เปิดหน้าอีกราย! “ดร.นิว” แฉ “โจชัว หว่อง” ดึงไทยหนึ่งในแนวร่วม ดับฝัน “ล้างสมองสิงคโปร์” ไม่ง่าย “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” เตือนม็อบถูกหักหลัง โพลชี้คนไทยส่วนใหญ่ เชื่อม็อบก็ “คุกคามประชาชน” และ “ต่างชาติ-นักการเมือง” อยู่เบื้องหลัง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (29 ส.ค. 63) เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่า
“แต่สิงคโปร์ไม่ง่ายนะครับ เพราะระบบการศึกษาของสิงคโปร์ดี คนสิงคโปร์ฉลาด คิดเป็น ไม่โง่ จูงยาก ไม่ได้ชอบทำอะไรตามกระแส หรือทำอะไรตามๆ กันแบบคิดน้อยหรือสิ้นคิด มีความเป็นปัจเจก มีความเข้าใจประชาธิปไตย รู้จักความรับผิดชอบ มีความเป็นระเบียบ เคารพกติกาและกฎหมาย มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมในสังคม สภาพสังคมต้องแข่งขันผู้คนจึงใช้เวลาว่างทำมาหากินหรือใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แถมกฎหมายก็ยังเข้มงวดมากๆ อีกด้วย
ถามว่า มีคนที่ไม่พอใจชาติตัวเองหรือเกลียดสภาพสังคมที่เป็นอยู่มีไหม?
คำตอบคือ “มี” แต่พวกเขามีความคิดในลักษณะที่จะพยามตั้งใจเรียน หางานดีๆ เก็บเงิน หาโอกาสย้ายไปอยู่ต่างประเทศ
ดังนั้น จึงบอกได้เลยว่าการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือล้างสมองคนรุ่นใหม่ด้วยข้อมูลที่บิดเบือน แล้วปั่นกระแสปลุกระดมให้เกิดม็อบในสิงคโปร์ นั้น “ยากมาก” ครับ”
ขณะเดียวกัน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ “คิดผิดคิดใหม่ได้”
เนื้อหาระบุว่า “หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา เกิดปรากฏการณ์ "ดอกไม้บานร้อยดอก" ขบวนการนักศึกษาตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตย และสนใจสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์
ในเวลาเดียวกัน ในลาวก็มีขบวนการนักศึกษาเช่นกัน เรียกว่า ขบวนการนักศึกษา 21 องค์การ ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย ร่วมมือกับฝ่ายสังคมนิยมของขบวนการปะเทดลาว (พรรคคอมมิวนิสต์ลาว) โค่นล้มเจ้ามหาชีวิต และรัฐบาลของกลุ่มลาวกลางที่มีเจ้าสุวรรณภูมาเป็นนายกฯ แต่สุดท้ายเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ลาวชนะ กลุ่มนักศึกษา 21 องค์การ ต้องหนีการปราบปรามของรัฐบาลลาวใหม่เข้ามาอยู่ในศูนย์อพยพที่จังหวัดหนองคาย
ทั้งหมดนี้ มีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น พรรคคอมมิวนิสต์ มหาอำนาจที่แข่งขันกันสร้างอิทธิพลต่อคนไทยและแผ่นดินไทย
ผมได้มีโอกาสรู้จักพูดคุยกับอดีตแกนนำเหล่านั้นหลายคน ส่วนใหญ่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อ่อนประสบการณ์ รู้น้อย ถูกคนของพรรคคอมมิวนิสต์ลาวปลุกระดม ล้างสมอง ให้ก้าวออกมาต่อสู้ สุดท้ายต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แปรสภาพตัวเองเป็นกลุ่มต่อต้านลาวที่พยายามต่อสู้โค่นล้มรัฐบาลของ สปปล.
อยากเตือนกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านสถาบัน ให้นึกถึงเหตุการณ์ทรยศหักหลังกันเองของคณะราษฎร รวมทั้งกลุ่มนักปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่หักหลังสังหารกันเอง อย่าคิดแต่จะชนะฝ่ายเดียว แพ้ขึ้นมาไม่ตายก็ติดคุก หรือกลายเป็นผู้อพยพ
รักชาติได้ คิดอยากเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องไม่ทำลายล้างสถาบันหลักของไทย สถาบันกษัตริย์ สถาบันครอบครัว อย่าสร้างความแตกแยกในประเทศ หากผิดพลาดจะเสียใจไปจนวันตาย”
ด้าน เฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค ของนาย อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้แชร์ข่าว “ซูเปอร์โพล” อย่างน่าสนใจ
โดยระบุว่า “ซูเปอร์โพล กางตัวเลขกลุ่มเคลื่อนไหวหยุดคุกคามประชาชน ในโซเชียลมีเพียงร้อยละ 1.34 แต่ที่มีตัวเลขว่ามีคนดูเยอะมาก ความจริงเกิดจากการปั่นกระแสมาจากต่างประเทศ!
