกุมนักศึกษาเป็นสิ่งที่ผิดอย่างร้ายแรง และไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา สิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการรับรองสิทธิของพวกเขา ฟังสิ่งที่เขาต้องการพูดอย่างมีวุฒิภาวะ ตรงไปตรงมา ร่วมกันปกป้องคุณรุ้งและคุณเพนกวิน การแสดงออกของประชาชน ไม่ใช่อาชญากรรม แต่คือการทำหน้าที่พลเมือง #savepanusaya”
เช่นเดียวกับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และเลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเรื่อง "จดหมายเปิดผนึกกรณี 10 สิงหาคม” ระบุถึงความผูกพันที่มีต่อ มธ.ทั้งในช่วงนักศึกษาและเป็นอาจารย์กว่า 21 ปี พร้อมระบุถึงข้อเสนอ 10 ข้อจากเวทีการชุมนุม ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่าเป็นความจริง กลั่นกรองออกจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทยมาหลายทศวรรษ แต่อาจเป็นความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจของบางคน บางกลุ่ม ไม่ควรนำสิ่งต่างๆมากลบข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่จริง และยิ่งไม่ควรบิดเบือนให้พวกเขากลายเป็นพวกล้มเจ้า หรือชังชาติ หรือถูกล้างสมอง
“ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนรูปแบบของรัฐ ประเทศไทยยังคงเป็นราชอาณาจักร มีพระมหาษัตริย์เป็นประมุขของรัฐสืบทอดทางสายโลหิต เช่นเดิม ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา ไม่มีตรงไหนที่กระทบถึงการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย” นายปิยบุตร ย้ำ
วานนี้ (13 ส.ค.) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก และกลุ่มธรรมศาสตร์จะไม่ทน อ้างว่ารัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ติดตามเพื่อที่จะจับกุมว่า การโพสต์ข้อความใครก็เขียนได้ โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่ติดตามเพื่อจับกุม ถามว่าแล้วจับหรือยัง ถ้าทำความผิด ละเมิดกฎหมายแล้วจะต้องทำอย่างไร เรื่องนี้ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยที่รัฐบาลที่อาจจะไม่บังคับใช้กฎหมาย เรื่องแบบนี้มี 2 ทางเสมอ รัฐบาลก็พยายามระมัดระวังอย่างยิ่ง
“อย่าใช้โอกาสนี้ทำให้บ้านเมืองไม่สงบก็แล้วกัน ต้องดูหลายๆอย่าง ต้องไปดูข้อเท็จจริงว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า บริสุทธิ์ใจหรือไม่ การชุมนุมตามสิทธิขั้นพื้นฐานก็ต้องไปดูว่าการชุมนุมสามารถชุมนุมได้ แต่ละเมิดกฎหมายหรือไม่ ก็ต้องไปดูตามกฎหมายที่มีอยู่ ผมเองก็ไม่อยากไปพูดให้เกิดปัญหาอีก ดังนั้นต้องหาวิธีในการแก้ปัญหาอย่างละมุนละม่อม” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ส่วนกรณีกลุ่มนักวิชาการและคณาจารย์ 105 คน ที่ออกแถลงการณ์สนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่มนักศึกษา บนเวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า “ก็เป็นเรื่องของท่าน ผมหวังว่าในประเทศไทยเราคงไม่มีนักวิชาการเพียง 105 คน เราจะมีคนเก่งเพียงเท่านี้หรือ เรามีอีกตั้งเป็น 1,000 เป็น 10,000 คน ก็ต้องดูว่าคนเหล่านั้นมีความคิดเห็นอย่างไรก็ต้องว่ากันมา แต่ข้อสำคัญก็ต้องไม่ไปก้าวล่วงหรือล่วงละเมิดอะไรต่างๆ ผมไม่แปลกใจรายชื่อตรงนี้ที่ผมเห็นเพราะแนวความคิดและการขับเคลื่อนของเขาที่ผ่านมามันก็เป็นแบบนี้ แต่มันหมิ่นเหม่เกินไปในขณะนี้ ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของการจัดกิจกรรมก็ต้องไปดูว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เงินเหล่านี้มาจากไหน ต้องตรวจสอบทั้งหมด
จากนั้นในช่วงเย็น พล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งระบุว่า การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง ซึ่งกีดขวางการร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยในการแก้ปัญหาต่างๆ เป็นสิ่งที่ควรจะมีอยู่แค่ในอดีต เราต้องหยุดพูดคำว่า “พวกเค้า” หรือ “พวกเรา” คนที่พูดว่า “ฉันไม่ฟังเค้า เพราะเค้ามีความเชื่อต่างกับฉัน” หรือ “ฉันจะไม่ไปเจอเค้า เพราะเค้ามีความเชื่ออีกทางหนึ่ง” เป็นคนที่ยังติดอยู่ในโลกการเมืองของเมื่อวาน เป็นยุคที่ผ่านไปแล้ว แนวคิดแบบ พวกเค้า-พวกเรา ไม่ควรจะมีที่ยืนอีกต่อไป ในโลกปัจจุบัน ควรจะมีแต่คำว่า “คนไทยด้วยกัน”
