ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ผมไม่โอเค” คำพูดสั้นๆ ใจความ ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ต่อกรณีที่ “อัยการ” สั่งไม่ฟ้อง “เสี่ยบอส” วรยุทธ อยู่วิทยา บุตรชายคนเล็กของ เฉลิม - ดารณี อยู่วิทยา มหาเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรเครื่องดื่มชูกำลังระดับโลก
เป็น “ยอดชายนายบอส” ผู้สร้างวีกรรมตามสโลแกน “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน” ควบเก๋งเฟอร์รารี รุ่นพินินฟาริน่า (FF) สีบรอนซ์เทา ทะเบียน ญญ 1111 กรุงเทพมหานคร ด้วยความเร็วสูง พุ่งชน “ดาบวิเชียร” ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ปราบปราม สน.ทองหล่อ ซึ่งออกมาปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนด้วยรถจักรยานยนต์ จนลากร่างของ “ดาบวิเชียร” ไปกว่า 200 เมตร ดับอนาถในที่เกิดเหตุ
เหตุเกิดตั้งแต่เดือน ก.ย.2555 มีการทวงถามหาความตลอด แต่เกือบ 8 ปีผ่านมา “อัยการ” กลับตัดจบ สั่งไม่ฟ้อง “วรยุทธ” ใน “ทุกข้อหา”
ถือเป็นการใช้ “ดุลพินิจ” ที่ “ค้านสายตา” คนทั้งโลก กระทั่งเมืองนอกถึงกับออกมาตรการ “บอยคอต” ไม่ร่วมสังฆกรรมกับแบรนด์ “RED BULL” ธุรกิจใหญ่ของตระกูลอยู่วิทยา สายของ “เสี่ยบอส” เลยทีเดียว
“ผมจึงขอแสดงจุดยืนของผม ในเรื่องบอสกระทิงแดงว่า ผมไม่โอเค กับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ผมต้องการให้มีความโปร่งใส ผมจะผลักดัน และผมจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ผมพร้อมที่จะดำเนินการ หลังจากเห็นข้อสรุปของคณะกรรมการที่ผมตั้งขึ้น ซึ่งมีความเป็นอิสระ และประกอบไปด้วยผู้ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม ทั้งในเรื่องความรู้และความเป็นกลาง” คือความเห็นล่าสุดของ “นายกฯตู่” ผู้อยู่บนส่วนยอดของฝ่ายบริหาร
ฟังแล้วก็พอใจชื้นได้บ้างว่า ยังมีโอกาสเล็กๆที่คดีจะถูกพลิกฟื้นขึ้นมาแทนรายการ “มวยล้ม”
อีกทั้ง “ความหวังหมู่บ้าน” ที่จะลบครหา “ยุติธรรมแบบไทยๆ” หรือกู้ศรัทธาให้กระบวนการยุติธรรม ที่ถูกย่ำยีจนป่นปี้ ก็มาจาก “กรรมการอิสระ” ชุดที่ “บิ๊กตู่” ตั้งขึ้น และมีปรมมาจารย์แห่งการตรวจสอบอย่าง วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป้องกันปละปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
ตัดการกระบวนการสนทนาธรรม-รำมวย ประชุม 2-3 หน “ทีมวิชา” ทำงานรุดหน้าไปมาก ทั้งกล้าออกมา “หักล้าง” ข้อมูลของ “ฝ่ายตำรวจ-อัยการ” อย่างไม่ไว้หน้า
สำคัญที่ยังจับกระแสสังคมควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะจังหวะ “บังเอิญ” ที่ จารุชาติ มาดทอง หนึ่งในพยานสำคัญที่มีส่วนช่วย “พลิกคดีแบบกลับตาลปัตร เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหันที่ จ.เชียงใหม่ “อาจารย์วิชา” เสนอให้ “นายกฯตู่” อายัดศพ “จารุชาติ” ก่อนที่ครอบครัวจะทำพิธีฌาปนกิจได้อย่างทันท่วงที
เพื่อกลับมาเข้าสู่กระบวนการชันสูตรพลิกศพให้สังคม “สิ้นสงสัย”
เนื่องจากเกิดความคลางแคลงใจไม่น้อยที่ “จารุชาติ” มาประสบอุบัติเหตุจนจบชีวิตในช่วงที่ชื่อของตัวเองกำลังได้รับความสนใจจากสังคม รวมทั้งยังอยู่ในบัญชีผู้ชี้แจงที่ “ทีมวิชา” จะเชิญมาให้ข้อมูลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่า “จารุชาติ” เสียชีวิตไปเสียก่อน
อย่างน้อยที่สุดการชันสูตรซ้ำ ก็ทำให้ยืนยันได้ว่า บาดแผลต่างๆตรงตามร่องรอยของ “อุบัติเหตุ” ดีกว่าปล่อยให้สังคมจินตนาการไปว่า ถูกยิง ถูกแทง ถูกรุมทำร้าย จนตายแบบ “ผิดธรรมชาติ”
น่าสนใจที่ “คู่กรณี” ที่ตอนเกิดเหตุใหม่ๆ บอกชัดไม่รู้จักกันมาด่อน กลับถูกมัดด้วยกล้องวงจรปิด ที่พบว่า รถจักรยานยนต์ 2 คันของ “จารุชาติ-คู่กรณี” จอดอยู่ด้วยกันหน้าร้านคาราโอเกะแห่งเดียวกัน ช่วงก่อนออกจากร้านทั้งคู่ ยืนพูดคุยกัน
เจอแบบนี้เข้า “คู่กรณี” บอกตอนแรกเมาเลยให้การสับสน ตอนสร่างแล้วยืนยันว่าเจอ “จารุชาติ” ที่ร้านนั้นจริง แต่ไม่ได้มาด้วยกัน ไม่รู้จักกันมาก่อน นั่งคนละโต๊ะ พอร้านใกล้ปิด เดินออกมาพบกัน ชักชวนกันไปหาที่ดื่มกินกันต่อ บอกด้วยว่านัดสาวไว้คนหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่
คู่กรณีขี่นำ จารุชาติขี่ตาม พอถึงจุดเกิดเหตุ จู่ๆจารุชาติเร่งเครื่องแซง แต่ไม่พ้นเฉี่ยวชนกัน จารุชาติกระเด็นไปฟาดกับเกาะกลางถนนอาการสาหัส แล้วจึงเสียชีวิต คู่กรณีเจ็บเล็กน้อยกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้
แม้เหตุการณ์จะบ่งชี้ว่าเป็นเรื่อง “อุบัติเหตุ” จริงๆ แต่ก็ไม่พ้นถูกมองว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะเชื่อมไปคดี “เสี่ยบอส” ถูกตั้งอคติไว้แล้วว่า เป็นเรื่องของ “อภิมหาเศรษฐกิจ” และ “มือที่มองไม่เห็น”
ประเภทที่ว่า “ถ้าเงินพูด ความยุติธรรมก็เงียบ”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการเปิดเผยด้วยว่า “จารุชาติ” ไม่เพียงแต่ “บังเอิญ” เป็นพยานบุคคลที่มาให้การหลังเกิดเหตุการณ์ไปแล้ว 5 ปี จำเหตุการณ์ได้แม่นราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้า ยัง “บังเอิญ” มีคอนเนคชันที่เชื่อมโยงถึง “ตระกูลอยู่วิทยา” อย่างน่าฉงน
ด้วย “จารุชาติ” มีชื่อประกันสังคมในบริษัท นิติชัย ทนายความ ที่โยงมาถึง “ส.ว.ก๊อง” ชูชัย เลิศพงศ์อดิศร อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชุดเลือกตั้งเมื่อปี 2551 ปัจจุบันเป็นว่าที่ผู้สมัครตำแหน่งนายก อบจ.เชียงใหม่ ในนามพรรคเพื่อไทย แม้ตัว “ชูชัย” จะยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัททนายดังกล่าว แต่ก็รู้จักกับผู้ตาย