ผลการสำรวจ “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ผ่านระบบ Net Super Poll ในการศึกษาแนวโน้มความเคลื่อนไหว “หยุดคุกคามประชาชน” ในโลกโซเชียล ซึ่งพบข้อมูลที่น่าพิจารณา คือ จำนวนผู้ใช้โซเชียลเฉพาะประเทศไทยอย่างเดียว การเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานในวันม็อบ 16 สิงหาคม จำนวน 148,034 ผู้ใช้งานเฉพาะภายในประเทศไทย แต่ถ้านำข้อมูลรวมจากต่างชาติเข้ามาวิเคราะห์ด้วย มีจำนวนถึง 7,928,492 ผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ ข้อสังเกตที่ค้นพบอีกประการหนึ่งคือ ประเทศไทยมีจำนวนเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 12-24 ปีทั่วประเทศ จำนวน 11,056,769 คน อ้างอิงจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยในปี พ.ศ. 2562 จึงเห็นได้ว่า กลุ่มเคลื่อนไหว “หยุดคุกคามประชาชน” ในโซเชียลจำนวน 148,034 ผู้ใช้งาน คิดเป็นร้อยละ 1.34 เท่านั้น ซึ่งยังต้องแยกกลุ่มผู้ใหญ่ที่เข้ามาผสมโรงออกไปอีกในโอกาสต่อไป
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์บ้านเมืองสงบสุขได้มากกว่านี้มาก ถ้าไม่มีการสร้างปั่นกระแสจากต่างประเทศเข้ามาผสมโรง เพราะระดับกระแสเฉพาะคนในประเทศไทยถูกเติมเชื้อไฟจากต่างประเทศเข้ามาทำให้เกิดภาพลวงตา ปลุกเร้าอารมณ์ให้ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนกำลังตกเป็นเครื่องมือ
อ่านรายละเอียดทั้งหมดที่ไทยโพสต์:
https://www.thaipost.net/main/detail/75885
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอีกมาก โดยเฉพาะที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง หยุดคุกคามประชาชน กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่าน “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ด้วยระบบ Net Super Poll จำนวน 5,962 ตัวอย่าง ในโลกโซเชียล และ “เสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม” (Traditional Voice) จำนวน 1,121 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20 - 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา พบว่า
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ต่อไปนี้เป็นการ คุกคามประชาชน หรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.3 ยกกรณีจลาจลฮ่องกง จุดไฟเผาคุณลุงผู้เห็นต่าง เป็นการคุกคามประชาชน รองลงมาคือ ร้อยละ 95.6 ยกกรณีจลาจลฮ่องกง กลุ่มม็อบนักเรียนห้ามครูบาอาจารย์สอนนักเรียนคนอื่น บังคับให้ไปม็อบ เป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 92.3 ระบุ การโจมตี ด่า สลิ่ม ด่า ชังชาติ ต่างฝ่ายต่างด่าโจมตีกันไปมาเป็นการคุกคามประชาชน
ร้อยละ 91.7 ระบุการโจมตี ด่า กลุ่มเห็นต่างในโลกโซเชียล เป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 91.4 ระบุ ม็อบกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวคนทำผิดกฎหมาย เป็น การคุกคามประชาชน และร้อยละ 91.4 เช่นกัน ระบุ กลุ่มนักเรียน ฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัย ขณะครูบาอาจารย์กำลังสอน เป็นการคุกคามผู้อื่น ร้อยละ 90.7 ระบุ การยึดพื้นที่ปิดถนน ไม่ให้ประชาชนเดินทางไปมา เป็นการคุกคามประชาชน ร้อยละ 90.5 ระบุ การถอนโฆษณาจากรายการที่เห็นต่าง เป็นการคุกคามประชาชน และร้อยละ 89.8 ระบุ การปลดพิธีกรรายการที่เห็นต่าง เป็นการคุกคามประชาชน เช่นกัน
ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.4 ระบุ เชื่อว่าจริง ที่ชาวต่างชาติกับนักการเมืองไทย กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ และอื่นๆ ร่วมกันออกแบบ สั่นคลอน ความมั่นคงของประเทศ ซ้ำเติมวิกฤต ความเดือดร้อนของประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 17.6 ไม่เชื่อว่าจริง
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.1 ระบุ กลุ่มม็อบต่างๆ ก็คุกคามประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 22.9 ระบุ กลุ่มม็อบต่างๆ ไม่ได้คุกคามประชาชน
ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.8 เห็นด้วยว่า ทุกฝ่ายควรหยุดคุกคามประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 10.2 ไม่เห็นด้วย (จากไทยโพสต์ออนไลน์)
แน่นอน, นอกจากข้อยืนยันที่เป็นความคิด ความเห็นจากผู้รู้แล้ว ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนคนไทย ก็เป็นอีกข้อยืนยันหนึ่งที่อธิบายได้ว่า อะไรเป็นอะไร และคนไทยส่วนใหญ่คิดอย่างไร กับเรื่องที่เกิดขึ้น และคงไม่ต้องขยายความอะไรอีกแล้ว
แต่ในสถานการณ์การต่อสู้ทางการเมืองของสองฝ่าย และแนวร่วมสนับสนุน ย่อมมีทั้งคนที่ยอมรับและไม่ยอมรับข้อมูลเหล่านี้ แต่อย่างน้อย ถ้ายึดด้วยเหตุผลแล้ว ถือว่าผลสำรวจมีเหตุผลมากที่สุด เมื่อเทียบกับอารมณ์ความรู้สึก และอย่าลืมว่า โลกเสมือนจริง กับ โลกแห่งความเป็นจริง ต่างกันราวฟ้ากับดิน ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่เดือดร้อนที่สุดคือ เรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ไม่ใช่อย่างที่โลกเสมือนจริงปลุกเร้า และโหมประโคมกระแส รวมถึงล่าแม่มดกันเป็นว่าเล่น และไร้พรมแดน ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั่นเอง ทำให้ถูกแทรกแซงได้ง่ายจากใครก็ตามที่มีผลประโยชน์แอบแฝง ซึ่งประเทศไทยก็ราวกับตกอยู่ในมนต์ดำของเรื่องนี้ หรือว่าไม่จริง!