อีกด้าน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ออกเอกสารประชาสัมพันธ์สำหรับเผยแพร่ทันที ในหัวข้อเรื่อง ข้อสรุปจาการประชุมสภา มธ. ที่มี นายนรนิติ เศรษฐบุตร เป็นนายกสภาฯ โดยเนื้อหาระบุว่าสภา มธ.ได้มีการประชุมในวันนี้ เพื่อรับฟังรายงานของคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 ส.ค. สภา มธ.ได้มีข้อสรุปจากการประชุม จำนวน 4 ข้อ คือ 1. มธ.ยังยืนยันในจุดยืนของการเป็นสถาบันศึกษาที่สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, 2. มธ.ยอมรับในสิทธิเสรีภาพและการแสดงออกของนักศึกษาภายใต้ขอบเขตแห่งรัฐธรมนูญและกฎหมาย, 3. คณะผู้บริหารของ มธ.ขอรับไปดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างรอบด้านเพื่อชี้แจงให้สังคมได้ทราบต่อไป และ 4. มธ.จะพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในมหาวิทยาลัย โดยเชื่อในแนวทางการปรึกษาหารือแบบสันติวิธี
วันเดียวกัน ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี กลุ่มรักแผ่นดินเกิด นำโดย นายบัญชา บุญพยุง หัวหน้ากลุ่ม ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีต่อ รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มธ., ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มธ. และคณะผู้จัดชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค.63 ฐานให้การสนับสนุนการชุมนุม และการปราศรัยที่จาบจ้วงก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งยุยงปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกภายในประเทศ โดยมี พ.ต.อ.ศิวาพัชญ์ สนิทนวนธนรัฐ ผกก.สอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.ภ.1 เป็นผู้รับเรื่อง
นายบัญชากล่าวตอนหนึ่งว่า ขอเรียกร้อง รศ.เกศินี ในฐานะอธิการบดี และ ผศ.ดร.ปริญญา รองอธิการบดี ผู้อนุญาตให้ใช้สถานที่จัดการชุมนุมทราบและรับรู้ถึงพฤติกรรมในการปราศรัยของกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ไม่ระงับยับยั้งกลับปล่อยให้มีการปราศรัยจาบจ้วงล่วงละเมิดลิดรอนพระราชอำนาจ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักสักการะของปวงชนชาวไทย ถือได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว นอกจากนี้ทั้ง รศ.เกศินี และ ผศ.ดร.ปริญญา จะกระทำเพียงการออกมาชี้แจงและแสดงความเสียใจขออภัยและขอโทษต่อประชาชนไม่ได้ ควรแสดงความรับผิดชอบอย่างสูงสุดด้วยการขอพระราชทานอภัยโทษ และควรลาออกจากตำแหน่งในระดับบริหารทั้งหมดของ มธ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้น นายสนธิญา สวัสดี อดีตผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้เดินทางมาร้องทุกข์กล่าวโทษผู้จัดการชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่ สภ.คลองหลวง จากกรณีเดียวกันด้วย
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 12 ส.ค. น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำนักศึกษาธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าหอพักเพื่อเตรียมกำลังบุกจับ ก่อนจะรับุว่าปลอดภัยแล้วในช่วงเช้า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี จากคดียุบพรรค และประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ว่า “การจับกุมนักศึกษาเป็นสิ่งที่ผิดอย่างร้ายแรง และไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา สิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการรับรองสิทธิของพวกเขา ฟังสิ่งที่เขาต้องการพูดอย่างมีวุฒิภาวะ ตรงไปตรงมา ร่วมกันปกป้องคุณรุ้งและคุณเพนกวิน การแสดงออกของประชาชน ไม่ใช่อาชญากรรม แต่คือการทำหน้าที่พลเมือง #savepanusaya”
เช่นเดียวกับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และเลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กเรื่อง "จดหมายเปิดผนึกกรณี 10 สิงหาคม” ระบุถึงความผูกพันที่มีต่อ มธ.ทั้งในช่วงนักศึกษาและเป็นอาจารย์กว่า 21 ปี พร้อมระบุถึงข้อเสนอ 10 ข้อจากเวทีการชุมนุม ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่าเป็นความจริง กลั่นกรองออกจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทยมาหลายทศวรรษ แต่อาจเป็นความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจของบางคน บางกลุ่ม ไม่ควรนำสิ่งต่างๆมากลบข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่จริง และยิ่งไม่ควรบิดเบือนให้พวกเขากลายเป็นพวกล้มเจ้า หรือชังชาติ หรือถูกล้างสมอง
“ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนรูปแบบของรัฐ ประเทศไทยยังคงเป็นราชอาณาจักร มีพระมหาษัตริย์เป็นประมุขของรัฐสืบทอดทางสายโลหิต เช่นเดิม ข้อเสนอทั้ง 10 ข้อของพวกเขา ไม่มีตรงไหนที่กระทบถึงการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย” นายปิยบุตร ย้ำ