โดยเจ้าของร้านอาหาร ป.กุ้งเผาสุพรรณ พามาฝากฝัง จึงรับไว้ให้ทำงานขับรถให้ และดูแลหญ้าซ้อมของทีมฟุตบอลเชียงใหม่ยูไนเต็ด โดยไม่รู้ว่า “จารุชาติ” เป็นพยานในคดี “บอส กระทิงแดง”
แต่กลับพบว่า “ลูกน้อง ส.ว.ก๊อง” เป็นผู้นำโทรศัพท์ของ “จารุชาติ” ไปลบข้อมูล และทำลาย เพราะเกรงว่าจะกระทบถึง “ส.ว.ก๊อง” ที่กำลังเข้ามาเล่นการเมืองท้องถิ่น
ขณะเดียวกัน “ส.ว.ก๊อง” กลับมีสายสัมพันธ์กับตระกูลอยู่วิทยาชนิดแนบแน่น ทั้งการร่วมหุ้นกับกลุ่ม Red Bull ซื้อกิจการร้านอาหาร "ผาลาดตะวันรอน" ร้านอาหารชื่อดังใน จ.เชียงใหม่ และยังทีมเชียงใหม่ยูไนเต็ดที่เป็นเจ้าของก็รับสปอนเซอร์จากผลิตภันฑ์ในเครือ Red Bull อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น “ชูชัย” ยังเป็น ส.ว.ชุดเดียวกับ สมัคร เชาวภานันท์ ทนายประจำตระกูลอยู่วิทยา อีกด้วย
ไม่ว่าผลชันสูตร หรือคำชี้แจงของผู้ที่เกี่ยวข้องกับ “จารุชาติ” จะออกมาอย่างไร แต่จากเส้นเรื่องทั้งหมดต้องบอกว่า “ไม่ธรรมดา”
แต่นั่นก็เป็นเพียง “ปลายทาง” เพราะสำคัญกว่านั้นคือ “ต้นสาย” ที่ทำให้ “จารุชาติ” มีตัวตนขึ้นมา อีกทั้งยังกลายเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถืออย่างสูง เพราะขนาดโผล่มาให้การหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปกว่า 5 ปีแล้ว “อัยการ” ยังบรรจุไว้ในสำนวน และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ “สั่งไม่ฟ้อง” เสียด้วย
จากเดิมที่ใครต่อใครก็ว่า “วรยุทธ” ไม่รอดอาญาแผ่นดินแน่ๆ แม้จะใช้แท็กติกทางทนายยื้อยุดจน “หมดอายุความ” ไปหลายข้อหา แต่ก็ยังเหลือ “คดีใหญ่” ในส่วนของขับรถชนตำรวจตาย ที่มีอายุความสิ้นสุดปี 2570 อยู่
การปรากฏตัวของ “จารุชาติ” รวมไปถึง “เสธ.ต้อย” พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร พยานสำคัญอีกปาก กลับเปลี่ยนเรื่องราวจาก “หลังเท้า” กลายเป็น “หน้ามือ” ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นอกเหนือจากการทำหน้าที่อย่างน่าเคลือบแคลงของ “ต้นน้ำ – กลางน้ำ” กระบวนการยุติธรรม ของ “ตำรวจ-อัยการ” แล้ว ยังมี “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของเรื่อง มาจาก คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในยุคของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
เนื่องเพราะ กมธ.คณะนี้ เป็นผู้รับเรื่องขอความเป็นธรรมจาก “ทนายเสี่ยบอส” ทั้งที่เรื่องเดียวกันที่ไปยื่นต่อ “สำนักงานอัยการสูงสุด” เวลานั้น และมีคำสั่งให้ยุติการพิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมโดยให้เหตุผลว่า ได้ปิดสำนวนคดีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และให้ดำเนินการตามคำสั่งฟ้องของอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ในสมัยนั้น
ทั้งที่รู้อยู่ว่า กมธ.ใน สนช.ไม่ได้มีอำนาจไปก้าวก่ายอัยการ แต่ กมธ.กฎหมาย ก็ยังรับเรื่อง และเดินเกมตาม “ธง” ที่ “ทนายเสี่ยบอส” ร้องเข้ามาโดยเรียกพยานบุคคล และพยานผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเร็วรถในขณะเกิดเหตุ และส่งเรื่องต่อไปยัง “อัยการ” เพื่อให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม เน้นไปว่าจากข้อมูลที่ได้รับเพิ่มเติมถือเป็น “หลักฐานใหม่” ที่ควรบรรจุไว้ในสำนวน
พลิกกลับคำสั่งของ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร สมัยเป็นอัยการสูงสุด ที่ให้ “สั่งฟ้อง” กลายเป็น “สั่งไม่ฟ้อง” ในทุกข้อหา
สะกิดใจอยู่นิดตรงชื่อ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร ที่ในขณะเป็นอัยการสูงสุดนั้นเป็นผู้สั่งให้ฟ้อง “เสี่ยบอส” ไปแล้ว
แต่ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร คนเดียวกันนี้ ก็เป็นรองประธาน กมธ.กฎหมาย สนช. ชุดเจ้าปัญหานี้ด้วย
เหตุใดจึงทำให้ “จุดยืน” ของ “ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์” เปลี่ยนไปแบบดำเป็นขาว-ขาวเป็นดำหรือ “ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์” อาจจะเห็นแย้งเกี่ยวกับดำเนินการของ กมธ.กฎหมาย สนช. แต่มิอาจต้านทานได้
ด้วยเมื่อสำรวจตรวจสอรายชื่อ กมธ.กฎหมาย สนช. ที่มีถึง 29 คน พบว่ามี พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ เป็นประธาน กมธ. และยังมีรายชื่อที่น่าสนใจอาทิ พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นรองประธาน กมธ.คนที่ 1, พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. เป็นที่ปรึกษาและ กมธ., พล.ต.อ. ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็น กมธ., พล.ต.ท.วิบูลย์ บางท่าไม้ อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็น กมธ., พล.อ.สุชาติ หนองบัว เป็น กมธ., พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผบ.ตร. เป็น กมธ. และ ธานี อ่อนละเอียด เป็นเลขานุการ และ กมธ.
จากรายชื่อ กมธ.สนช.ที่ว่ามานั้น ก็ทำให้เห็นเงาตะคุ่มๆ ของ “ผู้มากบารมี” ในยุค คสช.ทันที
เฉกเช่นเดียวกับอากัปกิริยาของ “อัยการ” ที่งานนี้บอกได้เลยว่า “เละตุ้มเป๊ะ” แม้จะใจดีสู้เสือให้คณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีของอัยการ กรณี “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดี “บอส กระทิงแดง” ไปแล้วเมื่อวันก่อน แต่ก็ยังไม่ทำให้สังคมสิ้นสงสัย และตั้งคำถามเกี่ยวกับ “ดุลพินิจ” ของอัยการผู้เป็น “ทนายแผ่นดิน” ได้
โดยเฉพาะคำยืนยันหนักแน่นว่าการสั่งไม่ฟ้องคดีนั้น “ถูกต้องแล้ว” โดยยึดระเบียบ ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานตาม “สำนวนตำรวจ” และที่สำคัญ “ตำรวจ” เองก็ไม่เห็นแย้ง
พูดง่ายๆว่าโบ้ยกลับไปที่ตำรวจว่า “สำนวนอ่อน” นั่นเอง
การชี้แจงในอารมณ์ “ลิ้นพันกัน” ก็ทำให้อัยการถูกหลายภาคส่วนจับขึ้นปึ้งซ้ำอีก โดยเฉพาะความเห็นจาก “วงการกฎหมาย” ที่สอนมวย “ยกกระบัตร” กลับไปว่า ในเมื่ออัยการสำนักงานอัยการอาญากรุงเทพใต้ได้ “สั่งฟ้อง” ไปแล้ว และเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนของศาล แต่ยังนำตัว “จำเลยบอส” มาขึ้นศาลไม่ได้ เพราะหนีเตลิดไปต่างประเทศ
ดังนั้นอัยการคณะอื่นจะมา “กลับคำสั่งไม่ได้” เพราะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
ถึงขนาดที่ อรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และอดีตอัยการสูงสุด ต้องทำหนังสือถึง “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” อัยการสูงสุด ยกข้อกฎหมายแจกแจงว่า การสั่งคดีของรองอัยการสูงสุด “เนตร นาคสุข” ไม่ชอบเป็นฉากๆ
แทนที่อัยการจะรับลูก “อรรถพล” เป็นบันไดลงเพื่อรื้อฟื้นคดีใหม่ แต่กลับคว่ำทิ้งความปรารถนาดี ยืนยันกลับไปอีกว่าการกลับคำสั่งเป็น “ไม่ฟ้อง” นั้นถูกต้องแล้ว
ไม่รู้ว่าอัยการยุค “วงศ์สกุล” ไปกิน “ดีหมี หัวใจเสือ” มาจากไหน หรือจะถูก “ผู้มากบารมี” แยกเขี้ยวใส่
เพราะขนาด “นายกฯตู่” ผู้นำสูงสุด และเป็นผู้กำกับดูแลอัยการ ออกมากระแอมหลายครั้งให้ตรวจสอบเพื่อให้สังคมสิ้นสงสัย แต่อัยการยังยืนกระต่ายขาเดียว ตามแนวที่ กมธ.กฎหมาย สนช. ชงมา
ส่งผลให้กรบวนการยุติธรรม ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมากกว่าที่ผ่านๆมา
เป็น “ยุติธรรมแบบไทยๆ” ภายใต้อุ้งเท้าของ “ผู้มากบารมี”
ความ “บอส” ยังไม่จาง ความ “บ่อน” ก็เข้ามาแทรก
กรณีเหตุการณ์ยิงถล่มตาย 4 ศพ ภายในบ่อนย่านพระราม 3 ที่เดิมมีกระแสข่าวว่าเป็นบ่อนของ “เสี่ยตี้” ขาใหญ่วงการพนัน
แต่เช็คไปเช็คมา “เสี่ยตี้” ที่ว่าเป็นแค่หน้าเสื่อ แต่ “แบ็คอัพ” จริงๆเป็น “คุณกุ๊กๆไก่” ที่เป็นพลเรือน แต่ใหญ่กว่าคนมี เพราะมีสายสัมพันธ์ต่อตรงจาก “ผู้มากบารมี”
ส่วน “เสี่ยตี้” คนออกหน้านั้น ก็เป็น “มืองาน” ที่เริ่มทำบ่อนมาตั้งแต่สมัยโลเคชันอยู่ที่ “บางรัก” ก่อนย้ายเคหะสถานมาที่พระราม 3
ย้อนไป 5-6 ปี “บ่อนบางรัก” ชื่อเสียงเกรียวกราวอย่างมากในวงการ เพราะเป็นบ่อนใหญ่ “บ่อนเดียว” ที่สามารถเปิดได้ในยุค คสช.
ถามว่ามีหรือที่ “บิ๊ก คสช.” จะไม่รู้ ถึงรู้ก็อาจทำอะไรไม่ได้เพราะรู้อยู่ว่าเป็นของ “คุณกุ๊กๆไก่” ที่คลานตาม “ผู้มากบารมี” ออกมา
พอเรื่อง “บ่อนพระราม 3” แดงขึ้นมาจากเรื่องไม่ใช่เรื่อง คราวซวยหนึ่งก็ 5 เสือ สน.ทุ่งมหาเมฆ ซวยกว่าคงเป็น พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่ได้อ้ำๆอึ้งๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก และอาจต้องกล้ำกลืนในฤดูกาลโยกย้ายนายพลตำรวจที่จะถึงนี้
จะเห็นได้ว่า เรื่องร้อนๆ เรื่องเน่าๆ ที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมผิดเพี้ยน ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กลายเป็นผู้ร้าย ล้วนแล้วแต่มี “ผู้มากบารมี” เป็นศูนย์กลาง
เป็น “ผู้มากบารมี” ที่อยู่ยงตั้งแต่สมัย คสช.มาถึงวันนี้ และเป็นช่วงที่ กมธ.ของ สนช.ที่ประธาน “นามสกุลดัง” สอดเข้าในเรื่องคดี “บอส กระทิงแดง” จนคดีพลิก แล้วก็ยังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านแต่งตั้ง “อัยการชุดเจ้าปัญหา” ที่นำโดย “อสส.วงศ์สกุล” อีกด้วย
อันเป็นผลให้ถูกมองว่ามี “ขบวนการวิ่งเต้น” ผ่าน “ผู้มากบารมี” หรือไม่
คำถามมีว่า “บิ๊กตู่” คนที่ “ไม่โอเค” กับคดี “บอส อยู่วิทยา” และฉุนขาดกับเรื่อง “บ่อนพระราม 3”
ยัง “โอเค” กับ “ผู้มากบารมี” ที่ทำให้ระบบ-กลไกทุกอย่างในประเทศผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวขนาดนี้ต่อไปหรือ
แน่นอนในส่วนของคดี “ลูกกระทิงแดง” นั้นวันนี้ก้อนหินไปหล่นอยู่ที่ “อัยการ” และอาจจะมี “ตำรวจ” เกี่ยวด้วยหากความจริงปรากฏออกมา จากการที่ “เจ๊รส” รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.คนดัง ทำเรื่องของไปถึง ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อให้เปิดเผยรายงานการประชุม และสรุปผลการประชุมของ กมธ.กฎหมาย สนช. กรณีที่ “ทนายเสี่ยบอส” ขอความเป็นธรรม ที่มีความเห็นส่งไปยังอัยการ
เช่นเดียวกับกรณีบ่อนกลางกรุง ที่ความซวยคงไม่พ้น ผบช.น.และ 5 เสือ สน.ทุ่งมหาเมฆ เจ้าของพื้นที่ ทั้งที่รู้กันว่า “ตัวการ ก.” ก็เลือดเนื้อเชื้อ “พี่ใหญ่” นั่นเอง
ในเมื่อแท้จริงแล้วประโยชน์โภชผลนั้นยิงตรงส่งไปที่ “ผู้มากบารมี” และคนรอบข้างใช่หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นกรณี “บ่อน” หรือ “บอส”
ก็เกิดคำถามว่า “นายกฯตู่” ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ หรือจะแก้ไขใดๆเลยหรือ ที่ “ผู้มากบารมี” สร้างเรื่องแปดเปื้อนภาพลักษณ์ “คนดี” ของตัวเองโดยตลอด
หรือด้วยด้วยความเคารพยำเกรงกัน รวมทั้งจำเป็นต้องให้อยู่ช่วย “ค้ำอำนาจ” จึงปล่อยให้ “ผู้มากบารมี” เป็น “เนื้อร้าย” ของประเทศชาติอยู่อย่างนี้
ครั้นจะปล่อยให้ “แพะ” หรือ “ตัวเล็กตัวน้อย” ต้องรับกรรม ก็ไม่ต่างโบกปูนฉาบปกปิดไปเรื่อยๆ ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นคอ รื้อทิ้งทั้งขบวนการ ตัดวงจรผลประโยชน์ส่วนตน เพื่อส่วนรวมจริงๆ
หรือถึงเวลาแล้วที่จะกำจัดวงจร “สินบาท-สิบบน-จ่ายส่วย” ให้สิ้นซาก อย่างการเปิด “คาสิโนเสรี” ดีกว่า “มือถือสาก ปากถือศีล” ปล่อยให้มีบ่อนเกลื่อนเมืองอยู่เช่นนี้
ถามจริงๆว่า “ลุงตู่” จะปล่อยให้ “ยุติธรรมไทย” อยู่ภายใต้ผู้มากบารมีอย่างนี้ต่อไปหรือ!?.